[TTM] 06

TWINS & TWINS
MATCH
_______6_______

ปัง!

เอี๊ยด!!!!

สองเสียงเกิดขึ้นพร้อมกันลั่นถนนในเขตเงียบสงบ รถออดี้สีดำคันหรูจอดนิ่งบังจักรยานคันน้อยเสียสนิท ฝากระโปรงด้านหนึ่งบุบเป็นรอยกระสุนในขณะที่ประตูอีกด้านเปิดโผลงออกไปพร้อมเสียงตวาด

“เข้ามา!

“แต่...”

“อยากตายก่อนรึไง!”มาร์คัสตะโกนลั่นจนแจ็คสันสะดุ้งเฮือก เจ้าเด็กที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเพิ่งผ่านช่วงวินาทีเสี่ยงตายมารีบปล่อยแฮนจักรยานกระโจนเข้ามาในฝั่งคนขับที่มาร์คัสเปิดประตูรอไว้ ร่างเล็กมุดตัวไปด้านข้างคนขับ ก่อนที่หัวกลมจะโดนมือเรียวดันกดลงไปไม่ให้โผล่ออกมาจากคอนโซลรถ มือสวยอีกด้านหมุนพวงมาลัยดริ๊ฟรถเผายางหันกลับมาดังเอี๊ยดใหญ่

นายแบบหนุ่มสวมวิญญาณมือปราบขึ้นมาชั่วขณะชักปืนสีเงินใต้เบาะรถเล็งรถสีดำ ลั่นไกไปดอกหนึ่งเป็นคำเตือนว่าเขาพร้อมสู้หากพวกมันจะสู้ ทำทุกอย่างแบบบ้าดีเดือดจนแจ็คสันยังอดสั่นกลัวไม่ได้

รถสีดำคันนั้นรีบขับหนีไปทันทีที่เห็นว่าเหยื่อของตนมีคนช่วยเหลือ มาร์คัสหอบหายใจเล็กๆ ยัดกระบอกปืนเข้าไปเก็บที่เดิม เปรยตามองไปที่เจ้าเด็กตัวกลมที่ยังสั่นหงึกๆอยู่ใต้คอนโซล

“มันไปแล้ว”

“พะ...พวกนั้น ที่ตามเจ...พวกนั้นเหรอ”แจ็คสันถามตะกุกตะกักขณะปีนกลับขึ้นมานั่งบนเบาะรถดีๆ ตากลมกลอกซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง ใบหน้าขาวซีดเผือก มือชุ่มเหงื่อกุมกันแน่นจนปลายนิ้วแดงก่ำ

“จะไปรู้เหรอ”มาร์คัสตอบกลับน้ำเสียงเจือความหงุดหงิด คิ้วเข้มพาดขมวดติดกัน “แล้วไปไหนมา ซูเปอร์ไม่ได้กลับมาทางนี้นี่”

แจ็คสันหลบตา ทำอึกอักๆเล็กน้อยขณะกลั่นเสียงตอบไปไม่ให้สั่น ยังตื่นกลัวจากเรื่องเมื่อครู่ไม่หาย “ผมออกไปเรียนน่ะ”

“เรียน? นี่นายยังเรียนอยู่เหรอ?”มาร์คัสหันมาขมวดคิ้วถาม ประคองรถแล่นรถออกตามทางช้าๆ สบถในลำคอเพราะเหมือนว่าสมดุลรถจะเสียไปจากการดริ๊ฟบ้าดีเดือดมากไปหน่อย มือเรียวดังสายฟูฟังขึ้นมาเสียบหู กดหมายเลขโทรศัพท์ต่อสายถึงใครอีกคนโดยไม่ต้องมองหน้าจอ

“มาร์ค ไอ้เด็กที่นายฝากมาโดนดักยิง”

“-----”

“หนีไปแล้ว รถสีดำไม่มีทะเบียน”

“-----”

“จะไปรู้เหรอ ฉันก็ออกไปทำงาน ห่ะ...”มาร์คัสขมวดคิ้วในคำสุดท้าย จิ๊ปากเบาๆออกแนวรำคาญ ตาสวยใต้เครื่องสำอางคมกริบกลอกมาหาแจ็คสันเล็กน้อย แถมเอาลิ้นกระพุงแก้มราวกับคิดอะไรบางอย่าง

“อาจจะย้ายที่อยู่ เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป...เออ รู้แล้วๆ”

นายแบบหนุ่มกดตัดสายแฝดพี่ที่คงอยากจะกระโดดออกมาถีบตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดและถอนหายใจหนักหน่วง หันมามองแจ็คสันที่นั่งนิ่งหน้าซีดเป็นไก่ต้ม สงสัยยังไม่หายตื่นตกใจจากเรื่องเมื่อครู่

...แน่ล่ะ โดนยิงเลยนะ ถึงจะไม่โดนแต่ใครมันจะไปชินลง...

“นายเรียนอยู่ที่ไหน”มาร์คัสว่าเขาควรจะรู้จักผู้ร่วมอาศัยที่คงต้องเป็นภาระให้ตัวเองอีกสักระยะบ้าง หลังจากที่คิดว่าคงไม่มีอะไรเลยปล่อยตามเลยตามเกิดจนเกิดเรื่องแบบนี้ ดีที่วันนี้เขาเลิกงานก่อนที่คาดการณ์ไว้เพราะนางแบบที่ถ่ายด้วยป่วยกะทันหัน หาคนมาแทนไม่ได้ เลยได้แค่ถ่ายเดี่ยวแล้วก็กลับเลย ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นโชคดีของแจ็คสันที่เขากลับมาช่วยไว้ได้พอดิบพอดี

“มอ X ครับ...”

“คณะอะไร”มาร์คัสเริ่มสนใจหลักจากรู้รู้ว่าคนข้างๆนี้เป็นรุ่นน้องมหาลัยของตัวเอง ดวงตาเรียวเหล่มองคนอายุน้อยกว่าข้างกาย

“เอ่อ บริหาร...ผมกำลังเรียนปีสุดท้ายบริหารธุรกิจครับ ตอนนี้กำลังหาที่ฝึกงาน”

“...”

“เอ่อ พี่มาร์คัสก็จบที่นี่ใช่ไหมครับ”

“ทำไมถึงรู้เรื่องฉันได้?”

แจ็คสันสะดุ้งเฮือก รู้ตัวว่าเผลอหลุดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป หลบตาลอกแลกพลางตอบแก้ตัวตะกุกตะกัก “ก็ ก็อาจารย์เลียมเคยเล่าให้พวกผมฟัง ผม...ผมก็เลยจำได้”

Mr.เลียม... หมอนั่นยังไม่ลาออกไปเลี้ยงลูกอีกรึไง”

“ก็...ประมาณนั้นครับ”

“ฉันไม่ได้ถามนาย”

“ง่ะ ขอโทษฮะ”แจ็คสันหูลู่คอตก ก้มหน้านั่งนิ่งๆ

มาร์คถอนหายใจดังเฮือก ไม่สนใจเด็กข้างตัวอีกต่อไป นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยประคองรถไปตามทางเข้าถนนใหญ่ อย่างน้อยการขับไปในที่คนเยอะๆวุ่นวายในตอนนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว นายแบบหนุ่มคิดจนหัวจะแตกว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี จะกลับไปบ้านหลังเดิมได้โดนไอ้พวกมาเฟียบ้านั่นป่วนจนไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่ๆ แล้วตอนนี้เขาควรไปที่ไหนล่ะ?

“ช่วยไม่ได้...”

จู่ๆมาร์คัสก็พึมพำเสียงต่ำ แจ็คสันหันหน้าไปมองงงๆ พอดีกับที่ชายหนุ่มรุ่นพี่หันมามองเขาพอดี

“ฉันให้เวลานายเก็บของห้านาที...”

“หา?”

ไม่ทันที่แจ็คสันจะได้ถามไขข้อข้องใจ มาร์คัสก็เหยียบคันเร่งพารถหรูแล่นฉวัดเฉวียนปาดหน้ารถกระบะปุโรทั่งคันเก่าตรงทางเลี้ยว วกรถกลับเข้าไปในซอยเล็กแคบ ได้ยินเสียงบีบแตรดังยาวมาจากด้านหลัง แจ็คสันกระโดดเกาะเบาะที่นั่งเอาไว้มั่นแม้หัวจะโคลงเคลง รู้สึกมีแรงดันขึ้นมาจากท้องรีบงับปากแน่นกลัวจะพุ่งของเก่าออกมารดเปื้อน ทั้งกลัวทั้งหวาดเสียวจนน้ำตารื้นขอบตากลม

...นี่พี่มาร์คัสเกลียดเราขนาดจะฆ่าเราเลยรึไง ไม่น้า ผมขอโทษ T0T

“ว๊ากกกกกก!!!”แจ็คสันร้องดังลั่นเมื่อจู่ๆก็มีแมวตัวหนึ่งกระโดดมายืนกลางถนน

เอี๊ยด!!!

แม๊วว!!!

ยางล้อรถบดถนนหยุดกึกกะทันหัน เจ้าแมวเจ้าปัญหากระโดดหนีไป ส่วนแจ็คสันถึงกับยั้งตัวเองไม่อยู่ล้มโครมลงไปนอนกับยางรองกันเหยียบ ขางี้เกี่ยวกับเบาะนั่งเลย

“จะร้องทำไม”มาร์คัสยังก้มหน้ามาถามเขาหน้าตาเฉย

“ก็พี่ขับน่ากลัวอ่ะ!”คราวนี้แจ็คสันไม่อ่อนแล้วนะ แจ็คสันจะตะโกนแล้ว ก็พี่แกขับน่ากลัวจริงๆนี่ ตกใจจนตามหาขวัญตัวเองไม่เจอแล้วเนี่ย เจ็บหลังก็เจ็บ ฮืออออ

มาร์คัสเสหน้าหลบ ไม่ด่าว่าเหมือนเคย แค่ถอนหายใจแล้วจับต้นแขนเด็กตัวเตี้ยช่วยให้ลุกขึ้นมานั่งบนเบาะดีๆ แจ็คสันที่กลัวจนขึ้นสมองก็รีบดึงสายคาดนิรภัยมาใส่ ตอนนี้ชักไม่มั่นใจว่าระหว่างปืนของพวกมาเฟียกับการนั่งรถกับพี่มาร์คัสอะไรมันน่ากลัวกว่ากัน

“เออๆ ขอโทษ”บอกแบบส่งๆ แตะเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วที่น้อยกว่าเดิม (เพียงเล็กน้อย) แจ็คสันสูดหายใจเข้าลึก หลับตาปี๋ มือกำสายคาดนิรภัย สวดอ้อนวอนาวนาต่อพระเจ้าขมุบขมิบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถลดความเร็วจนจอดนิ่งไป

“ห้านาที ไม่ขาดไม่เกิน ฉันรอที่รถ”

แจ็คสันลืมตาพรึบก็พบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่หน้าบ้านของมาร์คัสแล้ว สมองทวนคำสั่งของเจ้าของบ้านงงๆ “หา?”

“เก็บของไง ไปเร็ว”มาร์คัสสวมบทโหดอีกรอบ คราวนี้แจ็คสันที่สติคืนร่างแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักลงรถอย่างว่าง่าย

...เก็บของเสร็จไม่ขึ้นรถพี่มาร์คัสอีกได้ไหม ให้ปั่นจักรยานไปก็ยอม ฮือออออ...









เวลา 7 โมงเช้า ณ ห้องคอนโดใจกลางเมืองบนชั้น 7 ที่มีการรักษาการณ์อันยอดเยี่ยมกำลังจะมีอุบัติการณ์สงคราม...อ่า ไม่หรอก มันก็แค่คำเปรียบเทียบ แต่ในสายตาของมาร์คแล้วมันก็ไม่ต่างกับสงครามจริงๆ แถมเป็นสงครามกับคนตัวเท่าเมี่ยงที่อารมณ์ติสแตกจนตามไม่ทันนี่อีก...

“ผมบอกว่าผมไม่กินผัก”

“...นายเป็นเด็กรึไง”

“ผมไม่ใช่เด็ก ผมแค่กินผักไม่ได้”

“งั้นมาทำเอง”

“ผมทำกับข้าวไม่เป็น”

“...”

มาร์คสูดลมหายใจเข้าลึก นับ 1 2 3 รวมรวมสติไม่ให้ตะเพิดพยานคนสำคัญและแหล่งหลักฐานชั้นดีตรงหน้าออกไปจากห้อง

ตั้งแต่ก้าวแรกที่เจสันก้าวเข้ามาในห้องเขาก็นำพาเรื่องปวดหัวเข้ามาไม่หยุด ตั้งแต่เดินดุ่มๆจะนอนบนโซฟาทั้งที่เขาจัดห้องนอนสำรอง (ที่มาร์คัสมันใช้คั่วสาวเมื่อพาร์ทแรก) ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งโยนกระเป๋าตัวเองลงพื้นดังโครม โยนสิ่งของสารพัดสิ่งวางแบบมั่วๆจนรกห้องเขาไปหมด ไหนจะนิสัยเอาแต่ใจ ขี้โวยวายจะเอานั่นเอานี่จนเขา นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เรื่องมากจนอยากจะโยนออกไปจากห้องหลายต่อหลายรอบ

เมื่อวานคิดว่าหนักแล้ว พอเจอตอนเช้าเขาล่ะอยากคืนคำกับชานซองบอกยกเลิกทำงานเคสนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด มีที่ไหน ตัวเองเป็นคนอาศัยแถมยังอยู่ในสถานการณ์อันตราย โดนมาเฟียตามล่าเอาชีวิตแต่กลับบอกให้เขาพาออกไปซื้อกาแฟตั้งแต่เช้า จะไปซื้อให้ก็ไม่เอา ยืนยันว่าเจ้าตัวจะต้องไปด้วยเพราะเป็นกาแฟเมนูพิเศษเฉพาะตัวเองเท่านั้น และต้องเป็นร้านนั้นเท่านั้นด้วย ถึงสุดท้ายมาร์คจะใช้ประสบการณ์ตำรวจสอบสวนมาหาทางออกให้ตัวเองด้วยการให้เจสันจดเมนูแสนพิเศษนั่นลงกระดาษ พร้อมบอกชื่อร้านให้เรียบร้อยแล้วลงไปซื้อให้ก็เถอะ พอกลับมาเขาก็ต้องมาเจอสงครามด่านสองที่เรียกว่าอาหารเช้าอยู่ดี...

ก็เด็กบ้านี่เล่นไม่กินผัก กินเผ็ดก็ไม่ได้ ติดหวานแต่กำลังคุมน้ำหนัก แป้งก็ไม่เอา เนื้อหมูก็ไม่เอา ต้องเอาอกไก่ผักสลัด ให้ทำเองก็ยังทำกับข้าวเองไม่เป็นอีก

...มาร์คใกล้สติแตกแล้วล่ะครับ...

ชายหนุ่มวางมีดลงบนเขียง หันมากอดอกมองเจ้าของหัวกลมๆสีอ่อนกำลังไถไปกับเคาน์เตอร์ท่าทางเบื่อหน่ายง่วงหงาวหาวนอนเต็มทนแต่สกิลการกวนประสาทไม่ได้ลดลงจากตอนตื่นเต็มที่เลย

“เคยมีใครบอกว่าคุณกวนประสาทไหม”

เจสันเงยหน้าขึ้นมาจากตุ๊กตาลูกหมาน่ารักตัวสีขาวที่เจ้าตัวเอามานอนหนุน ช่างไม่เข้ากับกล้ามแขนและสภาพโคตรสะถุนของเจ้าตัวแม้แต่น้อย หัวกลมยุ่งฟูถึงจะมัดแล้วก็ยังดูรกอยู่ดี เสื้อกล้ามสีดำกางเกงสองส่วนที่พออยู่บนร่างอีกคนก็กลายเป็นสามส่วนสีเดียวกัน ใบหน้ายังไม่ล้าง หนวดก็ยังไม่โกน เขียวครึ้มบางๆเหนือริมฝีปากสีจัดนั่น

“ไม่มี...เอ๊ะ หรือผมจำไม่ได้นะ”คิ้วเข้มเหนือขอบตากลมนั่นยักขึ้นเล็กๆ

...กวนประสาทชะมัด...

“แล้วตกลงคุณจะกินอะไร”

“ก็บอกแล้วอยากกินสลัดไก่คลีนของร้านเมอร์รี่เบอร์รี่”

“ผมออกไปซื้อกาแฟให้คุณรอบนึงแล้วนะ”มาร์คหันมาบอกด้วยความหงุดหงิด คนใจเย็นอย่างเขามาเจอคนกวนประสาทแบบเจสันนี่เขาก็เย็นไม่ได้หรอกนะ

“งั้นผมออกไปซื้อเองก็ได้ รับรอง ไปไม่นาน”

“ไม่ต้อง”

เจสันบู้ปากหงุดหงิดที่อีกคนจับทางได้ ทิ้งตัวนั่งกับเก้าอี้อย่างแรงจนได้ยินเสียงกึก จมูกรั้นจิ้มตุ๊กตาลูกหมานุ่มฟูสีขาวของแทนตัวแจ็คสันที่ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง

“แค่แป๊ปเดียวเองน่า”ช่างกล้องบ่นงึมงำ เหลือกตามองชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ถอนใจเฮือกใหญ่ หันกลับมาพร้อมจานสีขาวสองใบในมือ สีหน้าเรียบเฉยนั่นมีแววหงุดหงิดปรากฏให้เห็นชัด

“จะได้ไปแล้วไม่กลับน่ะสิ...นี่ข้าวเช้า”นายตำรวจหนุ่มวางจานลงหน้าพยานคนสำคัญที่พอเห็นของในจานก็ทำหน้าแหยะ แบะปากแรงจนน่าจับหัวกลมๆนั่นจุ่มจานข้าวให้หมดเรื่องหมดราว (ใจเย็นนะมาร์ค)

“แหยะ ข้าวผัด ผมไม่กินนะ”

“ไม่กินก็ไม่ต้องกิน ผมมีงานต้องทำ ไม่มีเวลามานั่งเล่นเป็นเพื่อนคุณหรอกนะ”มาร์คไม่มีอดทนต่อการยั่วประสาทของเจสันอีกต่อไป ชายหนุ่มถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่เดิม เดินถือจานของตัวเองออกมาจากตรงนั้น หามุมสงบทานข้าวเช้า หนีสงครามประสาทกับอีกหนึ่งชีวิตในห้อง

เจสันมองตามแผ่นหลังผอมนั่นไป บี้จมูกแลบลิ้นลับหลัง หันกลับมาสนใจข้าวผัดหน้าตาหน้ากินตรงหน้าแล้วก็อดกลืนน้ำลายเอื้อกไม่ได้ กลิ่นหอมหวนของมันล่อลวงมือขาวให้เข้ามาจับช้อนเงิน ตักทานคำเล็กๆลองเชิง พลันรสชาติของข้าวสุกหอมเคลือบไข่บางๆผสมผสานกับรสชาติเค็มหวานของเครื่องปรุงได้อย่างลงตัว

เจสันรีบตักทานคำต่อไปจนเต็มกระพุ้งแก้ม ทิ้งทิฐิไว้ชั่วขณะหนึ่ง ลิ้มลองรสชาติของอาหารจานเด็ดตรงหน้า อดคิดถึงน้องชายฝาแฝดตัวเองไม่ได้ แจ็คสันก็ทำอาหารได้ดีไม่แพ้กันเลย อ่า...คิดถึงจัง

“ไหนบอกไม่กิน”

สงสัยตกอยู่ในห้วงความคิดนานไม่หน่อยถึงได้โดนมาร์คที่เดินกลับเข้ามาอีกครั้งถาม มุมปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มเหยียดแฝงชัยชนะ ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสแลคเดินผ่านหน้าเขาไป วางจานลงในซิงก์ล้างจาน

เจสันส่งเสียงเหอะเบาๆ ก้มหน้าทานข้าวต่อ ไม่สนใจร่างสูงที่เดินมานั่งข้างๆ มาร์คพยายามถามเขาเกี่ยวกับเรื่องคดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาแล้ว ได้กลิ่นพวกบ้างานมาแต่ไกล เจสันค่อนข้างขยาดคนนิสัยแบบนี้เลยพาลไม่อยากเข้าใกล้ไปด้วย

“ตกลงคุณไม่รู้จริงๆเหรอว่าพวกนั้นตามคุณเพราะอะไรกันแน่”

“ผมตอบคุณมาสามร้อยรอบแล้วนะคุณตำรวจ แค่คำว่าไม่รู้นี่คุณยังไม่เข้าใจความหมายของมันอีกรึไง คุณควรไปเรียนไฮสคูลใหม่นะ คุณมาร์ค”เจสันกลืนคำข้าว ตอบกระแนะกระแหนไม่ยอมสบตาคนตั้งคำถาม

มาร์คพอโดนตอบกลับแบบนั้นก็หน้าตึงไป กระแอมในลำคอ ขอกลับไปตั้งลำใหม่ในห้องทำงานอีกรอบ มันก็จริงที่เจสันว่า เขาถามคำถามนั้นไปร้อยๆรอบเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี เพราะตอนนี้หลักฐานที่ได้จากที่เกิดเหตุตอนแรกก็มีแค่ชนิดอาวุธในการก่อเหตุจากกระสุนปืนที่ตกบนพื้น ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพรถก่อเหตุที่ล่าสุดโดนพบว่าถูกระเบิดกลายเป็นซากที่ท่าเรือไปเมื่อวันก่อนและต้องใช้เวลาหาหลักฐานจากซากรถนั่นอีกพอสมควร

ปล่อยให้หน้าที่พวกนั้นเป็นของฝ่ายพิสูจน์หลักฐานไป มาร์คเดินเข้ามาในห้องทำงาน นั่งลงบนเก้าอี้นวมหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ กรอกรหัสเข้าใช้ฐานข้อมูลของหน่วยงาน รอไม่ถึงสามนาทีข้อมูลของคดีที่เขากำลังติดพันอยู่ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอเต็มไปหมด ทั้งรายละเอียดของเจสัน-แจ็คสัน พยานคนอื่นที่เกี่ยวข้องในวันนั้น หลักฐานที่มี ภาพหลักฐานต่างๆที่ได้ มาร์คมองมันเป็นล้านๆรอบ คลิกกดอ่านข้อมูลนั่นนี่แต่ก็ไม่เห็นความเกี่ยวข้องอะไรพิเศษ เขารู้แค่ว่าพวกนั้นเป็นมาเฟียฮ่องกง และเจสันก็เป็นคนฮ่องกงอพยพมาที่อเมริกาพร้อมพ่อแม่...

จริงๆเขาแอบสืบประวัติของเจสันแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆและไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งค์มาเฟียที่ตามล่าเจ้าตัวให้ควักแบบนั้น พบแค่พยานคนสำคัญของเขาไม่จบปริญญาและหาทำกินด้วยอาชีพช่างภาพอิสระ เดินทางท่องเที่ยวไปเกือบทั่วโลกเพื่อเก็บภาพมาขายให้นายจ้าง ตอนแรกเขาสงสัยว่าเจสันอาจจะรับงานตามติดหนึ่งในมาเฟียพวกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ เพราะลองตรวจสอบเมมเมอรี่การ์ดทุกตัวจากลูกรัก (กล้อง) ของเจสันแล้วก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ไม่มีแม้แต่รูปคน เหมือนว่าเจสันจะเป็นช่างภาพที่ชอบถ่ายแลนด์สเคปมากกว่าถ่ายภาพบุคคล

“นี่ตำรวจสหรัฐมีสิทธิ์สืบข้อมูลประชาชนในประเทศได้ขนาดนี้เลยเหรอ? น่ากลัวแฮะ”เสียงแหบห้าวดังจากเหนือศีรษะ มาร์คตกใจเล็กน้อยแต่ก็รวบรวมสติหันไปมองคนไร้มรรยาทที่เดินมาค้ำแขนบนพนักเก้าอี้ ตากลมมองประวัติตัวเองบนหน้าจอใหญ่ มาร์ครีบปิดมันลง หมุนเก้าอี้ดันตัวคนตัวเตี้ยกว่าออกไป กอดอกยืดตัวมองอีกคนดุๆ

เขาว่าเขาต้องคุยกับเจสันให้รู้เรื่องสักที

“คุณเข้าใจสถานะของคุณบ้างรึเปล่า คุณเจสันหวัง”

“เข้าใจสิ”เจสันตอบเรียบๆ “เข้าใจว่าเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่โดนนายตำรวจอยากได้ผลงานจับมาขังรีดเอาหลักฐาน”

มาร์คถอนหายใจแรงมาก ลุกขึ้นเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเจสัน “คุณเป็นพยานในความคุ้มครองของผม ผมยอมรับว่าคุณมีประโยชน์ต่อรูปคดี แต่สำคัญกว่านั้นคือคุ้มครองคุณจากพวกมาเฟียด้านนอกนั่นที่ผมรวมถึงกรมตำรวจก็ไม่รู้ว่าพวกมันกบดานอยู่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นกลุ่มไหน ดังนั้น...”

“พูดตั้งเยอะนี่เหนื่อยไหม”

“เจสัน คุณไม่กวนผมสักวินาทีสิ”มาร์คพูดเสียงอ่อน เจสันก็ชะงักไปเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของอีกคน ใจแอบเต้นผิดจังหวะไปสองจังหวะ โหย น้ำเสียงเมื่อกี้ถ้าไปพูดกับสาวๆที่ละลายตายกันไปข้าง

“ผมอยากให้คุณอยู่แต่ในห้องนี้ ห้ามออกไปไหนในช่วงนี้ เพราะพวกนั้นคงตามหาคุณให้ควัก รอสักสองสามอาทิตย์ ผมจะพาคุณออกไปด้านนอกตามที่คุณต้องการ”

“นานไป...ผมทนได้อีกแค่ 7 วัน”เจสันต่อรอง

“...”มาร์คนิ่งไปเหมือนคิดคำนวณอะไรในหัว “ก็ได้”

“งั้นก็ตกลง”เจสันพยักหน้า จริงๆก็เหนื่อยจะพยศแล้วเหมือนกัน รู้ว่าดื้อยังไงหลุดจากสถานการณ์นี้ไม่ได้ อีกทั้งชื่อเขาในสำนวนนั่นก็เป็นจริงไม่ต้องได้รับการพิสูจน์

มาร์คยิ้มพอใจ ยื่นมือให้อีกคนจับ เจสันมองมือที่ยื่นออกมา ยกมือขึ้นตบเบาๆ แล้วเดินหนีออกไปจากห้อง นายตำรวจถอนหายใจอีกเฮือก ดื้อยังไงก็ดื้ออย่างนั้นจริงๆ

...ก็ดี สงบศึกได้ชั่วคราว...

ปึก!

กำลังจะนั่งลงทำงานต่อ เสียงดังเหมือนมีอะไรตกบนพื้นก็เรียกความสนใจเขา คิดในใจว่าเจสันคงซุ่มซ่ามทำอะไรตกในห้อง นิ้วเรียวแข็งแรงรัวแป้นพิมพ์คิดสมการที่เกี่ยวเนื่องกันของรูปคดี สักพักก็ส่ายหน้าเพราะยังไม่เห็นทางต่อไปเหมือนเดิม เขาคิดว่าคดีนี้ควรมีข้อมูลเพิ่มเติมและเขาจะรอพวกพิสูจน์หลักฐานอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

...เขาต้องลงมือเอง...

ซ่า!

สมองที่กำลังคิดเรื่องงานอยู่ดีๆก็ได้สติหลุดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนสาดของเหลวอะไรบางอย่างลงพื้น ใจเต้นกระหน่ำกลัวเหลือเกินว่าศิลปินช่างกล้องตัวเตี้ยแสนติสนั่นจะทำลายห้องเขาให้พังไม่เป็นท่าเป็นการแก้แค้น

ขาเพรียวแข็งแรงเดินออกจากห้องทำงาน มองซ้ายมองขวา ลองเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในห้องนอนสำรองที่เขายกให้เจสันพักชั่วคราว รีบผลักบานประตูเข้าไป แค่มองเข้าไปไม่ต้องเห็นให้ชัดก็ต้องช็อกอยู่หน้าประตู คนในห้องชะงักงานที่ทำอยู่เงยหน้ามองเขาตาแป๊ว

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!!!

เจสันยู่ปากเอามือปิดหูทำสีหน้ารำคาญใจ ไม่สนว่าแก้มขาวหรือเส้นผมสีอ่อนจะเปื้อนสีแดง สีเดียวกับที่เทสาดราดผืนผ้าใบบนพื้นห้องสีขาว ไม่พ้นว่ากระเบื้องห้องก็พลอยเปื้อนเป็นวงกว้างไปด้วย

“ทำงาน”

“ช่างภาพต้องเทสีเปื้อนบ้านคนอื่นเขารึไง”มาร์คถึงกับปรี๊ดแตก มองกระเบื้องบ้านที่เป็นด่างดวงด้วยสีแดงมองผ่านๆดูสยดสยองราวกับกำลังเกิดคดีฆาตกรรมอยู่ในห้อง ไม่ต้องเดาว่าต่อให้ทำความสะอาดขนาดไหนก็ต้องหลงเหลือร่องรอยคราบสีติดอยู่แน่ๆ แล้วยิ่งเห็นคนทำทำหน้าตาเฉยเมยไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ยิ่งหงุดหงิด เส้นประสาทในหัวเต้นตุบขมวดขึง

“ผมเป็นศิลปิน คุณเข้าใจมะ? ช่างถ่ายรูป คนเขียนหนังสือ คนวาดรูป คนทำงานศิลปะอ่ะ?”

“แล้วนั่นมันศิลปะประเภทไหนถึงต้องเทสีใส่พื้น!

“มันคือศิลปะบนผืนผ้าใบ”เจสันเชิดหน้าไม่เกรงกลัวต่อสายตาที่พร้อมจะขย้ำคอเขาได้ทุกเมื่อของมาร์ค ยิ่งเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “คนไม่มีศิลปะในหัวใจอย่างคุณดูมันไม่ออกหรอก”

“ใช่ ผมดูมันไม่ออก”มาร์คกัดฟันกรอด “เพราะมันห่วยจนไม่น่ามองยังไงล่ะ”

“นี่คุณ!”คราวนี้เจสันเป็นคนปรี๊ดบ้าง “ตาไม่ดี สมองไม่ถึง โลกทัศน์ไม่กว้างก็อย่ามาว่างานคนอื่นว่าห่วยนะเว้ย! งานแต่ละชิ้นของผมขายได้เป็นแสนเป็นล้านด้วยซ้ำ!!

“ผมไม่สนว่างานคุณมันจะกี่หลักกี่ล้าน แต่ตอนนี้คุณต้องหยุดทำอะไรบ้าๆและทำความสะอาดพื้น...เดี๋ยว...นี้!

“ไม่!!! จนกว่าคุณจะยอมขอโทษผม”

“ผมไม่ขอโทษจนกว่าคุณจะทำความสะอาด”

ต่างคนต่างแข็ง เผชิญหน้าราวกับกองไฟสองดวงกำลังลุกโหมแข่งกัน

“งั้นก็ไม่ต้องคุยกัน ผมจะไปเก็บของ กลับบ้าน ให้พวกมาเฟียมันตามล่าฆ่าผมจนตาย แล้วคุณก็จะไม่มีงาน ทำงานไม่ได้ ไม่ได้รับการยอมรับ...”

“พอ!”มาร์คเป็นคนหยุดเสียงแหบที่พล่ามฉอดๆ พอเจสันเอาเรื่องงานขึ้นมาขู่เขาก็ใจเย็นขึ้นทันที ไม่สิ ไม่ได้ใจเย็น แค่คิดถึงผลได้ผลเสียแล้วเห็นถึงความวินาศมากกว่าถ้าไม่ยอมเป็นฝ่ายลงให้ก่อน

“ผมขอโทษ...พอใจแล้วก็รีบเก็บห้องสักที”

“ไม่”

มาร์คได้ยินเสียงเส้นประสาทตัวเองดังเปรี๊ยะ

“ผมต้องรีบทำงานส่งตามออเดอร์ นี่เป็นงานของผม ถ้าคุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่ต่อไป คุณก็ต้องยอมให้ผมทำงานของผมในที่ของคุณ มันเป็นเงื่อนไขของผมที่จะยอมอยู่ที่นี่โดยไม่แหกลูกกรงหนีไปไหนก่อน”

“คุณกำลังบีบผม”

“ใช่ ผมกำลังบีบคุณ ผมไม่ยอมให้คุณบีบผมฝ่ายเดียวหรอก สรุปเอายังไง จะยอมให้ผมทำงานของผมต่อไหมครับ? คุณ...ตำ...รวจ”ยกยิ้มเห็นฟันกระต่ายแสนกวนประสาท

ตึง!

มือแกร่งเหวี่ยงชกกำแพงดังลั่นจนแม้แต่เจสันยังตกใจ มาร์คหลับตาแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามรวมรวมสติที่แตกซ่านไปให้กลับคืนมา

“ก็ได้...ผมยกห้องนี้ให้...”

เจสันกำลังจะยกยิ้มแห่งชัยชนะ แต่ก็ต้องหุบฉับเพราะคำถัดมาของอีกคน

“แต่คุณต้องทำอาหารกินเอง”

“ไม่!!

เจสันปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ไม่ทันแล้ว มาร์คเหวี่ยงประตูปิดเป็นสัญญาณว่าการเจรจาเสร็จสิ้นและไม่มีการต่อรองอันใดต่อจากนี้อีก

ปึง!!!!











ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*