[TTM] 13

TWINS & TWINS
MATCH
_______13_______



มันคงเป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อยหากมีใครมาเห็นสภาพ อิม แจบอม ในตอนนี้...ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน สวมเสื้อเชิ้ตดำลายทางใต้สูทสีเข้มขับผิวขาวเหลืองแบบเอเชียให้โดดเด่น หูเจาะจิวเงินเรียงเป็นทิวแถวแทบไม่มีที่ว่าง เสริมลุคแบดบอยให้เด่นชัด เส้นผมสีดำปล่อยปิดหน้าผากและแว่นตาสีชาบดบังใบหน้าไปเกือบครั้ง เป็นคนที่มองผาดๆก็รู้ว่าหล่อเหลาเอาการ เพียงแต่ไอ้ท่าทางเกาะข้างรถหรูคันโปรดของตัวเองเป็นตุ๊กแกหลบๆเลี่ยงๆแบบนี้ทำเอาภาพหล่อๆหายไปหมด
แม้แต่ตัวเจ้าของเองก็ยังอดอนาถตัวเองไม่ได้
“แม่ง...”สบถในลำคอเสียงเบา ดวงตาเรียวใต้เลนส์สีชาลอกแลกมองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวงอยู่ประตูหลังร้านที่ตัวเองเป็นเจ้าของ แม้ว่าจริงๆแล้วเขาสามารถเดินเข้าออกร้านได้ตามปกติโดยไม่ต้องทำตัวราวกับโจรเตรียมย่องยกเค้าร้านตัวเองแบบนี้ แต่ก็เพราะคนๆนั้น...
โอเค จะพูดเลี่ยงไปทำไม ก็ไอ้บาร์เทนเดอร์หมาป่าห่มหนังแกะนั่นยังไงล่ะ! ไอ้นั่นเลย เพราะไอ้ข้อแม้บ้าๆนั่นมันน่าอับอายจนทำให้เขารู้สึกโกรธตัวเองชะมัดที่สู้อะไรไม่ได้เลย เจอหน้ากันทีไรก็โดนจินยองต้อนจนมุมและทำให้เสียศักดิ์ศรีอยู่ตลอด ไปๆมาๆก็เลยกลายเป็นอาการหวาดระแวง หลบหน้าหลบตา ไม่อยากเจอหน้าจินยองในร้าน ถึงขั้นขังตัวเองไว้ในห้องทำงานทั้งที่ปกติเขาจะต้องเดินตรวจตราการทำงานในร้านอยู่เสมอ
น่ารำคาญ
เพราะคนๆเดียวทำให้เขาทำงานได้ยากขึ้น แถมยังทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสียไปทั้งวัน
นี่มันแย่มาก...รู้ดีว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆตัวเองจะเป็นบ้าเอาเสียเอง ที่เป็นทุกวันนี้ก็เริ่มประสาทมากแล้ว จะไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ เรื่องน่าอับอายแบบนั้นจะกล้าไปเล่าให้ใครฟังได้ ได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองว่าวันนั้นไม่น่าพลาดปล่อยตัวเองจนเสียท่ามาถึงขนาดนี้เลย แต่พอย้อนกลับไป คนต้นเรื่องมันก็เขาเอง ถ้าจะโทษความผิดใครก็คงเป็นตัวเองครึ่งหนึ่ง กับจินยองอีกครึ่งหนึ่ง
“สวัสดียามเที่ยงครับแจบอม”
เฮือก! เจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจจนล้มลงไปพื้นแบบโคตรเสียท่าเพราะคำทักทายของคนที่กำลังก่นด่ามาแบบไม่รู้ตัว ตั้งสติได้ก็เด้งตัวกระโดดเด้งห่างจากจุดเดิมเกือบสามก้าว แสร้งปัดฝุ่นปัดมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไว้ท่าเอ่ยตอบรับในลำคอเล็กน้อย ก้าวยาวๆจะเข้าร้าน แต่ก็โดนขัดไว้ด้วยเสียงเดิม
“วันนี้มาเร็วจังเลยนะครับ ตั้งใจจะหลบผมเหรอ”
“ไม่โว้ย!
จินยองหัวเราะในลำคอกลั้นยิ้มจนหน้ายับ ตลกเจ้าของผับคนแมนที่หน้าแดงยิ่งกว่าผลเชอร์รี่
นิสัยอีกอย่างที่จินยองเพิ่งค้นพบคือแจบอมเป็นพวกขี้อาย... ไม่ใช่ใจไม่กล้า แต่ยุให้เขินง่ายยิ่งกว่าอะไร และจะเก็บอาการไว้ไม่เคยได้เลยสักครั้ง เห็นแล้วมันน่าหมั่นเขี้ยวนัก
“เสียงสูงนะครับ”
“แล้วแต่”แจบอมถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนหน้าด้านหน้าทน เหลือบตามองจินยองแล้วเดินหนีเข้าไปในร้านที่เงียบสงัดเพราะยังไม่ถึงเวลางาน เจ้าของผับผู้รู้งานเดินลัดเข้าไปในห้องจ่ายไฟด้านหลังห้องครัว ไขลูกกุญแจเข้าไปในห้องแคบๆที่มืดสนิทและมีกลิ่นอับเล็กน้อย ขนาดห้องแคบขนาดเท่าตัวผู้ชายคนเดียวเป็นแนวยาว ดังนั้นแจบอมจึงเดินเฉียงๆเข้าไป เปิดฝากล่องแล้วดันเบรกเกอร์ทั้งหมดขึ้นเพื่อเปิดไฟในร้าน
ไฟสีส้มสว่างวาบเหนือศีรษะเขา แจบอมเหลือบมองคนที่ถือวิสาสะเดินตามเขาเข้ามา แถมยังอิงตัวข้างสวิตช์ไฟกั้นทางออกประตูด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมยังส่งสายตากรุ่มกริ่มนั่นมาให้เขาอย่างเปิดเผยอีกต่าง
“อยากเปลี่ยนสถานที่เหรอครับ ก็โอเคนะ ดูส่วนตัวไปอีกแบบดี”ทางนั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะขำๆ
“เออๆ อยากทำอะไรก็ทำเหอะ”
คำตอบของเจ้าของผับดังสร้างความแปลกใจผสมความงุนงงให้คนตามจีบอย่างจินยองไม่ใช้น้อย วันนี้ทำไมถึงได้ยอมง่ายผิดปกติ วันก่อนๆยังก่นด่าความเจ้าเล่ห์ของเขาจะเป็นจะตายอยู่เลย
“ปิดประตูด้วย ประเจิดประเจ้อ”แจบอมย้ำความอีกที เดินลึกเข้าไปพิงผนังด้านในสุดของห้องด้วยท่าทีสบายๆ สองแขนกอดอก เอียงคอทำหน้าตากวนประสาทราวกับกำลังจะท้าทาย...
แปลก...จะมาไม้ไหนอีกนะแจบอม
จินยองปิดประตูเข้าช่อง แต่ไม่ได้ล็อก แสงไฟสีส้มนวลกระทบชายรูปร่างกำยำที่กำลังยืนนิ่งรอคอยเขาให้เข้าไปหา บาร์เทนเดอร์หนุ่มวางศอกด้านหนึ่งบนผนังข้างศีรษะสีเข้ม จ้องเข้าในไปในดวงตาเรียวใต้แว่นสีชาที่ไม่ปรากฏความเขินอายหรือโกรธเคืองอย่างทุกครั้ง กลิ่นน้ำหอมเข้มๆลอยอบอวลรอบกายที่ส่วนสูงมากกว่าเล็กน้อยแต่ในเวลานี้กลับยืดอกเต็มส่วนสูง ทำให้ตอนนี้แจบอมแลดูจะอยู่เหนือกว่าเขา ทั้งความสูง รังสี ความเฉยชา........แต่
นิ้วเรียวของจินยองแตะลงบนริมฝีปากสีอ่อน หมาป่าตัวร้ายดึงหนังแกะออกจากกาย หน่วยตากลมรีคล้ายแมวทอประกายนักล่า ริมฝีปากอิ่มสวยค่อยๆเหยียดออก ยกมุมปากด้านหนึ่งขึ้น ปลายลิ้นไล้เลียกลีบปากล่างตัวเองช้าๆ ปลายนิ้วร้อนลูบไล้ไปตามรูปคางสาก ไม่ต่างจากเวลาเจ้าตัวกำลังลูบไล้แก้วก่อนเตรียมเครื่องดื่ม เพียงแค่สายตาก็สามารถทำให้คนที่กำลังเก๊กสุดชีวิตรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเพียงไวน์ราคาแพงในแก้วทรงสูงของคนตรงหน้าเท่านั้น แจบอมเผลอกลืนน้ำลาย หลุดแววตาตื่นตระหนกออกมาวูบหนึ่ง...และนั่นก็เข้าเป้าหมาป่าอย่างจินยองเต็มเปา
“หึ”ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ แจบอมใจหายวูบหนึ่งเมื่อชายหนุ่มเอาหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกัน เจ้าของร้านคนเก่งหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ก่อนจะรู้ตัวว่าโดนหลอกก็เมื่อเงาของจินยองหายไปและชายเสื้อโดนดึงหลุดจากขอบกางเกง
“เฮ้ย! ทำบ้าอะไร!”แจบอมร้องเสียงดัง ดันใบหน้าที่อยู่ระดับเดียวกับขอบกางเกงเขาออกห่าง จินยองหลบได้ทัน ลุกขึ้น จับไหล่กว้างใต้สูท พลิกตัวแจบอมติดผนังและรวบสองมือไขว้หลัง เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างใบหูแดงก่ำ
“ก็...จูบไงครับ”
“จูบบ้าอะไรวะ! เมื่อกี้ทำไม...อึก”เสียงห้าวดุหลุบเข้าลำคอ ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ความตื่นตระหนกแล่นไปทั่วร้าง ตรึงร่างเขาให้หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ใจเต้นสูบฉีดแรงเพราะสัมผัสร้อนแฉะข้างใบหู ริมฝีปากหนาที่คอยป้อนจูบบนปากเขาทุกวันเป็นเวลากว่าสัปดาห์ ตอนนี้ย้ายไปสร้างความปั่นป่วนบนผิวอ่อนหลังใบหูและต้นคอด้านหลัง
กลีบเนื้ออุ่นบดผิวเนื้ออ่อนเจือกลิ่นน้ำหอมเข้มข้างใบหู จูบซับแรงๆ สูดทั้งกลิ่นแชมพูและกลิ่นน้ำหอมเข้มๆแสนคุ้นเคยเข้าเต็มปอดจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดเจน กดแรงจับข้อมือบนเอวสอบไว้แน่นขึ้นเพื่อความมั่นใจก่อนจะเริ่มชิมเหยื่อด้วยปลายลิ้นอีกระรอก คราวนี้ผู้ล่าย่ามใจย้ายลากจากหลังใบหูไปที่หลังคอ จากประสบการณ์ฉุกละหุกครั้งนั้น เขายังจำได้ดี ว่าตรงนี้คือแอเรียอันตราย
“อ...”แจบอมหลุดเสียงสั่นออกมาแต่ก็กลั้นได้ทัน ส่วนจินยองยิ่งได้ยินแบบนั้นยิ่งกดริมฝีปากหนักหน่วง ดูดดึงผิวเนื้อแน่นแทบจะหลุดติดริมฝีปาก ไม่ลืมเพิ่มรสชาติด้วยการขบเม้มเบาๆเป็นการหยอกล้อและจูบซับซ้ำๆแทนการปลอบโยน อารมณ์ที่สลับไปมาทำเอาคนคิดจะแสร้งทำเป็นไม่สนไม่แคร์โลกในตอนนี้อ่อนระทวยในอ้อมแขนเขา เอาแต่พิงศีรษะกับผนังสะกดกลั้นเสียงน่าอายอึกอักๆ
...ดูน่าอึดอัดชะมัด จริงๆก็อยากจะได้ยิน แต่วันนี้ก็แกล้งแรงเกินไปแล้ว ขืนมากกว่านี้ได้โดนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้มาสักหมัดสองหมัดแน่ๆ...พอคิดแบบนั้นเลยจูบหนักๆลงไปบนผิวเนื้อด้านหลังคอ ถึงจะเป็นไฟส้มก็ยังเห็นว่ามันแดงจัด คาดว่าอีกไม่ถึงสามชั่วโมงจะต้องช้ำม่วงอย่างแน่นอน
...อ่า ดีนะที่อยู่มุมอับสายตา ไม่งั้นโดนหมัดจริงๆแน่...
“แกทำอะไร นี่ไม่ได้อยู่ในสัญญานี่!!!”พอตั้งสติได้และโดนปล่อยให้เป็นอิสระ แจบอมก็เตรียมเปิดฉากตั้นหน้าชายหนุ่มทันที
จินยองยิ้มกว้าง ยกมือโบกไปมาตรงหน้าบอกให้อีกคนสงบสติอารมณ์
“ผมก็จูบไงครับ...อ้อ...หรือว่าแจบอมต้องการ Lipsy-Russell อีกรอบ ผมก็ยินดีนะครับ”
“อะ...นายมันโรคจิตจริงๆรึไง ถอยไป! เสียเวลาจริง”แจบอมอ้าปากพะงาบๆตอบไม่ถูก สบถเปลี่ยนเรื่องทำท่าฉุนเฉียว แต่ในขณะกำลังเบียดอีกฝ่ายจะเดินออกไป ข้อมือก็ถูกฉวยไว้ กำลังจะหันกลับมาด่าแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้สบสายตาเว้าวอนของจินยอง
เหมือนตอนนั้น...ตอนเขาไล่อีกคนออกวันนั้น...
วันที่อีกคนได้เอ่ยความรู้สึกของตนเอง
“อย่าพูดว่าเสียเวลาสิครับ...คุณอาจรู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่ที่ผมทำทั้งหมดก็เพราะ...”
“หยุดพูดเถอะ”
“...”
“อย่าเพิ่งพูดคำนั้น จนกว่าฉันพร้อมจะฟังมัน...”
จินยองนิ่งไปเป็นโอกาสให้แจบอมหลบเลี่ยงออกไปได้สำเร็จ แถมยังทิ้งอีกฝ่ายให้ครุ่นคิดถึงวัจนะในคำพูดของเขาได้อีกเป็นวัน
...บางทีหมาป่าอาจจะแพ้ทางสิงโตในร่างแมวก็เป็นได้...


แจบอมเดินกลับขึ้นไปทำงานบนห้องทำงานส่วนตัว รอเวลาพนักงานทยอยเข้าร้าน ปกติแล้วพนักงานจะเริ่มมาเตรียมงานตอนบ่ายโมงเป็นต้นไป โดยเฉพาะพวกส่วนคนครัวที่ต้องมาเช็กวัตถุดิบและจัดเตรียมของก่อนเปิดร้าน พนักงานในร้านเขาส่วนมากมาจากการคัดเลือกของแจบอมเอง ส่วนน้อยที่มาจากการรีเควสของหุ้นส่วนที่หายหน้าไปเกือบสัปดาห์แล้วอย่างมาร์คัส ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือจินยอง บาร์เทนเดอร์มือใหม่ไฟแรง ต้องตาต้องใจห้างร้านขึ้นชื่อใหญ่มากมายแต่กลับมาลงเอยกับร้านเพิ่งเปิดใหม่นี้
จริงๆต้องดีใจใช่ไหม? แต่มันอดเคลือบแคลงไม่ได้นี่นา...
ทั้งที่มีทางเลือกดีกว่ามากมาย ทำไมถึงมาทำงานที่นี่ มาร์คัสก็ไม่ได้บอกอะไรนอกจากฝากฝังให้เขาดูแลจินยองดีๆ เหอะ! พอถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะขึ้นจมูกไม่ได้ ดูแลอะไรล่ะ ทุกวันนี้ก็อยู่ปากเหวจะตกแหล่ไม่ตกแหล่อยู่แล้ว หวังจะให้เขาทำดีกับหมอนั่นน่ะเหรอ แกล้งหักเงินเดือนยังเป็นอะไรที่อยากทำเสียมากกว่า
ก๊อกๆ
“คุณแจบอมคะ มีคนมาขอพบค่ะ”
คนคิดอะไรเพลินๆสะดุ้งเฮือก ตอบรับคนหน้าประตูเสียงดังฟังชัด “ครับๆ เข้ามาเลย”
มีเสียงกุกกักด้านนอกนิดหน่อยก่อนบานประตูจะเปิดออก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกบริษัทส่งของ แต่เสี้ยวใบหน้าแสนคุ้นเคยนั่นก็ทำให้เขาแปลกใจว่ามันจะเคาะประตูทำไม ปกติก็เปิดผางเข้ามาอย่างไร้มารยาทอยู่แล้ว แต่พอสังเกตดูดีๆถึงได้เห็นความแตกต่างจากการแต่งกาย ทรงผมและบุคลิก
ผู้ชายตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าสุภาพทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำตาลอ่อน กางเกงแสลกสีดำ และรองเท้าขัดมัน ผมสีเข้มปาดขึ้นโชว์ใบหน้าหล่อเหลาโขกเดียวกันกับเจ้าเพื่อนซี้เขาแต่อารมณ์ที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกกันคนละขั้ว...ฝาแฝดของมาร์คัส...มาร์ค ต้วน
“อ้าว คุณมาร์ค สวัสดีครับ มีธุระเร่งด่วนอะไรถึงได้มาถึงนี่ละครับ”
“สวัสดีครับคุณแจบอม จริงๆก็อยากให้มาร์คัสโทรมานัดให้นะครับ แต่โทรไปก็ไม่รับ สงสัยจะตื่นสายอีกแล้ว”อีกฝ่ายมีท่าทีรีบร้อนแต่ยังสำรวม ใบหน้าเครียดขึงจนเขาอดเครียดด้วยไม่ได้
มาร์คเป็นตำรวจสายสอบสวนแต่เหมือนได้ยินจากมาร์คัสว่ากำลังทำคดีใหญ่อยู่ เกี่ยวกับพวกมาเฟียต่างชาติ แล้วจู่ๆเจ้าตัวมาถึงร้านเขาแบบนี้หรือว่ามีอะไรที่เกี่ยวกับเขาอย่างนั้นเหรอ?
...ไม่เอาน่า อย่ามโนไกลขนาดนั้นเลย แจบอม...
“แล้ว มีธุระอะไรหรือครับ?”
แต่แล้วคำขอของมาร์คก็ทำเอาแจบอมชะงักและงงงวยหนักข้อเข้าไปใหญ่
“อ่อ ผมจะมาขอคุยกับจินยองน่ะครับ ไม่ทราบว่าจะอนุญาตให้เขาออกไปกับผมสักสองสามชั่วโมงได้ไหม?”
มาร์ครู้จักจินยองด้วยเหรอ? แล้วทำไมต้องคุยกันนานขนาดนั้น? หรือว่าเจ้าบาร์เทนเดอร์หน้าแมวนั่นไปทำเรื่องเอาไว้ มาร์คถึงได้รุดมาจับถึงที่
“ผมถามได้ไหมว่าเกี่ยวกับคดีอะไรรึเปล่า จินยองไปทำอะไรมาเหรอครับ?”
มาร์ครีบส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ครับ เขาไม่ได้ทำอะไร แค่อยากจะคุยกับเขานิดหน่อย อนุญาตได้ไหมครับ”
“อ่า...ต้องถามเจ้าตัวนะครับ ตัวผมไม่มีปัญหาอะไร ให้บาร์เทนเดอร์มือสองคุมรอไปก่อนก็ได้”
ถึงจะอนุญาตแต่แจบอมก็แฝงความนัยว่าไม่ให้เอาจินยองไปทั้งวัน เพราะเจ้าตัวยังต้องทำงานให้ร้านเขาอยู่ แม้จะสงสัยอยากจะล้วงลับตับแตกกันตรงนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยหนึ่งคือเขาไม่ได้สนิทกับมาร์คขนาดนั้น สอง เรื่องที่พูดกันก็คงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เกี่ยวกับเขา และสาม...เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับจินยองมากไปกว่าอีกคนเป็นบาร์เทนเดอร์มือดีและมีบ้านอยู่ในเขตมหาเศรษฐี...
...แล้วความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆนี้คืออะไรกันนะ...
“ขอบคุณนะครับ แล้วว่างๆผมจะเที่ยวบ้าง ร้านของคุณกับมาร์คัสตกแต่งได้สวยมากทีเดียว”อีกฝ่ายยิ้มและชมเป็นมารยาท คงไม่ได้อยากมาจริงๆ เพราะแจบอมจำได้ว่ามาร์คัสเคยบอกว่าพี่ชายฝาแฝดตัวเองนั้นเกลียดการเที่ยวกลางคืน
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
และแจบอมก็ยิ้มตอบกลับตามมารยาทเช่นเดียวกัน





มาร์คเดินลงมาจากห้องทำงานของแจบอม อดรู้สึกเกร็งไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าอีกคนก็รู้จักเขาและยังเป็นเพื่อนกับมาร์คัส แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยได้เจอหน้ากันจังๆอย่างนี้มาก่อน มากสุดก็แค่ตอนเขามางานเปิดร้านเมื่อปีกลายก็เท่านั้น
วันนี้เขามีธุระกับจินยอง บาร์เทนเดอร์มือหนึ่งในตอนนี้ หลังจากรวบรวมหลักฐานที่มีทั้งหมด วิเคราะห์หาจุดที่ขาดหาย รวมกับการปรึกษาขอความช่วยเหลือกับตำรวจที่ชานซองแนะนำมา เขาก็ตัดสินใจลงพื้นที่เพื่อสืบสวนเต็มรูปแบบแล้ว
ที่ผ่านมาเขาเอาแต่นั่งหน้าคอมกับแฟ้มงานจากกรมตำรวจตามที่เคยทำมาในแผนกสอบสวน แต่ก็ไม่คืนหน้าอะไรเลยสักอย่าง จนได้คุยกับผู้มีประสบการณ์ถึงได้ตระหนักว่านี่ไม่ใช่งานสอบสวน แต่เป็นงานสืบสวนที่ต้องลงไปถึงหลักฐาน สืบค้นหาหลักฐานที่ยังไม่เคยค้นพบ ค้นหาปมที่จะนำไปสู่ตัวคนร้ายที่แท้จริง เป็นงานที่แค่นั่งอยู่หน้าคอมไม่ได้
วันนี้เขาเลยตื่นแต่เช้ามาทำอาหารทั้งสามมื้อยัดใส่ตู้เย็นเอาไว้ บอกเจสันให้ทำตัวดีๆอยู่ที่ห้อง และหากมีอะไรผิดปกติ ให้รีบทำสัญญาณกับตำรวจนอกเครื่องแบบด้านหน้าตึกทันที เจ้าตัวก็พยักหน้าเชื่อฟังอย่างดี คงเพราะเพิ่งตื่นด้วย จากนั้นเขาก็โทรหาน้องชายฝาแฝดที่มีคอนเน็กมากกว่าตัวเขาประมาณล้านเท่าได้ แต่โทรยังไงอีกฝ่ายก็ไม่รับ เลยตัดใจมาหาจินยองเองถึงร้าน
พนักงานในร้านเริ่มมาทำงานกันแล้ว บางคนทักทายเขาด้วยชื่อของน้องชาย แต่พอชายหนุ่มยิ้มและบอกว่าไม่ใช่มาร์คัสพร้อมแนะนำตัว ก็งงกันไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอกนะ เป็นเรื่องปกติไปแล้ว
เป้าหมายในการมาของเขากำลังก้มๆเงยๆจัดเตรียมของอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรจินยองก็ทำมันอย่างเต็มที่เสมอ พอเห็นเขาเดินมา บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็เบิกตากว้างและยิ้มออกมาระคนแปลกใจ
“อ้าว มาร์ค”
“ว่าไงจูเนียร์”
“อย่าเรียกด้วยชื่อนั้นสิ มันน่าอายนะ”บาร์เทนเดอร์หนุ่มหัวเราะจนตายิ้มเป็นขีด ทักทายกันอย่างสนิทสนม ท้าวแขนกับบาร์ “มีอะไรล่ะ”
“ไปจิบชากันสักสองสามชั่วโมงหน่อยสิ”
“เอ ไปขาลูกแมวมาแล้วงั้นเหรอ”
สรรพนามที่อีกฝ่ายออกมาพร้อมดวงตาพราวระยับทำให้มาร์คเลิกคิ้วแปลกใจ จินยองหัวเราะร่าราวกับขบขันอะไรบางอย่างเต็มประดา “นายนี่มันยังซื่อบื้อเรื่องแบบนี้ไม่เปลี่ยนเลยนะ เอาเถอะ เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าแป๊บนึง นายจอดรถที่ไหนล่ะ”
“หน้าร้านน่ะ ตามไปแล้วกัน”ชี้นิ้วโป้งบอกสถานที่ ยักคิ้วและเดินออกมารอที่รถก่อน สักพักจินยองในชุดบาร์เทนเดอร์ถอดแค่ผ้ากันเปื้อนและสวมเสื้อนอกสีซีเปียก็เดินออกมาพร้อมด้วยกระเป๋าสะพายข้าง
“จะไปบ้านฉันเลยไหมล่ะ?”ยังไม่ทันจะได้ออกรถจินยองก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ผิดกับมาร์คที่ทำหน้าแปลกใจ
“รู้เหรอว่าฉันมาด้วยเรื่องอะไร”
“นายพูดเหมือนไม่รู้จักฉันเลย ไปเถอะ จะให้ฉันนั่งเค้นข้อมูลมันคงออกมาได้ไม่เท่าที่นายต้องการหรอก”
ในเมื่ออีกฝ่ายบอกแบบนั้นมาร์คก็ไม่ขัด ขับรถไปตามทางที่จินยองเป็นคนบอกจนกระทั่งถึงบ้านพักในเขต S Camden Dr, Beverly Hills มาร์คตกใจนิดหน่อยที่เพื่อนเก่าคนนี้มีบ้านในแหล่งมหาเศรษฐีแบบนี้ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรบ้างก็พอจะเข้าใจ
บาร์เทนเดอร์และนักขายข่าว
จินยองไขประตูบ้านเข้าไปโผล่ในส่วนห้องรับแขก บ้านของจินยองตกแต่งด้วยสไตล์ New York Loft เน้นสัมผัสและความหยาบของวัสดุ ผนังปูนเปล่าสีเทาสลับกับผนังอิฐน้ำตาลรับกับพื้นไม้สีดำขัดมันวาว ผนังทั้งสองด้านติดตั้งชั้นเหล็กสีดำเรียงรายด้วยหนังสือหลายหลายเต็มเอี๊ยดเต็มชั้น ของประดับตกแต่งเลือกสรรจัดวางได้อย่างมีมิติแต่สะอาดสะอ้านและสบายตา
เจ้าของบ้านเชื้อเชิญแขกนั่งรอบนโซฟาผ้ากระสอบสีเทาเข้ม ก่อนผลุบหายเข้าไปในครัว เอาน้ำมาเสิร์ฟให้ตามแบบฉบับเจ้าของบ้านที่ดี
“อ่ะ ฉันพร้อมแล้ว นายมีอะไรอยากให้ช่วยล่ะ”
“เรื่องคดีของเจสันน่ะ นายรู้เกี่ยวกับประวัติของเขาหรือเปล่า”
“คำถามของนายนี่เล่นเปิดเผยทุกอย่างออกมาหมดเลยนะ”จินยองหัวเราะ สายตารู้ทัน “ฉันไม่มีข้อมูลลงลึกขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าเกี่ยวกับคดีก็น่าจะมี”
“จริงเหรอ?”
“ใช่สิ ฉันก็พอจะคลุกคลีกับบาร์เทนเดอร์หลายคนอยู่ พวกเขาบอกว่าช่วงนี้พวกผู้มีอิทธิพลพูดถึงมาเฟียฮ่องกงที่เริ่มเข้ามากร่างในลอสแอนเจิลลิส ฉันว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน...อ่ะๆ ต่อจากนี้เสียเงินข้อมูลละหมื่น กล้าลงทุนไหมเพื่อนรัก”
มาร์คกลอกตา รู้ดีอยู่แล้ว กำลังจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา แต่จินยองรีบเบรกไว้ด้วยรอยยิ้มประดับหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันล้อเล่น นายเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งนานนะ เรื่องแค่นี้ช่วยได้อยู่แล้ว”
“เฮ้ แต่ว่า...”มาร์คเกรงใจ เพราะยังไงจินยองก็เป็นนักขายข้อมูล ข้อมูลแต่ละอย่างล้วนมีมูลค่า ยิ่มเป็นข้อมูลจากวงการดำมืด ยิ่งสนนราคาสูงยิ่งกว่าอัญมณีน้ำงามจากแอฟริกาเสียอีก
“ไม่ต้องๆ ฉันพอจะรู้ความลำบากของนาย นี่ถือเป็นคำขอบคุณที่นายฝากฉันเข้าทำงานในร้านของแจบอมแล้วกัน”
“นายนี่แปลกๆดีนะ”
“มีคนบอกแบบนั้นเยอะเลยล่ะ...เอาเถอะ เข้าเรื่อง...”จินยองยักไหล่ เริ่มมีท่าทีจริงจังขึ้นมา “กลุ่มมาเฟียนั่นเป็นมาเฟียครองฝั่งตะวันตกของเกาะฮ่องกง ทำเรื่องผิดกฎหมายทุกอย่างตั้งแต่ยาเสพติด ค้าประเวณี ค้าอาวุธ ซึ่งมันก็ดูปกติดีใช่ไหม แต่ที่ทำให้มาเฟียกลุ่มนี้มีความโดดเด่น คือพวกนี้มันคิดค้นยาเสพติดของตัวเองขึ้น ยาตัวนี้ไม่มีชื่อเรียก แต่ถ้าคนที่เล่นจะเรียกมันว่า SB ถ้าแบบเต็มสูบมันจะออกฤทธิ์ผสมผสานแต่รุนแรงกว่าเฮโรอีนหรือยาบ้า คนที่เสพมันจะเกิดอาการเห็นภาพหลอนในสิ่งที่ตนต้องการ เบาสบาย จากนั้นก็จะเริ่มหลอนตัวเอง สามารถทำร้ายตัวเองโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ถ้าสูบนานๆจะสมองจะเริ่มคิดอะไรไม่ได้ และโดนชักจูงได้ง่ายๆ ฉันชอบเรียกมันว่ายาซอมบี้ กินแล้วทั้งไม่รู้สึกเจ็บทั้งไม่มีความคิด ล่องลอยเหมือนซอมบี้ไม่ผิด”
“พี่ชานซองก็บอกอยู่เหมือนกันว่ายาตัวนี้เริ่มระบาดมาสักพักแล้ว”
“ใช่ นั่นแหละ มันมาระบาดในพื้นที่ที่พวกกลุ่มอื่นมันคุมอยู่ ที่หายๆไปนี้ก็เพราะสู้รบกับพวกอำนาจมืดด้วยกันนั่นแหละ แต่ที่ยังไม่ตายหายไปสักทีก็เพราะแบคหลังดี เป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่เคยซื้อขายอาวุธกับไอ้พวกนั้น คงจะแบล็กเมล์ล่ะมั้ง ตอนนี้ได้ยินว่าทางเริ่มสบายแล้ว พวกนายควรเพิ่มการเฝ้าระวังคนในความคุ้มครองไว้นะ ไม่แน่ว่ามันอาจจะเริ่มกลับมาชิงตัวเขาไปใหม่...”
“แล้วเจสันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“ฉันไม่รู้”จินยองส่ายหน้า “ไม่มีข้อมูลอะไรที่บ่งชี้ว่าเขาสำคัญยังไง แต่เหมือนพวกมันพยายามมากที่จะได้ตัวเขาไป...อ้อ แต่มีเรื่องนึงที่อาจจะเกี่ยว หัวหน้ามาเฟียฮ่องกงรุ่นนี้ไม่ได้รับการสืบทอดโดยตรงจากคนก่อน แต่ฆ่าเพื่อชิงอำนาจมา เมื่อก่อนกลุ่มนี้จะทำอะไรมีขอบเขต ไม่เคยล่วงล้ำอำนาจกลุ่มอื่น และไม่มียา SB แต่พอกลุ่มนี้ขึ้นมามันก็เริ่มเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ การผลัดเปลี่ยนกลุ่มอำนาจเริ่มเมื่อ 15 ปีก่อน”
“จะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานก็ไม่นาน”
“ไม่นานหรอกถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์กลุ่มนี้ที่ก่อตั้งมากว่า 80 ปี...นั่นแหละ ข้อมูลทั้งหมดที่ฉันมี พอจะช่วยนายได้ไหม? ฉันก็เห็นใจนายนะ ที่คดีแรกก็เจองานมหาโหดแบบนี้แล้ว”
“โหดจนอยากจะถอดใจกับฝ่ายสืบสวนเลยว่ะ”มาร์คหัวเราะขื่นๆ ยิ่งได้รู้ข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนตกลงไปในเหวลึกเท่านั้น
“แล้วเจสันเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“กำลังเริ่มปรับตัวเข้าหากันน่ะสิ เจสันกับฉันมันคนละขั้ว ตอนแรกแทบจะฆ่ากันตายก่อนจะได้ไขคดี คนอะไรดื้อด้านแถมยังไม่เป็นระเบียบ”คิ้วหนาขมวดปมแน่นเมื่อนึกไปถึงวีรกรรมตอนเจอกันใหม่ๆ
“ครับๆ คุณพ่อระเบียบรัด ก็ดีเหมือนกัน นายจะได้หย่อนสายตัวเองลงบ้าง”
มาร์คเงียบไปสักพัก มองไปด้านหน้านอกหน้าต่าง ก่อนยิ้มบางๆออกมา
“นั่นสินะ...”




มาร์คัสงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนเกือบเที่ยง เพราะเมื่อคืนกระดกแอลกอฮอล์เกินขีดจำกัดตัวเองไปนิดหน่อย ทำเอาตอนนี้ปวดหัวจี๊ด ซุกหน้าตัวเองลงหมอนนิ่มๆต่อ ขยับมือรัดหมอนข้างอุ่นๆเข้ามาเกี่ยวขาอย่างเคยชิน
“อือ...”เสียงครางในลำคอดังขึ้นมาจากหมอนข้างจำเป็น นายแบบหนุ่มลืมตามองคนที่ตอนนี้ซุกนอนอยู่ในอ้อมแขนตัวเองอย่างแปลกใจ เมื่อคืนหลังจากมีอะไรกันบนโซฟาพวกเขาก็นั่งดื่มกันต่อจนค่ำมืด เมามายกันทั้งคู่ ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนนอนกอดกันแน่นบนเตียงใหญ่ในห้องนอนเขาเนี่ยแหละ
ชายหนุ่มถอยหายใจเบาๆ เขาไม่เคยให้ใครเข้ามาในคอนโดนี้ แต่ก็เป็นแจ็คสันคนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ด้วย เขาไม่เคยให้ใครเข้าห้องนอน ยิ่งบนเตียงยิ่งเป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิที่ห้ามใครมาแตะต้อง แต่ก็เป็นแจ็คสันที่ขึ้นมานอนเป็นคนแรก แถมยังตื่นขึ้นมาด้วยสภาพกอดกัดกลมเหมือนพวกคู่รักในหนังโรแมนติกอีกต่างหาก ระยะเวลาไม่ถึงเดือน แต่คนๆเดียวกลับรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแสนหวงแหนยิ่งกว่างูจงอางของเขามากกว่าฝาแฝดอย่างมาร์คเสียอีก
“นายนี่แปลกคน”
กระซิบบ่นเบาๆกับคนในอ้อมแขน เขายังกอดแจ็คสันอยู่แม้ว่าจะรู้สึกตัวแล้วก็ตาม เป็นอีกเรื่องที่แจ็คสันทำให้เขาเปลี่ยนไป... การคบหาที่ผ่านมา เขามักจะควงหรือคบแฟนที่สวยโดดเด่น มีเสน่ห์จัดจ้านหรือไม่ก็มีลีลาบนเตียงเร่าร้อนถูกใจ แต่สักพักทุกอย่างมันก็จืดชืดน่าเบื่อเพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แถมผู้หญิงพวกนั้นก็ยังเกาะแกะแสดงความเป็นเจ้าของเขา เรียกร้องให้เอาอกเอาใจเจ้าหล่อน บางคนร้ายถึงทำให้เสียการเสียงาน สุดท้ายก็เลิกกันเพราะมาร์คัสเองทนไม่ไหว แต่กับแจ็คสันนั้นต่างกัน...
บรรยากาศรอบตัวแจ็คสันอบอุ่น สดใสและมีชีวิตชีวา แต่ก็แสนอ่อนหวานในบางครั้งบางคราวที่เผลอไผล ดวงตากลมทอประกายความห่วงใยแม้ว่าเขาจะทำตัวใจร้ายและไม่น่าอภัยมากมาย แถมความอ่อนหวานนั้นยังมีความเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ และใจกล้ากว่าที่เห็นภายนอกเยอะ ทำให้รู้สึกว่าคนๆนี้มีอะไรซ่อนอยู่อีกเยอะ และมันน่าค้นหาอย่างแปลกประหลาด
“พี่มาร์คัส”แจ็คสันงึมงำเรียกชื่อเขา คงเพราะนิ้วเรียวของมาร์คัสที่กำลังเล่นเส้นผมนุ่มจนรู้สึกตัวตื่น ตากลมปรือขึ้นมาเล็กน้อยแล้วหลับลงไปอีกครั้ง แขนที่เคยคล้องอยู่ที่เอวเลื่อนออกไปกอดตัวเองไว้ ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว เสียงแหบละเมอออกมาเหมือนคนไม่มีสติเต็มร้อย
“พี่...จะชอบผมได้ไหมนะ”
“...”มาร์คัสไม่ตอบคำถามนั้น นิ้วที่เกลี่ยเส้นผมนุ่มหยุดชะงัก เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆไปหนึ่งครั้ง ก่อนลุกออกมาจากเตียง ทิ้งให้แจ็คสันนอนกอดตัวเองบนเตียงใหญ่ต่อ ส่วนตัวเองก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเพราะจำได้ว่าเด็กบนเตียงต้องเข้าคณะตอนบ่าย และนี่ก็เกือบถึงเวลาแล้ว
พอเดินออกมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายหายไปจากเตียงแล้ว
ชายหนุ่มเดินออกมาด้านนอก เห็นผู้ร่วมอาศัยอยู่ในชุดลำลองสุภาพกำลังทำหน้าตาเคร่งเครียดหน้าเตา
“ทำอะไรของนายน่ะ”
“อ๊ะ อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ ผมกำลังทำอาหารเที่ยงน่ะ เผื่อพี่จะหิว”
“ช่างมันเถอะน่า นายกินไปเถอะ ฉันออกไปหากินด้านนอกได้ นายนั่นแหละ จะไม่หิวรึไง”
แจ็คสันยิ้มกว้างดีใจเต็มประดา “ไม่เป็นไรครับ ผมห่อไปก็ได้”
“เออๆ แล้วนี่เสร็จรึยัง ฉันไม่อยากเสียเวลาเพราะรถติดหรอกนะ”มาร์คัสเร่งพลางยกนาฬิกาขึ้นมามองเวลาอีกยี่สิบนาทีเที่ยง
“แป๊ปนะครับ”แจ็คสันรีบทำทุกอย่างเร็วขึ้น ลุกลี้ลุกลนเหมือนหนูแฮมเตอร์ในกรง ดุ๊กดิ๊กๆดูแล้วก็น่าขำดีเหมือนกัน
พอทุกอย่างเรียบร้อยสามสิบนาทีต่อมาพวกเขาก็มาถึงหน้าคณะที่วันนี้ยังเต็มไปด้วยนักศึกษามากมาย ดีว่าเขาจอดรถในมุมอับ เลยไม่เตะตาเสียเท่าไหร่
“วันนี้ฉันจะมารับช้าหน่อย รอที่ร้านกาแฟที่เดิมแล้วกัน”
แจ็คสันรับคำด้วยการพยักหน้าสองสามที ยิ้มกว้างให้ แล้วรีบวิ่งเข้าตึกไปเพราะใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว มาร์คัสมองตามหลังอีกคนไปจนถึงตึกแล้วขับรถออกจากมอ เตรียมตัวทำงานในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า กะเวลาคร่าวๆว่าจะถ่ายไม่เกินชั่วโมง จะได้มารับแจ็คสันได้ตรงเวลา...
.
.
.
.
.
.
มาร์คกำลังคุยกับจินยองอยู่ที่ร้าน MABOM เพราะหลังจากได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วก็ต้องกลับมาส่งอีกฝ่ายมาทำงานตามที่ตกลงไว้กับแจบอม บทสนทนาออกรสต้องหยุดชะงักตอนโทรศัพท์ของมาร์คแผดเสียงขึ้นมากลางวง รายชื่อบนหน้าจอปรากฏชื่อแฝดคนน้องของเขา ยังไม่ทันจะกรอกคำว่า ว่าไง...ลงไป เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกก็ตะโกนลั่นจนจินยองก็ยังได้ยิน
 ‘มาร์ค!!! แจ็คสันหายไป!!!’








#ficTTM
Please comment




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*