[TTM] 08
TWINS & TWINS
MATCH
_______8_______
รถออดี้สีดำสองที่นั่งแล่นบนถนนสายรองของเมืองผ่านแยกแล้วแยกเล่ามามากกว่าครึ่งชั่วโมง
นายแบบหนุ่มผู้เป็นสารถีตอนนี้หยิบแว่วกันแดดชื่อดังราคาทะลุหมื่นขึ้นมาสวมกันแดดยามบ่ายคล้อยเย็น
นิ้วสวยเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยตามจังหวะบีทหนักของเพลงฮิปฮอปตามสมัยนิยม
ดูอารมณ์ดีผิดกับคนนั่งข้างๆอย่างแจ็คสันที่เลิกเกร็งกลายมาเป็นเบื่อมาสักพักแล้ว
ดวงตากลมหลุบมองมือตัวเอง สักพักก็มองนอกหน้าต่างชมวิวตึกระฟ้าและผู้คนเดินสวนไปมาอย่างเร่งรีบ
ก็แน่ล่ะ นี่มันย่านธุรกิจกลางเมือง แล้วทำไมมาร์คัสถึงพามาที่นี่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
และที่ไม่ถึงสักทีก็เพราะรถติดแบบแทบขยับไม่ได้
ส่วนหนึ่งเพราะนี่เป็นเวลาเลิกงานด้วย
“เอ่อ พี่มาร์คัสครับ”
“หืม?”
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ”
“ที่ซุกหัวนอนใหม่”แฝดต้วนคนน้องบอกแบบนั้น
เกี่ยวแว่นตาลงมาพับเหน็บคอเสื้อไว้ยิ่งทำให้ดูหล่อขึ้นไปอีก “บอกไว้ก่อนว่าถ้าไม่ใช่เพราะมาร์คมันฝากนายไว้
ป่านนี้ฉันโยนนายให้ไอ้พวกนั้นไปแล้ว”
“...ใจร้าย”
“ว่าไงนะ”
“ผมบอกว่าวันนี้ร้อนจังครับ”แจ็คสันยิ้มแอบเหงื่อตก
แสร้งยกมือลูบหน้าทั้งที่แอร์เย็นเป่าเสียหน้าชา ดีที่นายแบบหนุ่มไม่คิดซักไซ้ต่อ
...พี่มาร์คัสนี่หูนรกชะมัดเลย แต่ก็นั่นแหละ
เพิ่งเห็นว่าพี่แกมาในชุดออกงานเลย หล่อชะมัด น้องแจ็คโดนน็อคเอาท์อีกแล้วอ่ะ #ความติ่ง
เสียงเรียกเขาเป็นเพลงฮิปฮอปตามสมัยนิยมดังขึ้นมาในรถที่เงียบสงบ
แจ็คสันหันไปมองด้วยความสนใจ ไม่ใช่ของเขาแน่ๆเพราะมือถือเขาโดนมาร์คห้ามใช้ตั้งแต่เกิดเรื่อง
ป้องกันพวกมาเฟียมันตามเจาะสัญญาณแล้วจะเป็นอันตรายทั้งเขาทั้งเจสัน
มาร์คัสหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูออกมามองเบอร์โทรเข้าแล้วถอนหายใจ
“ไหนบอกว่าไม่ให้โทรบ่อยไง”เสียงทุ้มบ่นงึมงำก่อนกดรับสาย
“Hi we”
นายแบบหนุ่มนิ่งฟังปลายสายสักพักก็เปิดลำโพงยื่นโทรศัพท์มาให้ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ
สีหน้าของมาร์คัสไม่เปลี่ยนไปแม้กระทั่งตอนที่ส่งโทรศัพท์มาให้
แจ็คสันก็รับมาแนบหูงงๆ
“ครับ แจ็คสันครับ”
“เจสันกลัวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”คำถามของมาร์คทำให้เขาใจไม่ดี
รู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
“เอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้นครับคุณมาร์ค”
“ฉันพยายามจะสอนเขาทำอาหาร”ฟังแค่นั้นแจ็คสันก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
ในใจเขาร้อนรน ทายไม่ยากเลยว่าจะเกิดอะไรต่อไป “แต่เขาร้องไห้แล้วก็วิ่งเข้าไปขังตัวอยู่ในห้องสักพักแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำร้อนหวีดขึ้นในหู
“คุณบังคับให้เจสันจับมีดเหรอ!!! คุณบ้าไปแล้ว!
เจสันเป็นโรคกลัวของมีคมทุกชนิด!
แค่โกนหนวดเขายังโกนด้วยตัวเองไม่ได้เลยนะ!!!”ตะโกนใส่ปลายสายด้วยความโมโห
มือที่จับโทรศัพท์เกร็งแน่น
ตัวสั่นเสียจนมาร์คัสต้องละมือด้านหนึ่งมาจับไหล่ไว้และปรามให้ใจเย็น
“เฮ้ ใจเย็น”
แจ็คสันสะบัดไหล่ปัดมือมาร์คัสออก
ทำเอานายแบบหนุ่มนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
แต่ตอนนี้แฝดน้องตระกูลหวังไม่อยู่ในอารมณ์ปกติเสียแล้ว
“Aichmophobia Xyrophobia โฟเบียอะไรก็ตามเถอะ พี่ผมจับพวกมันไม่ได้หรอกนะ! รุนแรงที่สุดคือเขาจะสลบ
ถ้าพี่ผมเป็นอะไรขึ้นมาผมจะฟ้องคุณ!!!”
“ผมไม่รู้...ผมขอโทษ”
“ไปขอโทษเจสันเถอะ...”แจ็คสันสูดลมหายใจเข้าลึก
เงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังจะสะกดกลั้นอารมณ์ มือขาวกำกางเกงตัวเองแน่น
ท่าทางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่
“ตอนนี้เขาร้องไห้ อีกสักพักเขาจะอ้วก รีบพาเขาออกมาจากห้อง...ทำยังไงก็ได้
เก็บของทุกอย่างที่มีคมลงในกล่องอย่าให้เขาเห็น
วิธีเดียวที่ทำให้อาการเขาดีขึ้นคืออยู่กับเขา”
“อยู่กับเขา?”
“ใช่ เวลาเขากลัวเขาจะชอบวิ่งหนีไปขลุกอยู่กับตัวเอง
แต่พอเขาอยู่กับตัวเองเขาจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วจะอาการหนักกว่าเดิม
คุณต้องอยู่กับเขา อยู่ข้างเขา
ทำยังไงก็ได้ให้เจสันไม่คิดถึงอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาทรมานกับมัน”
“เรื่องนั้นมันคืออะไร?”
“ผมไม่รู้...”แจ็คสันเงียบ
น้ำเสียงแข็งกร้าวอ่อนลงกลายเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาแทน
ก้มหน้าลงพูดตอบกลับไปเสียงเบา “เขาเป็นมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว...ผมก็ไม่รู้”
“...ขอบคุณครับ ผมจะทำตามที่คุณแนะนำ
และขอโทษด้วยที่ดูแลเขาได้ไม่ดี”
แจ็คสันเม้มปากเล็กน้อย ลังเลที่จะพูดอะไรออกไป
สุดท้ายก็ตัดใจเรียกปลายสายไว้ก่อนจะวางสายไป
“คุณมาร์ค...”
“ครับ?”
“พี่เจสันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่แสดงออกหรอกนะครับ...”แจ็คสันบอกเสียงเบาแต่ชัดเจนในน้ำเสียง
ดวงตากลมทอประกายห่วงใยและเชื่อมั่น แม้มาร์คไม่ได้อยู่ตรงหน้า
แต่อีกฝ่ายต้องรับรู้สิ่งที่แจ็คสันต้องการจะบอกแน่นอน
...ผมฝากพี่ผมด้วยนะครับ...
แจ็คสันนั่งนิ่งมองโทรศัพท์ในมือตัวเองเงียบๆ
ในขณะที่มาร์คัสผู้มองเหตุการณ์มาโดยตลอดสรุปอะไรบางอย่างในใจ
...ก็ไม่ได้เป็นเด็กซื่อบื้ออย่างที่คิดนี่นะ...
มาร์คัสขับรถเงียบๆมาตลอดทาง ปล่อยให้แจ็คสันคิดอะไรคนเดียวไปสักพัก
เขาไม่รู้หรอกว่าระหว่างแฝดอีกคู่เกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับเขา
ความสัมพันธ์ของแฝดเป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าใจยาก
จะบอกว่าพี่น้องก็ถือว่าห่างไกลเกินไป แต่จะเรียกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่
เพราะพวกเขาต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง...เป็นความสัมพันธ์ที่แม้จะเดินคนละเส้นทาง
แต่สุดท้ายแล้ว ต่างฝ่ายก็ต้องมีอะไรเกี่ยวเนื่องกันอย่างขาดไม่ได้
สำหรับเขาและมาร์ค
เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งส่งเสริมและแข่งขันไปในตัว
จะปฏิเสธตัวตนของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ จะให้อีกฝ่ายมากลืนกินตัวตนของตัวเองก็ไม่ได้
มาร์คเป็นคนเก่งและมีความฝันอันแน่วแน่
เป็นที่พึ่งพาของครอบครัวและได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อมาก
ผิดกับเขาที่ไม่มีความฝันเป็นชิ้นเป็นอัน
เมื่อถึงคราวที่พ่อตัดหางปล่อยวัดพวกเขาทั้งคู่
มาร์คัสเลยต้องดิ้นรนค้นหาความฝันของตัวเอง จับพลัดจับพลู
โชคดีมาเป็นนายแบบโฆษณาชื่อดัง เลยมีเงินเลี้ยงชีพตัวเองได้บ้าง
แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มี ‘ความฝัน’
หรือ ‘อะไรที่ต้องทำให้ได้ในชีวิตนี้’ เสียที ลองทำอะไรใหม่ๆในวงการไปเรื่อยๆก็พบว่ามันน่าเบื่อไปหมด
เขาเริ่มรู้ตัวว่าไม่ใช่มาสายนี้เสียแล้ว
เลยหนีตัวตนหน้ากล้องมาเริ่มทำกิจการกับเพื่อนในคณะอย่างเจบี
อย่างน้อยร้านนั้นก็ทำให้เขาไม่รู้สึกไร้หลักแหล่งจนเกินไปนัก
เผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีใกล้ถึงที่หมายแล้ว มาร์คัสเอื้อมมือค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าข้างที่นั่ง
พอดีกับที่หักรถเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆข้างตึกสูงขึ้นเนินสูงไต่ระดับ
แจ็คสันมองเลิ่กลั่กเพราะจู่ๆพื้นที่รอบข้างก็มืดราวกับอยู่ใต้อุโมงค์ข้ามรัฐ
“พี่จะพาผมไหน...”
“เงียบก่อน”มาร์คัสดุเข้าให้
มีไฟอยู่ด้านบนอีกดวงแสดงให้เห็นว่าที่นี่คืออุโมงค์จริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าเป็นอุโมงค์ไปที่ไหน ต่อจากตรงนี้เป็นแถบเรืองแสงมุ่งตรงไปด้านหน้า
เพียงแค่ไม่ถึงนาที พวกเขาก็ออกมาจากความมืด แจ็คสันลุกนั่งเกาะคอนโซลรถมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ดวงตาโตเบิกกว้าง ไม่คิดว่าจะมีพื้นที่แบบนี้อยู่ในตึกสีอึมครึมได้
ตึกสีงาช้างสูงชะลูดกลมกลืนไปกับตึกธุรกิจด้านหน้า
แต่หากมองจากจุดนี้แทบไม่เห็นว่ามันเป็นคนละตึกกัน ราวกับผู้สร้างจงใจไม่ให้มันเป็นที่สนใจ
สังเกตได้ยากและเป็นส่วนตัว พื้นที่โดยรอบบริเวณก็สวยงามหรูหรา
จัดประดับประดาด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์จัดสรรวางสเกลได้อย่างงดงาม น้ำพุขนาดใหญ่กลางลานมีป้ายสีขาวด้านหน้าบ่งบอกว่าที่นี่คือ
‘Lost Paradise’ สวรรค์ที่หายสาบสูญ
สวรรค์ที่ถูกซ่อนเร้นในดงเมืองใหญ่แห่งนี้...
“นี่มัน...”
“ที่พักลับของฉัน”มาร์คัสตอบพลางถอนหายใจ
“แม้แต่มาร์คมันยังไม่รู้เลยว่าฉันซื้อที่นี่เอาไว้ด้วย”
“เห!
งั้นผมก็...”แจ็คสันร้องตื่นเต้นดีใจ
หัวใจในอกเต้นระรัวราวกับมีใครบุกเข้าไปกระหน่ำตีแทนกลองรบ ดวงตาโตวาวระริก ไม่อยากเชื่อว่ามาร์คัสจะพาเขามาในที่ลับแบบนี้ได้
“เออ...นายได้มาที่นี่คนแรก”มาร์คัสตอบท่าทางเบื่อหน่าย
ใจจริงเขาไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อย
ที่ซื้อเอาไว้ก็เพราะอยากจะมีที่ไว้หลบซ่อนตัวเองจากความวุ่นวาย
แต่เพราะบ้านที่อยู่ปัจจุบันก็ห่างไกลสังคมมากพอเลยไม่ได้เข้ามาในนี้มากนัก
แต่มันก็เป็นที่สุดท้ายที่เขาจะได้อยู่อย่างสบายใจในที่ของตัวเองและลึกลับมีความปลอดภัยพอไม่ให้ไอ้พวกมาเฟียบ้านั่นเข้ามารังควาญเขาได้
(จริงๆก็มาตามกลิ่นภาระข้างตัวเขานี่แหละ)
มาร์คัสขับรถไปหยุดตรงหน้าเครื่องรักษาความปลอดภัยชั้นแรก
ลดกระจกยื่นบัตรไปแตะแสกนตัวตน
ตามด้วยกดรหัสเจ็ดตัวที่แจ็คสันก็ไม่เห็นหรอกว่ากดอะไรไปบ้าง
หากว่าเท่านั้นยังไม่พอ พอไปถึงหน้าคอนโด (แจ็คสันคิดว่ามันคือคอนโด
ถึงจะเหมือนโรงแรมสำหรับระดับศุลต่านค้าน้ำมันขนาดไหนก็ตาม) แค่จอดรถแช่ไว้
พนักงานในชุดยูนิฟอร์มสีเทาแถบทองก็รี่เดินเข้ามารับกุญแจรถไปจากนายแบบหนุ่มเพื่อเอารถไปเก็บ
มาร์คัสเดินลงหล่อๆ
ส่วนคนที่ติดตามมาด้วยอย่างแจ็คสันนี่แทบจะกระโดดลงด้วยความตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูก
“ยินดีต้อนรับค่ะท่านมาร์คัส”พนักงานต้อนรับสาวในชุดยูนิฟอร์มสีเดียวกันเรียงสองแถวกล่าวต้อนรับ
ทำเอาแจ็คสันนี่นิ่งค้างขาแข็งไม่กล้าเดินต่อ ผิดกับเจ้าของชื่อที่พยักหน้าเนือยๆ
เดินนำไปที่เคาน์เตอร์ ติดต่อพนักงานที่รอให้บริการด้วยความเต็มใจยิ่ง
และมีสิ่งหนึ่งที่แจ็คสันสังเกตเห็น
คือพนักงานที่นี่มีแต่พวกหน้าตาดีหุ่นดีราวกับนางแบบนายแบบทั้งนั้น
มองๆไปฝ่ายรับพนักงานที่นี่คงเหี้ยมยิ่งกว่าการคัดคนเข้าเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินดังเป็นแน่แท้
ระหว่างรอแจ็คสันก็มองห้องโถงไปพลางๆ อึ้งกับความหรูหราชนิดที่ว่าไม่เคยคิดว่าจะได้พบได้เห็น
แชนดาเลียขนาดใหญ่ห้อยระโยงจากโดมกระจกสูงเห็นท้องฟ้าด้านบน ผนังทำจากหินอ่อน
ลามไปถึงพื้นที่เหยียบอยู่ก็เป็นหินอ่อนบุพรมสีแดง รูปปั้นเทพเจ้า
รวมไปถึงภาพวาดชื่อดังประดับประดาให้พื้นที่แห่งนี้ดูยิ่งกว่าความฝันของชนชั้นสามัญมากขึ้นไปอีก
...ถ้าได้มาฝึกงานที่นี่ก็คงเหมือนกับเป็นความฝันจริงนั่นแหละนะ...
“เฮ้ นายน่ะ”มาร์คัสกระดิกนิ้วเรียกเขาอย่างกับเรียกลูกหมา
แต่ลูกหมาตัวที่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจจะเดือดร้อน วิ่งดุ้กๆไปยืนข้าง
ตกใจเกือบผวาเมื่อพนักงานคนสวยยื่นเครื่องอะไรบางอย่างมาจ่อตา
“อยู่นิ่ง 5 วินาทีนะคะ”เธอบอก ขณะรัวนิ้วกับแป้นพิมพ์
ดูไปก็คล้ายกันหุ่นยนตร์ทำงานอย่างไรอย่างนั้น แจ็คสันยืนเกร็งนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
กว่าเธอจะลดเครื่องนั้นลงก็แทบหอบลมหายใจเข้าปอดแทบไม่ทัน
“เข้าบอกให้นิ่ง
ไม่ใช่ให้กลั้นใจตาย”มาร์คัสไม่วายกัดมาให้แจ็คสันค้อนปะหลักปะเหลือก
...ก็คนมันไม่เคยนี่นา...
แต่ถึงจะงอนยังไงแต่ก็ยังชอบพี่มาร์คัสอยู่ดีนั่นแหละนะ
(ยิ้มฟิน)
“เพิ่มข้อมูลคุณแจ็คสันหวังในสาระบบห้อง MJ2102 ในฐานะผู้ติดตามเรียบร้อยค่ะ
นี่เป็นการ์ดสำหรับเข้าออกพื้นที่อาศัย
และนี่เป็นหนังสือแนะนำการใช้บริการของคอนโดเราค่ะ หากท่านมีข้อคำถามประการใด
ติดต่อพนักงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากโทรศัพท์ในห้องได้เลยนะคะ”
“อะ...เอ่อ
ขอบคุณครับ”แจ็คสันรับการ์ดสีเงินพิมพ์ลายชื่อคอนโดสีทองและหนังสือแนะนำเล่มเล็กมาถือไว้ด้วยความตื่นเต้น
...นี่พี่มาร์คัสถึงกับทำเรื่องให้เรามาอยู่ด้วยเลยเหรอ?
งือ เขินอ่ะ เขินมาก เหมือนฝันเลย...
“คิดอะไรแปลกๆอยู่ล่ะ ถ้าไม่ลงทะเบียนนายก็เข้าที่นี่ไม่ได้แค่นั้นแหละ”
เพล้ง!!
พี่มาร์คัสจะเว้นช่วงให้ฝันหวานหน่อยก็ไม่ได้เรอะ...ชิ
แต่ถึงอย่างนั้นก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่นี่สุดยอดไปเลย
ถึงขนาดมีสแกนม่านตาขนาดนี้ พวกที่ซื้อห้องอยู่ที่นี่ต้องมีแต่คนไม่ธรรมดาแน่ๆ
และก็อดคิดไม่ได้ด้วยว่าสถานที่หรูขนาดนี้ กลางเมืองขนาดนี้
แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อเลย
“พี่มาร์คัสรู้จักที่นี่ได้ยังไงเหรอครับ?”แจ็คสันถามขณะที่มาร์คัสพาเดินเข้าไปในลิฟต์ของคอนโด
“ชั้น 21...”มาร์คัสบอกพนักงานกดลิฟต์
หันหลังพิงกระจกลิฟต์เอียงคอหลับตาตอบเบาๆ “คนรู้จักบอกมา”
“อ่า...”แจ็คสันตอบแค่นั้น
มองท่าทางของมาร์คัสแล้วรู้สึกชื่นชม ขนาดยืนอยู่เฉยๆยังเปล่งออร่าขนาดนี้
พี่มาร์คัสนี่หล่อจริงๆนั่นแหละ สมกับเป็นนายแบบแนวหน้าจริงๆ
แต่ในขณะที่แจ็คสันกำลังมองด้วยความชื่นชม
คนที่โดนมองกลับรู้สึกหงุดหงิด
...มองอะไรนักหนา...
มันไม่ใช่ว่ามาร์คัสไม่ชอบหรอกนะ แต่เป็นเพราะสายตานั้นกำลังทำให้สันดานเสียๆของตัวเองกำเริบ
ถึงจะระลึกได้เสมอว่าแจ็คสันคือพยานในการคุ้มครองของแฝดพี่ของตัวเองและมาร์คไว้วางใจให้เขาดูแลก็เถอะ...แต่มาร์คลืมไปหรือเปล่าว่ามาร์คัสก็มีนิสัยเสียแก้ยากอยู่อย่างหนึ่งเหมือนกัน
มาร์คัสชอบตกปลา…ปลาสีสวยที่มักจะหลงใหลเหยื่อจอมปลอมของเขา
“พี่มาร์คัสนี่เท่ห์ไปเลย
อายุมากกว่าผมไม่กี่ปีแต่ซื้อคอนโดหรูๆแบบนี้ได้แล้ว”แจ็คสันยังพูดเจื้อยแจ้วเจรจาเป็นปกติ
หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายวันหลายคืนแจ็คสันก็เริ่มพูดมากขึ้น...ไม่สิ เกร็งน้อยลง เลยเป็นตัวเองได้ต่างหาก
“เหรอ”ตอบพลางยกยิ้มหว่านเสน่ห์ไปทางเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าที่หน้าแดงก่ำรีบก้มหน้าหลบทันที
...แล้วนายจะรู้ว่าการเมินเฉยหรือการขับไล่ไสส่งนั่นเป็นความปราณีที่สุดของฉันแล้วนะเด็กน้อย...
พวกเขามาถึงชั้นที่ 21 ในเวลาไม่ถึงนาที ทางเดินกว้างบุพรมสีแดงยาวเหยียดไปถึงหน้าต่างบานใหญ่สุดปลายกำแพง
แจ็คสันสังเกตว่าทั้งชั้นมีแค่ 4 ประตู หมายถึงว่าชั้นๆหนึ่งมีห้องแค่ 4
ห้องเท่านั้นเอง ห้องห้องหนึ่งต้องกว้างขวางขนาดไหนกันนะ?
มาร์คัสเดินเอื่อยมาที่ประตูบานเกือบสุดทางเดิน
ใช้คีย์การ์ดรูดเครื่องข้างประตูให้แผงแสกนม่านตาทำงาน
ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไม่ถึงวินาทีเครื่องก็ส่งเสียงปิ๊ป ประตูปลดล็อคอัตโนมัติ
มือเรียวแข็งแรงผลักบนประตูหนักเข้าไปด้านในก็พบกับห้องชุดหรูขนาดใหญ่กว้างขวางเล่นเอาคนที่เดินตามเข้ามาอ้าปากค้างหยุดยืนอึ้งอยู่หน้าประตู
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็พบกับห้องโถงรับแขกกว้างขวาง
หน้าต่างกระจกใสรับแสงส่องเข้ามาในห้องดูสว่างโดยไม่ต้องเปิดไฟแต่ก็กลั่นกรองแสงไม่ให้จ้าจนเกินไป
ตรงกลางห้องเป็นตำแหน่งของเตาผิงไฟและตรงกลางนั่นคือรูปของมาร์คัสที่อัดซะใหญ่
เด่นแบบเดินมาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นห้องใคร ชุดโซฟาแนวโมเดิร์นสีดำถูกจัดวางตรงหน้าสเตอร์ริโอเครื่องหรูใต้พรมขนสัตว์สีเทา
โคมไฟและของประดับทั้งหลายดูพอดิบพอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เรียบง่าย
เป็นสัดส่วนและให้ความรู้สึกน่าอยู่อาศัย
ผิดจากบุคลิกของเจ้าตัวที่ดูอารมณ์ร้ายและเกลียดการให้คนอื่นเข้ามาในอาณาเขตของตัวเอง
“จะยืนรากงอกตรงนั้นก็ตามสบายนะ”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกสติ
มองหันไปก็เห็นมาร์คัสโยนกระเป๋าของตัวเองลงโต๊ะ สะบัดรองเท้าทิ้ง
เอนตัวลงนอนบนโซฟาที่เขาเพิ่งละสายตาไปเมื่อครู่ เปลือกตาสวยหลับลง
ท่าทางดูเหนื่อยล้าจนแจ็คสันไม่อยากจะกวน เลยเดินลากกระเป๋าของตัวเองไปวางไว้บนพื้นติดกำแพง
เพราะจู่ๆก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเอากระเป๋าใบละไม่กี่ดอลล่าไปวางใกล้ข้างของที่ดูราคาจะมากกว่าของทั้งกระเป๋าเขารวมกันเสียอีก
แจ็คสันเดินสำรวจห้องด้วยความสนอกสนใจ ไหนๆก็ (คิดว่า)
จะได้อยู่ที่นี่อีกนานพอสมควร ก็ควรจะรู้จักไว้ และดูท่าทางว่าเขาจะต้องเป็นคนทำความสะอาดที่นี่เองด้วย
สิ่งแรกที่เขาเดินหาคือห้องครัว
เป็นห้องที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขาในการอยู่กับมาร์คัส
พ่อนายแบบหนุ่มหล่ออารมณ์ขึ้นๆลงๆคนนั้น
ห้องครัวของห้องนี้อยู่ทางทิศตะวันตกและเป็นห้องครัวหรูอย่างที่คาด
เคาน์เตอร์หินสีดำตัดกับตัวตู้สีขาว
โชคดีอย่างหนึ่งที่นี่มีเครื่องครัวครบครันยิ่งกว่าบ้านที่มาร์คัสบอกว่าตัวเองอยู่ประจำเสียอีก
แต่ในตู้เย็นก็ไม่มีของสดอยู่เลย คงเพราะเจ้าของห้องไม่ได้อยู่ที่นี่นานสินะ
แม้แต่น้ำสักขวดยังไม่มีติดไว้เลย
พอเดินสำรวจไปถึงค่อยเห็นว่ามีแพ็คน้ำซุกเอาไว้มุมครัว หยิบมันขึ้นมาลำเลียงเข้าตู้เย็นและเสียงปลั๊กตู้ให้ทำงาน
ทางฝั่งตะวันตกมีห้องครัว ห้องน้ำเล็ก 1 ห้อง
บริเวณโต๊ะรับประทานอาหารติดหน้าต่างและห้องนอนเล็กอีก 1 ห้อง (แจ็คสันค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะได้นอนห้องนี้)
ส่วนฝั่งตะวันออกมีห้องนอนใหญ่ 1
ห้องในนั้นมีห้องน้ำในตัวและมีประตูต่อไปถึงห้องนั่งเล่นเล็กซึ่งมีโทรทัศน์
สเตอริโอหรือเครื่องเล่นเกมเต็มไปหมด
ข้างกันคือห้องทำงานที่แจ็คสันคิดว่าคงเอาไว้ประดับเป็นบารมีเฉยๆเพราะไม่เห็นร่องรอยการใช้งานแต่อย่างใด
แต่ที่หรูที่สุดคงจะเป็นสระว่ายน้ำและอ่างกุชชี่ยักษ์กลางห้องติดกระจกมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองนั่นแหละ
สมกับเป็นคอนโดโคตรหรูจริงๆ
พอสำรวจจนทั่วก็เดินกลับมาที่ห้องโถงเดิมแบบไม่มีอะไรทำ
อาหารก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีของสด เดินไปนั่งโซฟาตรงข้ามกับมาร์คัส
แต่ไม่ทันจะได้นั่งให้หายเมื่อยเสียงทุ้มก็ดังแหวกขึ้นท่ามกลางความเงียบซะก่อน
“มานั่งนี่”
“ค...ครับ?”แจ็คสันทวนด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันบอกว่ามานั่งนี่”ดวงตาสวยลืมขึ้นมองเขาดุๆ
น้ำเสียงเข้มขึ้นเร่งให้คนอายุน้อยกว่าเดินเข้าไปใกล้โซฟาที่มาร์คัสนอนอยู่
แต่ก็ไม่รู้จะให้ไปนั่งตรงไหน ก็ในเมื่อคนตัวสูงเล่นนอนกินพื้นที่หมดเลยนี่นา
“ให้ผมนั่งไหนครับ”
มาร์คัสลุกขึ้น ตบที่นั่งบอกให้นั่ง
แจ็คสันก็นั่งอย่างว่าง่าย
แต่ก็ต้องร้องตกใจตอนที่ศีรษะได้รูปของคนที่ตนเองปลื้มมาตลอดเอนนอนบนตัก
“จะร้องอะไรของนาย”
“ก็ พี่...ก็”
ใบหน้ากลมแดงก่ำทั้งเขินอายทั้งทำตัวไม่ถูก ลำตัวเกร็งแน่น
ยิ่งตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาเอียงใบหน้าเข้ามาหา
ดวงตาสวยปรือลืมขึ้นค่อยๆตวัดตามองราวกับสายนั้นคือสวิงดักจับปลาชั้นยอด
หัวใจเขาเต้นแรงจนหยุดไม่ได้ เคยแค่สบตากันผ่านหน้ากระดาษ
ไม่เคยคิดเลยว่าดวงตาของมาร์คัสจริงๆแล้วมีเสน่ห์ยากละสายตามากกว่าภาพหลังกล้องมากนัก
ริมฝีปากเรียวยิ้มกระตุกถูกใจกับปฏิกิริยา
มือเรียวยื่นขึ้นมาแตะผิวเนื้อนุ่มข้างลำคอขาว แจ็คสันสะดุ้ง
ยกมือประกบตามสัญชาติญาณแต่ก็ไม่อาจห้ามแรงสัมผัสชวนวาบหวิวจากคนมากประสบการณ์ได้
แจ็คสันเริ่มโอนอ่อนกับสัมผัส ไม่ต่างจากลูกหมาเวลาคนเกาคาง
ตากลมปรือปรอยแม้จะมีแววไม่แน่ใจ มือพยายามจับมือเรียวที่เริ่มแตะนู่นจับนี่
สมกับเป็นคนมือไว จะลุกหนีก็ไม่ได้เพราะมาร์คัสนอนทับตักเขาอยู่
แต่จะให้นั่งอยู่นานกว่านี้ต้องใจอ่อนไหลไปตามเกมของคนเจ้าเล่ห์แน่
เริ่มเข้าใจคำที่มาร์คเตือนเสียแล้ว
‘อย่าไว้ใจหมาป่าอย่างมาร์คัส’
ในขณะที่เรื่องกำลังจะเลยเถิด เสียงโทรศัพท์ของมาร์คัสก็ขัดจังหวะขึ้นมาได้พอดิบพอดี
แจ็คสันอาศัยโอกาสนั้นดันตัวนายแบบหนุ่มขึ้นและวิ่งเข้าห้องน้ำไป
ส่วนหมาป่าที่ทำเหยื่อหลุดมือก็สบถกับโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
“ว่าไง”
‘ทำไมเสียงเหมือนจะฆ่าคนแบบนั้น?
ขัดจังหวะกินเหยื่อรึไง’
“แล้วคิดว่ายังไงล่ะ”มาร์คัสตอบเพื่อนนายแบบรุ่นน้องแต่ดันตัวสูงกว่าเขาอย่าง
คิม ยูคยอม ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร
ปลายสายได้ฟังแบบนั้นก็ยิ่งหัวเราะสะใจเป็นวรรคเป็นเวร
...สะใจมากไหมไอ้หมีโพล่าแบร์...
“มีธุระอะไร”
มาร์คัสคิดในใจว่าถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจจะขับรถไปกระทืบมันถึงคอนโดทันทีที่วางสาย...
“มีผับเปิดใหม่แถวลองบีช ฉันคิดว่าน่าสนใจดี
เห็นนายเปิดกิจการด้วย จะไปดูหน่อยไหมล่ะ?”
“ขอจุดประสงค์จริงๆ”
“ยาหยีกลับไทย เหงา จะไปคั่วสาว”
“ก็แค่นั้น”มาร์คัสกลอกตา รู้กันสันดารกันดี
ไม่เห็นมีอะไรจะต้องปิด ยูคยอมมันไม่ใช่เป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไร
คบกันได้มันต้องมีอะไรเหมือนกันบ้างอยู่แล้ว
พอดีกับที่หงุดหงิดเพราะโดนขัดจังหวะอยู่แล้ว
ไปพลาญทรัพย์มันเล่นๆคงสะใจดีเหมือนกัน “อีกสิบนาทีหน้าคอนโดนาย”
นัดหมายเสร็จก็วางสาย ลุกขึ้นจัดผมเผ้าให้เรียบร้อย
เหลือบมองประตูห้องน้ำที่ยังปิดสนิท
“คอนโดมีบริการซื้อของสด อ่านในหนังสือแนะนำดู
ฉันอาจไม่ได้กลับคืนนี้ นายนอนห้องเล็ก ห้ามเข้าห้องนอนใหญ่ นอกนั้นก็แล้วแต่นาย”ร่ายกฎคร่าวๆให้คนในนั้นฟังรวดเดียว
ไม่ได้สนใจว่าแจ็คสันจะได้ยินหรือไม่ และไม่รอให้อีกคนตอบรับก็สวมเสื้อคลุมหนังเดินออกไปจากห้อง
คืนนี้ ถ้าไม่ผลาญไอ้หมีนั่นจนเกลี้ยงกระเป๋า โทษฐานขัดจังหวะยอดเยี่ยมแห่งปี
อย่ามาเรียกเขาว่ามาร์คัสเลย...
หลังจากทำความเข้าใจกันเกือบชั่วโมง
ในที่สุดเจสันก็ยอมออกมาจากห้อง และทำสัญญาสงบศึกชั่วคราว (ของแท้)
เจสันก็ขอตัวไปอาบน้ำ พอพยานตัวยุ่งแต่งตัวเสร็จก็พอดีกับที่นายตำรวจหนุ่มทำอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย
“คุณทำอะไรกินน่ะ กลิ่นดีจัง”ช่างภาพอารมณ์ติสเดินตัวหอมฉุยออกมาจากห้อง
เปลี่ยนเสื้อใหม่แต่ก็ยังเป็นสไตล์เดิมคือเสื้อยืดสีดำและกางเกงเป้าต่ำสีเดียวกัน
เดินนวยนาดมาหยุดข้างกายมาร์คที่ยังไม่เปลี่ยนชุด แค่สวมผ้ากันเปื้อนไว้
“สตูวเนื้อ คุณบอกไม่กินผัก”มาร์คตอบ ตักสตูเข้มข้นขึ้นมาชิม
“คุณไปตักข้าวเถอะ”
เจสันยืนมองอาหารน่าทานในหม้อแล้วก็แอบรู้สึกผิดเล็กๆที่ไปกวนมาร์คไว้เยอะ
เลยสารภาพเสียงอ่อย “จริงๆแล้ว...ผมกวนคุณเล่นน่ะ ผมทานได้หมดนั่นแหละ”
“...พรุ่งนี้ผมจะทำสลัดผัก”
“เฮ้!
ผมกินได้แต่ไม่ใช่ว่าอยากกินแต่ผักสักหน่อย”เจสันอดโวยวายไม่ได้ อุตส่าห์ว่าจะยอมทำตัวดีหนึ่งวันในโอกาสที่มาร์คช่วยเขาไม่ให้รู้สึกทรมานกับอาการโฟเบีย
แต่พอเห็นแบบนี้แล้วชักอยากฟาดหัวฟาดหางเหมือนเดิมเสียแล้ว ยิ่งนึกถึงว่าคนที่ทำให้อาการของโรคกำเริบคือมาร์คด้วยแล้ว
“ผมล้อเล่นน่ะ”บอกหน้าตาย
หยิบถ้วยขึ้นมาตักสตูยื่นให้เจสันที่รับมาถือไว้ ก่อนหันไปยกหม้อข้าวออกไปวางบนโต๊ะทานอาหารที่จัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
เจสันเดินตามมา วางถ้วยสตูไว้ข้างจานออมเล็ตสีสวย
ต้องยอมรับจริงๆว่ามาร์คทำอาหารได้น่าทานจริงๆ
พวกเขาเริ่มทานอาหารกันเงียบๆ
เงียบเกินไปจนมาร์ครู้สึกอึดอัดแปลกๆ ถึงได้หยิบรีโมทขึ้นมาเปิดดูโทรทัศน์
เสียงผู้ประกาศข่าวดังกลบบรรยากาศแสนกระอักกระอวนให้ดีขึ้นบ้าง
ไม่ชินกับการที่เจสันจะทำตัวเป็นเด็กดี สงบปากสงบคำแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ทนทานอาหารด้วยบรรยากาศแบบนั้นไปจนจบ
เจสันพอทานข้าวเสร็จก็นั่งทานองุ่นในตะกร้าเล่นรอมาร์คที่ทานช้ากว่า
(จริงๆคือเจสันแทบจะเขมือบจานเข้าไปอยู่แล้ว)
รับรู้ตลอดว่านายตำรวจหนุ่มมองเขาอยู่ตลอดเวลา เลยอาศัยจังหวะหนึ่งเงยหน้าขึ้นสบตา
“คุณมีอะไรรึเปล่า”
“ผมขอถามอะไรคุณหน่อย”
“ถามเรื่องคดีเหรอ? ผมจะตอบเท่าที่จะตอบได้แล้วกัน”เจสันพยักหน้าเบาๆ
ให้ความร่วมมือดีกว่าที่คาดไว้เสียอีก “อ้อ
แต่ผมให้ความร่วมมือเพราะผมอยากกลับไปอยู่กับน้องผมเร็วๆหรอกนะ”
“ผมก็อยากจบคดีเร็วๆเหมือนกัน”มาร์คตอบ
รู้สึกพอใจที่อีกฝ่ายเริ่มเข้าใจอะไรบ้างขึ้นแล้ว
“ผมได้ยินว่าคุณเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง คุณไปทำอะไร?”
“ไปท่องเที่ยว”เจสันตอบเนือยๆพลางใช้นิ้วจับองุ่นผลรีหมุนเล่นไปมา
“ผมเป็นช่างภาพอิสระ งานของผมคือถ่ายตามออเดอร์ของลูกค้า
และบางครั้งก็ไปเที่ยวเพื่อถ่ายรูปหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง
การไปฮ่องกงครั้งนี้คืออย่างหลัง ผมแค่อยากกลับไปถ่ายภาพเมืองบ้านเกิดของผมเอง”
“คุณเกิดที่ฮ่องกง”
“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ ในเอกสารนั่นก็บอก”เจสันถอนหายใจ “พ่อแม่ของเราย้ายมาทำงานที่นี่ตั้งแต่พวกเรายังเด็ก
ผมอยู่ที่นี่มาได้ 8 ปีแล้ว ส่วนพ่อแม่ผมอยู่ไมอามี่”
“คุณรู้เหตุผลที่พวกเขาย้ายมาไหม?”
“คุณสงสัยพ่อแม่ผมรึไงกัน”เจสันขมวดคิ้วขุ่น
“ไม่ใช่แบบนั้น”มาร์คแก้ความเข้าใจผิด “ผมแค่สงสัยว่าทำไมพวกนั้นถึงตามทำร้ายคุณแบบเจาะจงแบบนี้...ถ้าไม่ว่าอะไร
ผมขอตรวจสอบภาพเซทนั้นได้ไหม?”
“ก็เอาสิ ผมพี่ไฟล์ต้นฉบับที่ยังไม่ได้ดัดแปลงอยู่ในคอม
แต่ผมลองตรวจดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดปกติตรงไหนนะ”
“ผมจะตรวจดูอีกครั้งแล้วกัน”
“โอเค งั้นผมจะไปเอามาให้”เจสันย่นคอทำท่าทางกวนประสาท
แต่จริงๆแล้วก็แค่ท่าทางปกติของเจ้าตัว มาร์คสังเกตได้หลังจากคลุกคลีกันเกือบสองวัน
เจสันลุกขึ้นจากโต๊ะ กำลังเดินผ่านชายหนุ่มไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆมือเรียวก็ยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มทางการ
“เจสัน...ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก...อย่าที่บอก ถ้าคดีจบเร็ว
ผมก็จะได้เป็นอิสระเสียที”ศิลปินดวงตกยักไหล่ไม่ยี่หระ เดินผ่านมือข้างนั้นไป
ไม่สนใจจะจับ เจสันเกลียดท่าทางเป็นการของมาร์ค
คงเพราะความไร้ขอบของตัวเองต่อต้านกับคนจำพวกนี้...หมายถึง คนแบบมาร์ค
ชีวิตที่มีกฎมีเกณฑ์มันไม่เหมาะกับเขาหรอก
“น่าเบื่อชะมัด...”
#ficTTM
Please comment
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น