[TTM] 07
TWINS & TWINS
MATCH
_______7_______
...หมอนั่นเอาจริง…
เจสันนั่งเอามือกุมท้องที่กำลังส่งเสียงครืดคราดอยู่ในห้องที่ตัวเองเป็นผู้ยึดครอง
หิวใจจะขาดเพราะเพิ่งได้กินแค่มื้อเช้า เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสามเข้าไปแล้ว
เขาควรไปหาอะไรกินก่อนที่น้ำย่อยจะกัดกระเพาะจนเป็นรูโบ๋
ละสายตาจากเวลามามองดูกระเบื้องที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย
แม้ตรงร่องระหว่างแผ่นจะยังปรากฏสีแดงให้เห็นได้ประปราย จริงๆก็เอาออกได้
แต่เขาแค่หมั่นไส้เจ้าของห้องเจ้าระเบียบที่บังอาจลงโทษเขาอย่างไม่เป็นธรรมเลยไม่ทำให้เสร็จครบกระบวนความเท่านั้นเอง
“ไอ้ตำรวจเถื่อน”พอคิดถึงใบหน้านิ่งของอีกคนก็อดสบถต่ำในลำคออย่างคิดแค้นเคืองไม่ได้
ยกมือเกาคางตัวเองยิกๆ แอบรำคาญเหมือนกันแต่ก็ไม่กล้าเอาออก
สงสัยต้องใช้แหนบหนีบเหมือนตอนไปตะลอนเมืองนอกคนเดียวอีกแล้ว ดีหน่อยตรงที่หนวดเขาขึ้นช้า
ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะโกนยังไงทุกวัน
นี่ถ้าเป็นที่บ้านเขาจะอ้อนให้แจ็คสันโกนให้ทุกวันเลยไม่มีปัญหา
แต่นี่แฝดน้องเขาก็ถูกพราก อิสระเขาก็ถูกพราก นับเป็นเรื่องบัดซบที่สุดในชีวิต
เจสัน หวัง เลยก็ว่าได้
...คิดถึงแจ็คสันจังเลย ทำอะไรอยู่นะ จะโดนแฝดน้องของได้ตำรวจนรกนั่นแกล้งหรือเปล่า?...
ถอนหายใจเฮือก
หยิบเอาตุ๊กตาลูกหมาขนฟูสีขาวขึ้นมากอดแทนตัวของอีกฝ่าย
โทรศัพท์มือถือเขาถูกริบเพราะกลัวว่าพวกคนร้ายจะเจาะสัญญาณและรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
จริงๆเจสันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้พวกนั้นมันถึงต้องตามล่าเขาด้วย เขาก็เป็นแค่ตากล้องธรรมดา
หรือจะแค่ไปถ่ายภาพติดมาก็แค่ขู่เอาเมมเขาไปทำลายทิ้งก็ได้นี่
ไม่เห็นต้องทำเรื่องใหญ่โตอย่างการจะยิงเขาดับกลางเมืองเลย
...หรือพวกมาเฟียมันชอบติดเล่นใหญ่?...
โครก~
เสียงเลื่องลั่นจากท้องขัดอารมณ์ดราม่าได้ทันควัน
เจสันรู้ตัวว่าคงจะนั่งจ๋องอยู่ในห้องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
ลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง เห็นมาร์คนั่งดูข่าวอยู่บนโซฟา
นายตำรวจหนุ่มเอียงคอหันมามองเล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอแอลอีดีขนาดใหญ่ราวกับเขาไร้ตัวตน
เจสันหยีหน้าใส่จากด้านหลัง อดกระแนะกระแหนไม่ได้
“นายตำรวจที่ดีใครเขาจะมานั่งดูทีวีในวันราชการ
มีแต่ตำรวจเถื่อนเท่านั้นแหละ”
“ผมก็กำลังทำงานอยู่นี่ไง เฝ้าพยานตัวยุ่งยากอย่างคุณ”มาร์คตอบโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง
เปลี่ยนช่องมาเป็นรายการทำอาหารราวกับกำลังทำสงครามประสาทกับคนที่หิวจนท้องกิ่ว
“ถ้ายุ่งยากนักก็ปล่อยผมไปเหอะ อย่างกับผมอยากอยู่กับคุณตายล่ะ”คนเป็นพยานคนสำคัญละสายตาจากทีวีที่มีภาพอาหารน่ารับประทานปรากฏอยู่
น้ำลายไหลออกมาให้กลืนลงคอตามสัญชาติญาณ
เลิกเถียงกับคนเป็นเจ้าของห้องเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นหวังว่าจะมีอาหารสำเร็จรูป
ขนมหรือพวกนมอะไรบ้างและก็พบว่าตู้เย็นเครื่องใหญ่นี้เอาไว้บรรจุอาหารสดจำพวกเนื้อสัตว์ดิบ
ปลาดิบ ผักสดและซอสอีกสองสามอย่างไว้เท่านั้น
ไม่มีวัตถุดิบไหนที่พอจะกินแบบไม่ลงมือทำอาหารได้เลย
...แกล้งกันรึยังไงวะเนี่ย!...ปิดประตูตู้เย็นเสียงดังปึก เดินจ้ำอ้าวทั่วครัว
ถ้าไม่มีของในตู้เย็นก็ควรมีพวกนู้ดเดิล ขนมปัง ไม่ก็ซีเรียลบ้าง
วนไปหนึ่งรอบก็ไม่เห็น เหลือแค่ตู้เคาน์เตอร์ด้านบน
เจสันเอื้อมมือจะไปเปิดแล้วก็พบว่าส่วนสูงของเขากำลังทำร้ายกันอย่างน่าเจ็บใจ
เหลือบตามองดูเห็นว่ามาร์คไม่ได้มองอยู่ก็ตัดสินใจปีนเคาน์เตอร์อาศัยทักษะการทรงตัวตอนเป็นนักกีฬาฟันดาบของมหาวิทยาลัยยันกายขึ้นไปเปิด
แต่ก็ต้องผิดหวังอีกรอบเมื่อข้างในมีแค่จานและแก้ววางไว้อย่างเป็นระเบียบเท่านั้น
“หิวขนาดนั้นทำไมไม่ทำกินเองล่ะ”
เจสันตกใจจนเกือบหล่นลงจากที่ที่ตัวเองยืนอยู่
แต่ก็ดึงสติกลับมาทัน กระโดดลงพื้นอย่างสวยงาม หันหน้าไปมองอีกคนดุๆ คิดเคืองที่มาแบบไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง
แก้มร้อนเพราะใบหน้าล้อเลียนแสดงความเหนือกว่าของอีกคน
...เกลียดมันจังโว้ย!!!...
“ผมทำอาหารไม่เป็น”เจสันย้ำคำตอบเดิมอีกครั้ง
มาร์คที่อิงสะโพกกอดอกอยู่ก็ถอนหายใจปลงๆและเดินเข้ามาใกล้
“เฮ้อ มา ผมจะสอนให้”
“เอ่อ ไม่เป็นไร ผมทำไม่ได้หรอก”
“ถ้าไม่ฝึกแล้วตอนไหนคุณจะทำเป็น”มาร์คขมวดคิ้วคิดว่าเจสันขี้เกียจไม่อยากทำ
เดินไปหยิบกระทะ น้ำมันและเขียงออกมาวางไว้
“ไม่ได้ ผมทำอาหารไม่ได้หรอก”เจสันส่ายหน้าไปมา
เผลอถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าวทันทีที่ชายหนุ่มหยิบมีดทำครัวขนาด 8 นิ้วเอาไว้ในมือ ดวงตากลมเคลือบประกายหวาดหวั่นอะไรบางอย่างที่มาร์คก็ไม่ได้สนใจจะสังเกต
ชายหนุ่มยื่นมีดให้เจสันจับ แต่อีกคนกลับสะดุ้ง
เดินถอยหลังจะหนี ส่ายหน้าเริ่มน้ำตาคลอ ลมหายใจถี่กระชั้นเหมือนคนหายใจไม่ทัน มาร์ครีบตะครุบมือขาวไว้
ยุดยื้อยัดด้ามมีดให้เจสันจับ ไม่ทันที่จะได้สัมผัสด้ามมีด
เจสันก็ร้องเสียงดังลั่นจนมาร์คตกใจ
“ไม่!!! บอกว่าไม่ไง!!!!”
ตวาดจนหน้าแดง ดวงตากลมคลอน้ำตาหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างผิดปกติ
อาศัยชั่วเวลาที่อีกคนตกใจสะบัดตัวหนี วิ่งเข้าไปในห้องเหวี่ยงประตูปิดแน่น
มาร์ครีบตั้งสติเคาะประตูเรียกอีกคนอย่างร้อนรน
“เจสัน!
เจสัน!”
แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ถึงจะเคาะจะขู่อย่างไรอีกคนในห้องก็เอาแต่เงียบ
เพียงเงี่ยหูฟังดีๆจะได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากด้านใน มาร์คหยุดเคาะประตู
เขายืนนิ่งคิดใคร่ครวญ ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง
กลัวระดับที่ไม่ใช่กลัวแบบขยะแขยงแต่กลับถึงขั้นโฟเบีย...
ชายหนุ่มกลับมาที่ห้องนั่งเล่นเปิดโทรศัพท์โทรออกหาเบอร์แฝดน้องที่ไม่คิดว่าจะได้โทรบ่อยขนาดนี้
ฟังเสียงสัญญาณออกสามสี่ครั้งก็ได้ยินเสียงทุ้มกุกกักอยู่ปลายสาย
“Hi we”
“ขอสายแจ็คสันหน่อย”ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เข้าประเด็นตามนิสัย มาร์คัสก็ไม่ท้วงอะไร
ได้ยินเสียงกุกกักอีกทีก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับคนที่เขาทำร้องไห้อยู่ในห้องนั่น
“ครับ แจ็คสันครับ”
“เจสันกลัวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้นครับคุณมาร์ค”
มาร์คชะงักไปนิด เหลือบตามองบานประตูที่ยังปิดสนิท
“ฉันพยายามจะสอนเขาทำอาหาร...
แต่เขาร้องไห้แล้วก็วิ่งเข้าไปขังตัวอยู่ในห้องสักพักแล้ว”
“คุณบังคับให้เจสันจับมีดเหรอ!!! คุณบ้าไปแล้ว!
เจสันเป็นโรคกลัวของมีคมทุกชนิด!
แค่โกนหนวดเขายังโกนด้วยตัวเองไม่ได้เลยนะ!!!” แจ็คสันร้องมาจากปลายสาย
มาร์คได้แต่ยินฟังตาปริบๆ พอได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
ได้ยินเสียงมาร์คัสพยายามปรามแต่แจ็คสันคงโมโหมากถึงได้ตีโพยตีพายต่อ “Aichmophobia Xyrophobia โฟเบียอะไรก็ตามเถอะ พี่ผมจับพวกมันไม่ได้หรอกนะ! รุนแรงที่สุดคือเขาจะสลบ
ถ้าพี่ผมเป็นอะไรขึ้นมาผมจะฟ้องคุณ!!!”
“ผมไม่รู้...ผมขอโทษ”
“ไปขอโทษเจสันเถอะ...”แจ็คสันสูดลมหายใจเข้าลึก
เงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังจะสะกดกลั้นอารมณ์
แจ็คสันเป็นแฝดกับเจสันจริงๆก็ตอนโกรธนี่แหละ...
“ตอนนี้เขาร้องไห้ อีกสักพักเขาจะอ้วก
รีบพาเขาออกมาจากห้อง...ทำยังไงก็ได้ เก็บของทุกอย่างที่มีคมลงในกล่องอย่าให้เขาเห็น
วิธีเดียวที่ทำให้อาการเขาดีขึ้นคืออยู่กับเขา”
“อยู่กับเขา?”มาร์คทวนคำงงๆ
“ใช่
เวลาเขากลัวเขาจะชอบวิ่งหนีไปขลุกอยู่กับตัวเอง
แต่พอเขาอยู่กับตัวเองเขาจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วจะอาการหนักกว่าเดิม
คุณต้องอยู่กับเขา อยู่ข้างเขา ทำยังไงก็ได้ให้เจสันไม่คิดถึงอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาทรมานกับมัน”
“เรื่องนั้นมันคืออะไร?”มาร์คเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ไม่มีทางที่คนๆหนึ่งจะรู้สึกหวาดกลัว
ถ้าไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่รุนแรงพอจะฝังรากลงในจิตใต้สำนึกขนาดนี้
“ผมไม่รู้...”แจ็คสันเงียบไป “เขาเป็นมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว...ผมก็ไม่รู้”
“...ขอบคุณครับ ผมจะทำตามที่คุณแนะนำ
และขอโทษด้วยที่ดูแลเขาได้ไม่ดี”
“คุณมาร์ค...”
“ครับ?”
“พี่เจสันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่แสดงออกหรอกนะครับ...”
“...ครับ ผมจะดูแลเขาเอง”มาร์ครับปากและวางสายไป นายตำรวจหนุ่มยืนนิ่งคิดอยู่สักพักก็ถอนหายใจ
เขาคิดว่าเขาได้ข้อมูลของเจสันครบทุกอย่างแล้วเลยไม่ได้ใส่ใจจะอ่านรายละเอียด
เขาละเลยที่จะอ่านประวัติการรักษาพยาบาลของพยานที่อยู่ใต้การดูแลของเขาไป...เป็นการละเลยหน้าที่ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆสำหรับเขา
ยิ่งย้อนกลับไป
เคยคิดว่าคนพยศร้ายอย่างช่างกล้องคนนั้นจะร้องไห้และหวาดกลัวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้มากขนาดนี้
...มันเป็นความผิดเขาเอง...
.
.
.
ก๊อกๆ
คนที่นั่งกอดเข่าพิงประตูสะดุ้งตัวโยน ทำนบน้ำตาไหลบ่าตกใจ
นิ้วสั่นสะท้านลูบกำแขนตัวเองแน่น ก้มหน้าปวดหัวระคนอึดอัด รู้สึกมวนในช่องท้องคล้ายกำลังจะขย้อนของเก่าออกมา
บวกกับที่กระเพาะไม่มีอะไรให้ย่อยยิ่งทำให้อาการสะท้อนกลับของโฟเบียหนักขึ้นไปกว่าเก่า
“เจสัน”
เจ้าของชื่อลืมตามองไปนอกหน้าต่าง
แม้ว่าจะได้ยินชื่อเรียกตัวเองจากอีกฟากของประตูก็ตาม
“ผมขอโทษ”
“...”
“ออกมาเถอะ คุณอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
...พูดบ้าอะไรของเขา...
“เจสัน? คุณยังโอเคอยู่นะ”
“อือ...”ส่งเสียงตอบไปเบาๆพร้อมซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง
เขาอยากอยู่คนเดียว จะมายุ่งอะไรนักหนา
“จะไม่ออกมาจริงเหรอ?”
“...”
“โอเค...งั้นผมจะนั่งหันหลังให้คุณแล้วกัน”เจสันได้ยินเสียงพื้นโดนเสียดสีเหมือนมีคนกำลังมานั่งพิงประตูอีกด้าน
นั่งเงียบกันไปได้สักพักมาร์คก็พูดขึ้นมา “คุณว่ามันเงียบไปไหม?
ผมจะร้องเพลงให้ฟังนะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย
เอาความมั่นใจที่ไหนมาถึงได้กล้าเสนอร้องเพลงให้คนอื่นฟังขนาดนี้?
“You gotta go and
get angry at all of my honesty…”
...ชิบหายเถอะ คุณตำรวจ เพี้ยนตั้งแต่คีย์แรก...
เจสันกระตุกยิ้มก้มหน้ากลั้นขำจนไหล่สั่น
“You know I try
but I don't do too well with apologies
I hope I don't run out of time. Could someone call a referee?
'Cause I just need one more shot at forgiveness…
I hope I don't run out of time. Could someone call a referee?
'Cause I just need one more shot at forgiveness…
I'm sorry yeah”
“yeah…”เจสันพึมพำเนื้อเพลงตาม กระตุกยิ้มน้อยๆ
“Sorry yeah
“Sorry yeah
Sorry
Yeah, I know that I let you down
Is it too late to say I'm sorry now?
Is it too late to say I'm sorry now?
...ดีขึ้นรึยัง?”
“อืม...ตั้งแต่คีย์ขุดดินของคนแถวนี้แหละ”พูดไปก็กลั้นหัวเราะไป
อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา ไม่นึกว่าคุณตำรวจผู้แสนเคร่งเครียดจะมีมุมแบบนี้อยู่ด้วย
“ขอโทษทีที่ผมไม่ใช่นักร้อง”
เจสันเงียบไปอีกครั้ง ก่อนประตูจะเปิดออก
มาร์คเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนค้ำศีรษะเขาอยู่
“คุณ...”
“หืม?”
“...ผมหิว”
“เฮ้อ...”ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มยอมจำนน “โอเคๆ
มื้อนี้ผมทำให้ก็ได้ มื้อเดียวนะ”
“เย้!”
...สุดท้ายมาร์คก็ต้องยอมคุณตากล้องสุดแสบอยู่ดีนั่นแหละน่า...
“ฉันไล่นายออก!”
.
.
.
10 นาทีก่อนหน้านี้
เหตุการณ์ตอนเช้าหลังคืนแสนงงงวยเป็นคล้ายคลื่นลมสงบก่อนพายุจะเข้าฝั่ง
ห้องทำงานของผู้จัดการร้าน MABOM เงียบเชียบ มีเพียงเสียงซอกแซกของเสื้อผ้าและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของโซฟาดังขึ้นแผ่วเบาขณะคนที่ใช้มันพักผ่อนเมื่อคืนลุกขึ้นมาหยิบเสื้อเชิ้ตยับยู่บนพื้นขึ้นมาสวม
ใบหน้าของอิมแจบอมนิ่งเฉย
แม้ดวงตาเฉี่ยวนั้นจะแดงก่ำจากการร้องไห้และริมฝีปากบางนั่นจะช้ำเพราะถูกบดขยี้
ลมหายใจร้อน
อาการครั่นเนื้อครั่นตัวและความเจ็บร้าวตลอดทั้งตัวโดยเฉพาะหลังและสะโพกดูจะบ่งบอกว่าคนที่แข็งแรงมาตลอดอย่างเขากำลังป่วยเพราะเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
...เขาจำไม่ได้...
แต่ที่แน่ๆ...ปาร์คจินยองมันต้องไม่ตายดี...
สภาพภายในห้องยังคงอยู่สภาพเดิมของมันตั้งแต่เมื่อหกชั่วโมงก่อน
บนโต๊ะกระจกมีขวด
Absinthe สีเขียวขุ่นสามขวดที่พร่องไปถึงสองขวดวางระเกะระกะข้างแก้วทรงเหลี่ยมที่ยังมีของเหลวดีกรีแรงต้นเหตุความเสียสติของเขาเมื่อคืนอยู่ไม่ขยับไปไหน
ตื่นขึ้นมาก็เห็นเสื้อกับกางเกงตกอยู่ข้างโซฟา แอร์ถูกเร่งให้แรงขึ้น
บนตัวมีผ้าห่มบางๆผืนหนึ่งคลุมตัว เนื้อตัวสะอาดสะอ้านดีราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
ยกเว้นรอยสีแดงและความเจ็บร้าวที่ยังย้ำเตือนว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ทั้งหมดนั่นก็ยังไม่เหี้ยเท่าถุงยางใช้แล้วในถังขยะข้างโซฟาและไอ้ตัวต้นเหตุที่พอทำแล้วก็หายตัวไปแบบไร้วี่แวว...
แจบอมอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ไม่ถูก
มันปะปนกันมั่วเหมือนสีเน่าๆในถาดสี โกรธ แค้น อับอาย เสียหน้า
ผิดหวัง...ไม่รู้ควรจะทำยังไงกับตัวเองดีเหมือนกัน
ที่ผ่านมาถึงจินยองจะรุกหนักขนาดไหนแจบอมก็ยังเชื่อเสมอว่าบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งอย่างหมอนั่นคงมีความสุภาพบุรุษและสุภาพพอกับที่มันสร้างภาพใส่คุณสุภาพสตรีทั้งหลายหน้าบาร์
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้แจบอมผิดหวัง
...น่าผิดหวังมากๆ...
“บัดซบ...”เสียงทุ้มต่ำแหบเพราะพิษไข้สบถเสียงเบาขณะพยุงกายตัวเองลุกขึ้นจากโซฟา
อาศัยทักษะร่างกายและความอดทนนิดๆหน่อยๆกระเสือกกระสนตัวไปไปนั่งบนเก้าอี้เบาะนวมหลังโต๊ะทำงาน
จมูกโด่งถอนหายใจเฮือก กวาดมือหยิบปะป่ายหาอะไรบางอย่างใต้โต๊ะออกมาวางไว้ จรดปากกาเขียนตัวบรรจง
ตั้งใจเขียนราวกำลังเขียนพินัยกรรมทั้งที่เนื้อความในจดหมายเหมือนใบสั่งไปตายของใครอีกคนหนึ่งมากกว่า
ฝืนสภาพร่างกายเขียนจนเสร็จก็พอดีกับที่ประตูห้องทำงานเขาเปิดออก
ข้างนอกเงียบสนิทเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน
ร่างโปร่งในชุดเมื่อคืนโผล่เข้ามาพร้อมแฟ้มสีน้ำเงินที่เขาจำได้ว่ามันคือแฟ้มรายงานประจำวันที่เขาต้องลงไปตรวจตราตอนปิดร้านทุกวันเพื่อเช็คความเรียบร้อยของร้าน
“ผมเอางานเมื่อคืนมาส่ง ผมรู้ว่าคุณคงลุกไปทำเองไม่ไหว”
จินยองเดินเข้ามาวางแฟ้มสีน้ำเงินไว้บนโต๊ะ
ทำท่าจะเดินอ้อมมาหาเขา แต่ดวงตาแข็งกร้าวของคนบนเก้าอี้ทำให้บารเทนเดอร์มือหนึ่งยืนอยู่กับที่
มันเป็นความเงียบที่กดดันให้ทุกอย่างในห้องนิ่งสงบ
ชายหนุ่มนิ่งไปรู้ว่าจะต้องโดนไม่พอใจใส่ แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแจบอมจะนิ่งเงียบขนาดนี้
...ความเย็นชามันน่ากลัวกว่าการโมโหร้ายมากนัก…
เรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นเพราะเขาไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์
ใช้ความเสียใจและสภาพเมาจนไร้สติของแจบอมเพื่อฉวยโอกาส แต่พอรู้ตัวว่ามันไม่ควรก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้ว
“แจบอม ผมขอโทษ...”
“เก็บคำขอโทษของนายไว้เถอะ...”เสียงแหบทุ้มดูไร้เรี่ยวแรงเอ่ยตัดประโยคอย่างไม่ใยดี
ดันจดหมายฉบับหนึ่งมาวางไว้บนขอบโต๊ะ ซองสีขาวประดับตราของร้านทำให้จินยองร้อนใจ
“แจบอม...”
“นี่ของนาย”
“แจบอม ฟังผมหน่อยสิ...”
“พอใจแล้วใช่ไหม”
“แจบอม...ฟังก่อน”
“มึงพอใจแล้วสินะ”น้ำเสียงที่กร้าวขึ้นมาทำให้จินยองหยุดร้องขอ
ไม่ใช่ว่ายอมแพ้แต่พูดไปตอนนี้ก็เท่านั้น ในเมื่ออีกคนไม่คิดจะฟังอะไรเลย
“...”
“พอใจแล้วก็ไป...ออกไป...ฉันไล่นายออก!”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จินยองยืนนิ่ง
ไม่ปรากฏสีหน้าอะไรให้เห็นเป็นพิเศษ
ยกเว้นดวงตาเรียวนั้นที่ปรากฏแววตาที่ทำให้คนมองอยู่ใจสั่นไหว มือเรียวยื่นมารับจดหมายไล่ออกนั่นไปไว้ในมือ
แจบอมสังเกตว่ามันสั่นเล็กน้อยและเนื้อกระดาษก็เริ่มยับยู่จากการกำแรงเกินไป
“ได้...แต่ก่อนไปผมขอพูดบางอย่างหน่อยได้ไหม”
แจบอมเงียบ เป็นสัญญาณว่าจะพูดอะไรก็พูด
ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดกันก่อนที่จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก
“ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าใกล้คุณ แต่คุณกลับผลักไสผมทุกครั้ง...แจบอม
คุณใจร้ายมากเลยรู้ตัวไหม...แต่เมื่อคืน ที่ผมว่าผมจะดูแลคุณ
นั่นคือเรื่องจริง...ผมอยากจะดูแลคุณจริงๆ
คุณไม่รู้หรอกว่าผมดีใจขนาดไหนตอนที่คุณพูดว่าคุณให้โอกาสผม...”
...ไม่รู้หรอก แจบอมไม่เคยรู้อะไรเลย...
“และเรื่องที่ผมทำเกินเลยกับคุณตอนคุณเมา...ผมขอโทษจริงๆ
ผมไม่ควรทำแบบนั้น...เมื่อเช้าผมไปหาซื้อยานี้ให้คุณเพราะผมรู้ว่าคุณจะไม่สบาย...และถึงคุณจะไม่ยกโทษให้ผม
แต่ได้โปรด...รับสิ่งนี้ไว้”
“ฉันซื้อเองได้ เอากลับไป”ไม่ต้องรอให้จินยองวางถุงกระดาษเล็กๆนั่นบนโต๊ะ
คนมากศักดิ์ศรีก็เอ่ยไม่รับความหวังดี
“คนขี้มาดอย่างคุณไม่มีทางไปร้านขายยาแล้วบอกว่าเป็นแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนปลายหรอกจริงไหม”จินยองสวนกลับมาทำเอาแจบอมสะอึก
“รับไปเถอะ มันไม่เสียหลายนักหรอก ยังไงผมก็จะไปแล้ว
จะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอย่างที่ต้องการ”
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่”
“แจบอม...”
“อะไรอีก”ตวาดอย่างหงุดหงิดใจ หลับตากลั้นความโกรธขึงที่แล่นขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหว
อยู่นานกว่านี้จะลุกไปตั๊นหน้าหล่อๆนั่นตามใจอยากแล้วนะเว้ย!
“ผมรักคุณ...”มั่นคง จริงใจ ไม่มีความสั่นไหวในน้ำเสียง
มันทำเอาแจบอมแอบใจกระตุก แต่ก็แค่จังหวะเดียวเท่านั้น ก็อย่างที่เคยบอกไป
...จินยองไว้ใจไม่ได้...
“ได้พูดแล้วก็ไปสิ...ฉันมีงานต้องทำต่อ”
...เย็นชา...สิ่งที่แจบอมมอบให้จินยองกลับไปมีแต่ความเย็นชา
สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไปมันยากแก่การให้อภัยเกินไปสำหรับเขา
และจินยองก็รู้ดีกว่าเขาคงไม่มีหวังอีกต่อไปแล้วเช่นกัน
เพราะก้าวผิดไปก้าวเดียว
ประตูห้องทำงานถูกปิดลงจากคนที่ก้าวเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกอึดอัดและถุงยาเล็กๆบนโต๊ะทำงาน
คนบนเก้าอี้ตัวเก่าปิดเปลือกตาลง เอนตัวราบหมดแรงไปกับพนักเก้าอี้
ปล่อยลมหายใจออกมาช้าๆ
‘ผมรักคุณ’
เสียงของอีกคนก้องอยู่ในหัว ริมฝีปากเรียวช้ำกระตุกยิ้มเยาะ
“สิ่งที่นายทำไม่ได้แสดงว่านายรักฉันหรอกจินยอง...นายมันก็แค่เห็นแก่ตัว”
#ficTTM
Please comment
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น