[TTM] 10
TWINS & TWINS
MATCH
_______10_______
หลังจัดการปัญหาที่ร้านเสร็จแล้ว (ด้วยการบังคับขู่เข็ญแจบอมที่มีสีหน้าเหมือนเขาสั่งให้ไปตาย)
มาร์คัสก็ซิ่งลูกรักกลับมาที่คอนโดให้เร็วที่สุดเพราะรู้สึกห่วงแจ็คสันตะหงิดๆ
จริงๆเขาตั้งใจจะกลับไปดูอาการตั้งแต่ตอนเที่ยง
ไม่คิดว่าการไปเยี่ยมร้านจะทำให้ต้องพูดคุยขู่เข็ญเพื่อนรักอย่างแจบอมอยู่นานสองนาน
กว่าทุกอย่างจะลงตัว ดูเวลาก็บ่ายสองเข้าไปแล้ว
เรื่องเมื่อคืน ถ้าตัดเรื่องเขาโดนยาจากผู้หญิงที่ผับ ที่เหลือมันก็คือความเอาแต่ใจของมาร์คัสเอง
เขาเลือกจะจัดการตัวเองยังไงก็ได้
จะช่วยตัวเองหรือจะเรียกบรรดาเด็กในสังกัดที่พร้อมจะพุ่งมาหาเขาได้ทุกเมื่อก็ยังได้
แต่เขาก็ยังเลือกจะกลับคอนโดและหาโอกาสรังแกเด็กคนนั้น
แถมดูก็รู้ว่ามันเป็นครั้งแรกของแจ็คสันอีกต่างหาก
และเพราะเป็นเสือผู้หญิงประสบการณ์โชกโชน
ถึงได้รู้ว่าหลังจากโหมทำหนักหน่วงแบบเมื่อคืน
สภาพของอีกคนมันน่าจะแย่ไม่ใช่น้อยเลย...
บ่ายสามสิบนาที นายแบบหนุ่มก็ยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง
รูดการ์ดเปิดผลักเข้าไป แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นร่างขาวกำลังนั่งดูทีวี
ดวงตากลมหันมามองเขาแล้วยิ้มกว้างราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่มาร์คัสกลับมาแล้วเหรอครับ”
“เอ่อ...”ยอมรับว่าสตั้นไปเลยตอนเห็นรอยยิ้มกว้างแบบนั้นและคำเรียกขานเหมือนภรรยาถามสามีของเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วน
“ก็...อืม” ตอบส่งๆ เดินเลี่ยงไปหลังโซฟา
ถอดเสื้อนอกออกทำท่าทางเหมือนไม่สนใจ
แต่สายตาก็เหลือบมองปฏิกิริยาของแจ็คสันอยู่ตลอด เด็กผู้ร่วมอาศัย
(ขยับฐานะจากภาระที่มาร์คโยนมาให้) ดูโทรทัศน์ท่าทางสบายอกสบายใจ
ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าหรือมีอาการเป็นไข้อย่างที่คิด แต่จะใช่เหรอ?
...แปลก...
“ผมไม่รู้ว่าพี่จะมาตอนไหนเลยไม่ได้ทำอาหารไว้รอ
แต่ในตู้เย็นมีกับข้าวเมื่อวะ...อ่ะ”เสียงแหบแห้งหยุดไปเมื่อจู่ๆก็โดนมือเรียวสวยจับคางดันขึ้นจนหน้าหงายไปด้านหลัง
ตากลมเบิกกว้างเกร็งตัวขึ้นมาอัตโนมัติ
ลมหายใจสะดุดแทบไม่กล้าหายใจตอนมาร์คัสก้มหน้าลงมาใกล้และแนบหน้าผากลงมาเพื่อวัดอุณหภูมิ
ความแนบชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมฉุนจมูกทำให้เด็กหนุ่มคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนและอาการเจ็บแปลบก็แสดงอาการขึ้นมากะทันหัน
เพราะระยะที่ใกล้กันจนเกินไปทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มได้อย่างชัดเจน
ประกอบกับไอร้อนที่สัมผัสได้ แก้มกลมแดงก่ำและดวงตาเยิ้มเหนื่อยอ่อนนั่น
มันไม่ยากเลยที่จะรู้
“...เป็นไข้?”
“อ่า...ผมไม่ได้เป็น แค่ก!”ยังอุตส่าห์โกหกทั้งที่อาการปิดไม่มิด นิ้วเรียวเลยได้โอกาสดีดหน้าผากมนแรงๆจนร่างขาวที่ฝืนทำตัวแข็งแรงเมื่อครู่ล้มตึงไปกับโซฟาและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
...เดาผิดที่ไหน...
นายแบบหนุ่มเดินเข้าไปในห้องเก็บของและออกมาพร้อมกระเป๋าพยาบาล
หยิบยาขึ้นมาอ่านสลากทีละอย่าง ค้นหายาที่ต้องการ
ดูท่าทางทุลักทุเลจนคนป่วยต้องลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร
แต่ก็โดนมาร์คัสผลักศีรษะหงายคว่ำไปกับโซฟาอย่างเดิม
“ต้องกินอะไรบ้างวะ?...”
แจ็คสันแอบยิ้มมุมปากกลั้นหัวเราะ
ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นภาพนายแบบมาดเยอะอย่างมาร์คัสกำลังค้นกล่องยาสามัญประจำบ้านเพื่อหายาให้คนอย่างเขากิน
รู้สึกอุ่นแถวอกแปลกๆแม้ความอบอุ่นนั้นจะมาพร้อมความเจ็บปวดบางประกายในหัวใจ...
เรื่องเมื่อคืน แม้แจ็คสันจะไม่รู้สึกเจ็บมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองรู้สึกดี
คงเพราะรู้ว่ามาร์คัสไม่ได้ทำเพราะรักเขา ทุกอย่างมันเกิดจากความจำเป็น
แน่นอนว่าแจ็คสันรู้ตัวดีว่าตัวเองก็เหมือนกับสาวๆที่มาคัสเคยควงผ่านมา
ไม่มีเหตุผลที่ต้องยกตนหรือโวยวายหาความเอาใจใส่จากผู้ชายคนนี้ ทุกอย่างที่ทำด้วยกันเมื่อคืนเป็นคำตอบสำหรับทุกคำถามด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
ไม่มีประโยชน์ที่จะเรียกร้องหาคำตอบให้เจ็บปวดใจซ้ำอีก
เด็กหนุ่มได้สติเมื่อเสียงทุ้มเรียกเขาเสียดังลั่น
ตากลมมองเม็ดยาสามสี่เม็ดในมือเรียวและขวดน้ำเปล่าที่วางไว้ใกล้ๆ
ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้าลึกทำใจดีสู้เสือต่อรอง
“คือ...ผมไม่เป็นไรครับ ไม่กินก็ได้”
“กินเข้าไป ฉันแกะออกมาแล้ว ไม่ก็เอาไปทิ้งเอง”
“ผมเอาไปทิ้งก็ได้ครับ”
“นายเข้าใจคำว่าประชดไหม? กินเข้าไป อย่าเรื่องมาก”
ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มมีความหงุดหงิดปรากฏชัดจนแจ็คสันไม่กล้าขัด
มือป้อมกำยาไว้แน่น นั่งจ้องมันนานจนมาร์คัสจับสังเกตได้
“นายไม่กินยาเม็ด?”
แจ็คสันสะดุ้งเฮือก...และมาร์คัสได้คำตอบทันที
มือเรียวฉวยทั้งยาทั้งน้ำมาจากเด็กหนุ่ม
แจ็คสันกำลังจะยิ้มดีใจก็ต้องตกใจอีกรอบเมื่อจู่ๆก็โดนชายหนุ่มจู่โจมขึ้นคร่อมสะโพก
กดแผลสดๆใหม่ๆจนร้องโอ๊ยลั่น เป็นโอกาสให้นิ้วเรียวแทรกเข้ามาในโพรงปากร้อน
กดลิ้นเล็กลงและเทเอายาทั้งหมดลงไป คนตัวขาวกระวีกระวาดผลักไสมาร์คัสออก
คว้าน้ำขึ้นมาดื่มตามแทบไม่ทัน แจ็คสันลุกขึ้นมาสำลักน้ำ ไอโขลกๆสะเทือนทั้งไปร่าง
เป็นการกินยาที่ทำให้เจ็บหนักกว่าเดิมเสียอีก
...หล่อ รวย ดาร์คและฮาร์ดคอเรียกพ่อจริงๆ...
มาร์คัสเดินเข้าไปในครัวทันทีที่กรอกยาแจ็คสันเสร็จ
ทิ้งให้คนตัวขาวไอโขลกจนตาแดงและนอนพังพาบไปกับโซฟา
หมดสิ้นแรงที่จะแสร้งทำตัวแข็งแรงอีกต่อไป
...แจ็คสันโกรธนะ โกรธจริงๆแล้วด้วย...
เขาทั้งปวดหัว เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่มีแรงจนแทบลุกยืนไม่ได้
ตั้งแต่ตอนที่รู้สึกตัวและไม่เห็นมาร์คัสในห้องก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำจัดการตัวเอง
แล้วมานั่งแหมะที่โซฟาเพราะไม่อยากให้มองว่าตัวเองเป็นภาระ
ทั้งที่ทั้งหมดนี้มันคือความผิดมาร์คัสชัดๆ แล้วยังมาบังคับเขากินยาเม็ดอีก
(นี่ต่างหากที่ทำให้โกรธจริง)
พอเห็นมาร์คัสเดินออกมาพร้อมข้าวต้มก็รีบนอนหันหลังให้
ชายหนุ่มมองอากัปกริยานั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่างอนเป็นตุ๊ด ลุกขึ้นมากินข้าว แล้วเข้าไปนอน”
“ผมไม่กิน”
“อยากให้ฉันกรอกปากเหมือนเมื่อกี้ใช่ไหม”
ไม่ต้องให้ขู่ซ้ำ เด็กหนุ่มก็พลิกกายขึ้นมานั่งกินข้าวดีๆ ถึงสีหน้าจะงองุ้มขนาดไหนแต่ก็ตักข้าวต้มเข้าปาก
เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า หิวไส้กิ่ว
จะงอนจะโกรธอะไรก็ขอหลังได้กินข้าวก่อนเถอะนะ
มาร์คัสนั่งลงข้างแจ็คสัน
เหลือบมองเด็กหนุ่มเป็นระยะๆเหมือนกำลังรอตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“เรื่องเมื่อคืน...”
“แค่ก!”ไม่ทันจะได้พูดอะไรแจ็คสันก็สำลักข้าว
รีบหาน้ำดื่มตาม แก้มกลมแดงก่ำ ก้มหน้างุดๆกินข้าวต่อ
เหมือนไม่สนใจแต่มาร์คัสรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังฟังอยู่
“จะว่ายังไงดีล่ะ...ขอโทษนะที่ทำแบบนั้นลงไป
นายจะโกรธฉันก็ได้ แต่เมื่อคืนฉันโดนยาจากผู้หญิงคนหนึ่งในผับ
มันทำให้ฉันต้องการจนทนไม่ไหว...”
ชายหนุ่มพูดอธิบายโดยไม่ได้สังเกตว่าแจ็คสันซึมไปตั้งแต่ประโยคแรกๆ
มือเล็กกำช้อนทานข้าวไปเรื่อยๆ ทำเหมือนไม่มีอะไร...แต่ภายในกำลังปริร้าว
...แล้วพี่ก็เอามาลงที่ผมสินะ...ประโยคนั้นแจ็คสันไม่ได้พูดออกไป
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันสกัดกลั้นความผ่าวร้อนตรงขอบตา ทั้งที่รู้อยู่แล้ว
แต่ก็อดเสียใจไม่ได้จริงๆ
“ก็พี่มาร์คัสโดนยานี่ครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อยนี่นา”
คนตัวขาวหัวเราะไม่ถือสา ทำให้มาร์คัสเงียบไป
ต่างคนต่างเงียบ บรรยากาศแสนน่าอึดอัดเข้าคลอบคลุมทั้งคู่ พอทานเสร็จนายแบบหนุ่มก็ช่วยพยุงแจ็คสันเข้าไปพักในห้องนอนเล็ก
พอหัวถึงหมอนคนป่วยก็ ผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา เปลือกตาช้ำหลับพริ้ม ดูไม่มีพิษมีภัย
มองไปก็เหมือนผ้าขาวแสนบริสุทธิ์ แต่ก็เป็นเขาเองที่เป็นคนป้ายผ้านั้นให้แปดเปื้อน
...ก็แค่รู้สึกผิด...
ที่ผ่านมาเขามีสัมพันธ์กับคนที่เข้ามาหาเขาก่อนทั้งนั้น
ทั้งพวกมีประสบการณ์หรือพวกบริสุทธิ์ทั้งหลาย ถือเป็นการบริหารเสน่ห์
ถ้าวันไหนปลาติดเบ็ดก็ลาภปาก ไม่ได้คิดจะจริงจังกับใคร
แจ็คสันเป็นคนแรกที่เขาเป็นคนรุกเข้าไปก่อน
ถึงจะเพราะฤทธิ์ยาปลุกและรู้ว่าคนตัวขาวก็แอบปลื้มตัวเองไม่น้อย
แต่แจ็คสันก็ไม่ได้มีท่าทีจะอยากมีอะไรกับเขาเลย
นั่นเลยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกหลังจากทำใครสักคนป่วยหลังมีสัมพันธ์กัน
ยิ่งแจ็คสันยิ้ม ยิ่งบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร
มันกลับทำให้ใจของสิงโตหนุ่มรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
มือเรียวขยุ้มผมตัวเองและถอนหายใจเฮือกใหญ่
“Shit...มาร์คแม่งส่งปัญหาชิ้นใหญ่มาให้จริงๆ”
มาร์คนั่งจ้องหน้าจอคอมมาตั้งแต่เมื่อคืน ดวงตาสวยอิดโรย ใต้ตาคล้ำขึ้นเล็กน้อยหลังจากนอนไม่เต็มอิ่มมาสามคืน
ยกแก้วกาแฟดำจืดชืดที่เสียเวลาออกไปชงตอนตีสองขึ้นมาซด หูแว่วได้ยินเสียงนกร้องอยู่ด้านนอกบอกเวลาเริ่มเช้าวันใหม่
เหลือบมองมุมซ้ายหน้าจอบอกเวลา 05.45 PM แล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือก มือเรียวกดพับหน้าต่างเอกสารว่างเปล่าไว้ก่อน
...ไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด...
นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจ
จากหลักฐานทั้งหมดที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานเก็บได้จากที่เกิดเหตุรวมไปถึงภาพกล้องวงจรปิดบนถนนหลวงที่พอจะรวบรวมมาได้ไม่ได้บ่งบอกอะไรมากกว่ายี่ห้อรถและรอยตำหนิเล็กน้อยพอให้สืบไปถึงได้ว่าพวกนั้นเช่ารถมากจากอู่รถแถวแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นอู่เก่าๆใกล้เจ๊ง
เจ้าของเป็นชายวัยเกษียรป่วยออดๆแอดๆกับลูกสาวอีกคนหนึ่งคอยดูแล
ย้อนประวัติดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เมื่อลองให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสอบถามก็มีงานงอกขึ้นมาเมื่อเจ้าของอู่บอกว่ารถคันนั้นโดนขโมยไปกลางดึกแต่ไม่ได้แจ้งความไว้เพราะคิดจะทำลายทิ้งอยู่แล้วเพราะสภาพเก่าเกินกว่าจะใช้ได้
แต่รถที่พวกเขาเห็นแล่นได้เร็วยิ่งกว่าเฟอร์รารี่รุ่นล่าสุดเสียอีก
แบบนี้ไม่ใช่ว่าพวกนั้นมีอู่หรือโรงงานไว้คอยกบดานหรอกเหรอ?
มาร์คถอนหายใจ คิดในใจว่าวันนี้ต้องเข้าไปสำนักงานสักหน่อย
อย่างน้อยก็ไปพบชานซองและขอเรื่องประสานขอภาพกล้องวงจรปิดบริเวณบ้านแฝดน้องเขาให้
จากเหตุการณ์ลอบยิงหวังคนน้องเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าพวกนั้นยังแยกหรือไม่รู้ว่าหวังคนไหนที่พวกมันต้องการ
หรือมีความเป็นไปได้อีกอย่างว่าอาจจะโดนตามล่าทั้งสองคน
ว่าแล้วก็เปิดประวัติสองพี่น้องตระกูลหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ประวัติไม่มีอะไรผิดปกติ ราบเรียบ ครอบครัวก็อบอุ่น ไม่มีปัญหาหนี้สิน
สุดจะราบเรียบจนไม่รู้จะไปโฟกัสจุดไหนดี
นอกจากโรคโฟเบียกลัวของมีคมขั้นรุนแรงของแฝดพี่แล้วก็ไม่มีอะไรให้คิดได้อีก
มาร์คกลืนคาเฟอีนอึกสุดท้ายลงคอ ปิดคอมพิวเตอร์
ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง พร้อมๆกับประตูอีกบานในห้องเปิดออกมาในเวลาเดียวกัน
เราสบตากันเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกยิ้มใกล้เคียงคำว่าแสยะมาให้
“คุณไม่ได้นอนเลยรึไง สภาพอย่างกับซอมบี้เดินได้”ทักมากวนๆตามสไตล์
หวังเจสันเดินเกาพุงโชว์ลอนกล้ามท้องไปทางครัว
เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าออกมากรอกปากเปล่า ทำตัวอย่างกับเป็นบ้านของตัวเอง ในขณะที่เจ้าของบ้านตัวจริงกลอกตาเงียบๆไม่อยากพูดอะไรให้มากความทั้งที่ในใจนึกหยึยขึ้นมานิดๆ
เดินไปยืนข้างกัน
หยิบน้ำอีกขวดออกมาหมุนเปิดเทใส่แก้วสะอาดบนหลังตู้ดื่มให้อีกคนดูเป็นตัวอย่าง
เจสันเหลือบตามองนิดๆแต่ก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน ดึงปลายเสื้อกล้ามมาเช็ดคราบน้ำบนมุมปากอิ่ม
หิ้วน้ำขวดนั้นเดินไปนั่งบนโต๊ะทานข้าว
“คุณนี่ท่าทางจะไม่เคยมีแฟนสินะ”
จู่ๆเจสันก็พูดขึ้นมา
มาร์ควางไข่และขนมปังลงบนเคาน์เตอร์ครัว หันกลับมาตอบคำถามเชิงประชดนั้น
“ไม่มีอะไรกวนผมแล้วรึไง”
“ก็เปล่า แค่คิดว่าผู้ชายที่เทิดทูนงานอย่างคุณคงไม่สนใจเรื่องความรักหรือความรู้สึกแสนลึกซึ้งอะไรแบบนั้นหรอกน่ะ”เจสันพูดขณะเงยหน้าเหม่อมองฝ้าเพดานขาว
มือกระดกน้ำอีกอึกก่อนพูดต่อ “แล้วผู้หญิงก็คงขยาดคุณ…”
“12”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแทรกจากคนที่ยืดตัวหยิบเนยบนตู้เก็บของ
“ฮ่ะ?”
“แฟนคนสุดท้ายเพิ่งเลิกกันเมื่อสามเดือนก่อน รวม 12
คน”มาร์คเอ่ยขยายความ หันมามองหน้าเจสันด้วยรอยยิ้มมุมปากเล็กๆแสนน่าหมั่นไส้สำหรับคนมอง
เจสันหยีตาทำปากแบะใส่
พลางคิดว่าคนๆนี้ก็หลงตัวเองใช่เล่นเลย หันไปกระดกน้ำต่อจนหมดขวด
รอเฟรนโทสหอมละมุนมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ จับส้อมจ้วงกินมูมมามไม่สนใจว่ามาร์คจะทานหรือมีวิธีการกินแบบไหน
เพราะเจสันถือคติตัวข้าคือตัวข้า ไม่จำเป็นต้องเดินตามใคร
มาร์คใช้มีดตัดขนมปังออกเป็นชิ้นเล็กๆทานทีละคำไม่เร่งรีบ
พอมองอีกคนกินแบบนั้นก็กลอกตาบนนิดๆ “วันนี้ผมจะออกไปสำนักงาน...”
“ก็ไปสิ”อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจ
กัดขนมปังเคี้ยวตุ้ยๆแก้มพอง ไม่สบสายตา ท่าทางไม่พยศแบบหลายวันก่อนทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าไว้วางใจ
“ห้ามเล่นตุกติกเชียวนะเจสัน”
“เหอะ ถึงผมจะอยากออกไปคุณก็จะล็อกขังผมไว้อยู่ดีนั่นแหละ”ตอกกลับน้ำเสียงหงุดหงิด
ใบหน้าใสยังเขียวครึ้มด้วยไรหนวดเบาบางหงิกรำคาญใจ
กลอกตามาสบตามาร์คให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีแผนการอะไรนอกจากปลงจนไม่อยากพยศแล้ว “เพราะฉะนั้นจะไปไหนก็เรื่องของคุณ
ผมไม่อยากจะยุ่ง”
ศิลปินอิสระเอ่ยเจือรำคาญ
เขารู้สถานะดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก
“ตอนไหนผมจะได้เจอแจ็คสัน”
“จนกว่าผมจะแน่ใจว่าปลอดภัย”
“แล้วตอนนี้มันไม่ปลอดภัยตรงไหน?
คุณลากผมมาขังไว้ในนี้แล้วยังไม่ปลอดภัย แล้วทำยังไงผมถึงจะปลอดภัย
ต้องรอให้ตำรวจอย่างพวกคุณสืบจนกว่าจะลากหัวพวกมาเฟียบ้าๆนั่นออกมาให้ได้ก่อนน่ะเหรอ?
ผมกับแจ็คสันคงลืมหน้ากันพอดี!”
...จะลืมได้ยังไง ส่องกระจกก็เห็นแล้ว...มาร์คเถียงขึ้นในใจ
“ผมบอกได้แค่ว่าไม่ออกไปข้างนอกจะเป็นการดีที่สุด”
มาร์คพูดแค่นั้น เขาไม่ได้แจ้งเจสันว่าน้องชายฝาแฝดที่ชื่อแจ็คสันโดนลอบยิงเมื่อวันก่อน
เพราะขนาดไม่ได้เจอกันยังแสดงท่าทางห่วงหาขนาดนี้ ถ้าเขาหลุดปากบอกไปว่าแจ็คสันเกือบโดนยิงแฝดคนพี่ซึ่งเป็นผู้เสียหายหลักต้องบ้าคลั่งมากแน่
“ผมจะคุยกับน้องผม...”เจสันพูดเสียงแข็ง
มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ยอมความ เขาเป็นห่วงน้องเขา
และเขาก็มีสิทธิ์จะคุย ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามเขาไม่ได้
มาร์คถอนหายใจ เหนื่อยหน่ายกับความดื้อด้านและท่าทางแข็งกร้าว
ขนาดเขามีน้องชายฝาแฝดเหมือนกันยังไม่ติดกันเป็นตังเมขนาดนี้เลยแท้ๆ พอเห็นเจสันลุกขึ้นทำท่าจะอาละวาดก็ยกมือขึ้นเหนืออกรับปากส่งๆไป
“ผมจะหาทางให้แล้วกัน”
เจสันนั่งลงเหมือนเดิมถึงจะไม่พอใจกับคำตอบแต่ก็ดีที่อีกฝ่ายบอกว่าจะพยายามหาทางให้
ยกแก้วดื่มน้ำโดยทั้งหมดอยู่ในสายตาของมาร์ค
ชายหนุ่มมองไรหนวดเขียวบางเบาบนคางกลมและเหนือริมฝีปากอิ่มก็ขมวดคิ้ว
ชีวิตประจำวันของผู้ชายทุกคนคือตื่นมาต้องโกนหนวด นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้
แต่กับเจสันที่เป็นโรคกลัวของมีคม นั่นน่าจะรวมไปถึงที่โกนหนวดด้วย แม้จะไม่แปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายปล่อยใบหน้าให้หนวดขึ้นรุงรังแต่ก็สงสัยเหลือเกินว่าปกติแล้วเจ้าตัวจัดการมันยังไง
“ปกติคุณโกนหนวดยังไง?”
“ให้แจ็คสันโกนให้”เจสันตอบ จิ้มเฟรนโทสอีกชิ้นใส่จานตัวเอง
ยกมือเกลี่ยสัมผัสขรุขระบนใบหน้าเบาๆ “แต่ถ้าไปต่างประเทศก็พกแหนบไปดึงเอา”
“ผมได้ยินว่ามันมีที่แว๊กซ์...”มาร์คหยุดพูดทันทีที่เจสันเงยหน้ามามองเขาด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนบ้าที่กำลังพูดอะไรเพ้อเจ้อ
“แว๊กซ์งั้นเหรอ? คุณบ้าหรือบ้า ได้เลือดสาดเอาน่ะสิ”
“ผมแค่เสนอแนวทาง”ตำรวจหนุ่มแก้ตัว
รู้สึกร้อนหน้าและอับอายนิดๆ เขาก็แค่ได้ยินมาและอยากจะช่วย แต่มันคงไม่เวิร์ค
อีกฝ่ายเลยแสดงท่าทางแบบนั้น
เจสันยักไหล่
เอนแผ่นหลังพิงพนักโยกเก้าอี้เล่นอย่างกับเด็กๆ “ผมเคยทำ แล้วมันเจ็บเป็นบ้า
ถึงพวกสาวๆจะบอกว่าเพราะผมไม่เตรียมผิวหน้าก่อนก็เถอะ
แต่ให้ตาย...”เขาขึ้นเสียงสูง แบะหน้าราวกับมันเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่สุดในชีวิต
“มันน่ารำคาญจะตายไป ผมเป็นผู้ชาย ทำงานคนเดียว ไม่ต้องออกสังคม
ไม่เห็นต้องเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าสักหน่อย”
“มันก็จริง”มาร์คขยับปากเห็นด้วยเป็นครั้งแรก
“แต่คุณไม่รำคาญมันหน่อยเหรอ?”
“บ่อยเชียวแหละ แต่ทำไงได้”
แล้วการสนทนาเรื่องการกำจัดหนวดก็จบลงตอนที่มาร์คลุกขึ้นเก็บจานและเจสันย้ายร่างตัวเองไปนอนพังพาบบนโซฟาหน้าทีวี
ตำรวจเจ้าของห้องล้างจานเก็บของเข้าตู้เสร็จก็กลับห้องไปอาบน้ำ
เดินตัวหอมฉุยออกมาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสีกรมท่า
เส้นผมสีเข้มปาดเรียบเผยใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา มือมัดเนกไทคล่องแคล่ว
มองไปก็เห็นเจสันยังนอนเกาพุงอยู่ที่เดิมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน
“ผมไปแล้วนะ”
คนบนโซฟาโบกมือไล่ไปมา
ทำตัวราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องจริงๆ มาร์คกลอกตาไม่ได้พูดอะไรอีก
พอล่วงประตูออกมาก็หันไปล็อกจากด้านนอก แม้ว่าระบบความปลดอดภัยที่นี่จะดีมากก็เถอะ
แต่เขาก็ไม่ไว้วางใจอยู่ดี โดยเฉพาะศิลปินอารมณ์ติสแตกคาดเดาไม่ได้อย่างคนในห้อง
กริ๊ก
เจสันได้ยินเสียงลงล็อกนั่นแล้วก็ถอนหายใจเฮือก
บอกแล้วว่ายังไงมาร์คก็ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ห้องคนเดียวโดยไม่ขังเขาไว้หรอก แล้วมันผิดจากที่พูดที่ไหนกัน
เหอะ!
ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นพยานในการคุ้มครองหรือผู้ร้ายกันแน่...
.
.
.
มาร์คเข้ามาในช่วงที่สำนักงานกำลังวุ่นวายพอดี
ประชาชนเข้าร้องเรียนเขียนบันทึกประจำวันมากเป็นพิเศษ
พวกตำรวจชั้นประทวนทำงานกันแทบขาขวิด
ชายหนุ่มเดินเลี่ยงห้องโถงเข้าไปในส่วนสำนักงานฝ่ายสืบสวนสอบสวน มุ่งตรงไปที่ห้องผู้บังคับบัญชา
ในใจหวังว่าชานซองคงยังไม่ออกไปไหน เพราะหัวหน้างานของเขาเป็นสายลุย
ชนิดถึงจะเป็นเจ้านายคนอื่นแล้วก็ยังลงลุยเองอยู่บ่อยๆ แต่พอเห็นป้ายหน้าห้องบอกสถานะก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง
เคาะประตูสามครั้งติดรอเสียงตอบรับจากคนข้างในที่เอ่ยอนุญาตให้เข้าไปทันที
ภายในห้องทำงานไม่เพียงปรากฏร่างของชานซองเท่านั้น
แต่มีร่างสูงกำยำของใครอีกคนยืนอยู่ด้วย
มาร์คตะเบ๊ะทำความเคารพนายตำรวจผู้มีตราประจำตำแหน่งเดียวกันกับชานซองแต่คงมาจากคนละเขตคนละรัฐ
ผิวเข้มคม ดวงตาเรียวรีชั้นเดียว
โครงหน้าหล่อเหลาและแก้มตอบนั่นดูดีจนอดชื่นชมไม่ได้ บ่ากว้าง
หน้าอกตึงพอสวมใส่ชุดตำรวจยิ่งดูดีขึ้นไปอีกหลายระดับ
ขนาดเขาเป็นผู้ชายด้วยกันยังอดชื่นชมไม่ได้
“นี่อ๊ค แทคยอน เพื่อนฉัน มาจากบอสตัน”ชานซองยืนขึ้นแนะนำคนที่ยืนอยู่ให้ลูกน้องในการปกครอง
“สวัสดีครับ ผมมาร์ค ต้วน
เป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนครับ”มาร์คเอ่ยแนะนำตัวแข็งขันเรียกรอยยิ้มจากผู้มาใหม่
แม้มาร์คจะยังไม่เข้าใจว่านายตำรวจยศสูงผู้นี้จะบินกว่า 6
ชั่วโมงมาที่เมืองคนละฟากฝั่งทำไมก็ตาม
“แทคยอนเป็นอดีต CIA เขามีบางอย่างจะมาบอกนาย มันอาจจะช่วยนายให้สืบคดีได้ง่ายขึ้น”
มาร์คตาโตมองคนตรงหน้าด้วยความชื่นชม
“ไม่ต้องคาดหวังอะไรมากหรอกนะมาร์ค
ชานซองเล่าเรื่องนายให้ฟังเยอะเลย นายเป็นลูกน้องคนโปรดของเขาเลยนะ”แล้วแทคยอนก็โดนชานซองเตะขาเข้าให้หนึ่งป๊าบใหญ่
มาร์คสะดุ้งฟังจากเสียงแล้วดูจะเตะแรงไม่ใช่น้อย แต่แทคยอนกลับหัวเราะร่าไม่ถือสา
ดูจะสนิทกันมากกว่าที่คิด
“เพื่อนฉันที่อยู่ CIA ให้ข้อมูลว่ามาช่วงนี้มันมียาเสพติดและยาต้องห้ามหลายๆอย่างหลุดเข้ามาเยอะจนผิดปกติแถบรัฐตอนใต้
พวกเขาสงสัยว่ามันอาจจะเป็นมาเฟียกลุ่มเดียวกับที่เกี่ยวข้องกับคดีเจสันหวัง...”แทคยอนเริ่มประเด็นด้วยสิ่งที่มาร์ครู้มาก่อนแล้ว
“แต่ว่าพวก CIA จะไม่ลงมาจัดการเรื่องนี้โดยตรงหรอกนะ
เพราะพวกนั้นกำลังเล่นแมวจับหนูตัวใหญ่ข้างบนนั้นอยู่...”แทคยอนหยุดพูดไปและหมุนนิ้วไปที่ด้านบนราวกับบอกใบ้ว่าเรื่องนี้นอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ
นอกจากมาเฟียและสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลายแล้ว
ยังเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ของพวกนักการเมืองด้านบนด้วย
“พวกเขากำลังสืบสาวเรื่องที่น่าจะเกี่ยวกับคดีนี้มาก
จริงๆฉันกับเพื่อนมีความคิดเหมือนกับชานซองว่าเรื่องนี้อาจจะมีคีย์สำคัญอยู่ที่ชายคนนั้น...เจสัน
หวัง”
“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น”
“นายเห็นประวัติเขาแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ มันไม่มีอะไรผิดปกติ”
“ใช่
มันไม่มีอะไรผิดปกติเลยในแฟ้มของพวกตำรวจ...แต่แปลกไหมว่าชื่อของเขาเคยอยู่ในแฟ้มคดีของ
CIA”
เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้มาร์คตาโต มันหมายความว่ายังไง?
“และตอนนี้แฟ้มนั้นมันหายไป
ไม่มีใครรู้ว่าเจสันหวังมีความเกี่ยวเนื่องอะไรกับเรื่องราวระหว่างต่างประเทศที่ CIA เป็นคนสอบสวน
แม้แต่ประวัติของเขาก็ยังถูกเปลี่ยนแปลง แต่ก็เหมือนเดิม เราไม่รู้ว่าอะไรที่หายไป
อะไรที่เกิดขึ้นในอดีต เจสันเคยเล่าอะไรให้นายฟังไหม?”
“ไม่ครับ สิ่งที่เขาเล่าตรงกับประวัติทุกอย่าง
ผมเลยไม่ได้ฉุกคิด”
“ใช่ ถูกต้องเลยมาร์ค”แทคยอนพยักหน้า
เดินไปนั่งบนโซฟาอีกด้าน
ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวตัวใหญ่ทำให้ทุกอย่างในห้องดูเคร่งเครียด
“ประวัติการเกิดของเขาไม่มีสิ่งผิดปกติ ประวัติที่เหลืออยู่เป็นของจริง
เขาไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ทุกสิ่งเกือบสมบูรณ์
แต่มันมีเสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งที่ตกไป...”
“แล้ว CIA…”
“ไม่หรอก บอกแล้วไงว่าพวกนั้นลงมาไม่ได้หรอก”แทคยอนหัวเราะ
“งัดข้อกับคนด้านบนอยู่ สนุกสนานเลยล่ะ ตอนนี้เลยต้องเป็นนาย...มาร์ค ต้วน
นายต้องเป็นคนที่ปิดคดีนี้ให้ได้”
จู่ๆก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปอด หายใจเข้าได้ไม่ทั่วท้อง
นี่มันคดีแรกของเขาในการสืบสวน แต่นี่มันผิดจากที่มาร์คคิดไปโขเลย
แล้วเขาจะทำได้แน่เหรอ?...
“คดีนี้ควรเป็นคดีที่เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้...”ชานซองเอ่ยขึ้น
“มันเกี่ยวกับเส้นสายและผลประโยชน์ นายต้องเข้าใจนะมาร์ค”
“ผมเข้าใจครับ”...แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ให้เขาสืบคนเดียวโดยต้องคอยคุ้มกันคนแสนพยศคนนั้นด้วยเนี่ย
จะไม่หนักเกินไปหน่อยเหรอ? ความไม่มั่นใจของเขาคงแสดงออกมาทางสีหน้า
แทคยอนเลยส่ายหน้ายิ้มๆและเดินมาตบบ่าเขาหนักๆ
...มือจะหนักไปไหนครับ แทบทรุด...
“นายทำได้ เชื่อตัวเองสิ”
หลักจากคำนั้นชายหนุ่มร่างสูงจากบอสตันก็เดินออกไปจากห้อง
ชานซองโบกมือหยอยๆเชิงไล่ หันมาสนใจรุ่นน้องตัวเองที่มีสีหน้าไม่โอเคเอาเสียเลย
...เอาน่า
ตอนที่ได้ยินจากปากแทคยอนก็ช็อกใช่น้อยที่ไหนล่ะ...
“จะให้ผมทำต่อจริงๆเหรอครับรุ่นพี่”มาร์คหันมาถามผู้บังคับบัญชา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำต่อ
แต่ถ้าคดีมันใหญ่และซับซ้อนเขาก็ไม่รู้จะมีปัญญาที่ไหนไปจัดการเหมือนกัน
เขาไม่มีคนหาข้อมูลให้ เขาไม่มีอำนาจต่อรองกับใครต่อใครได้ เขาไม่มีข้อมูลลับ
เขาไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยให้ใช้เหมือน CIA หรือ FBI มีแค่สองมือและสมองหนึ่งเดียวเท่านั้นเอง...เป็นครั้งแรกที่มาร์ครู้สึกถึงพรมแดนกั้นขวางของคำว่าธรรมดาและพิเศษ
แล้วก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
“ฉันฝากความหวังไว้ที่นายนะ...เหมือนที่แทคยอนบอก
จงเชื่อใจตัวเอง”ชานซองบอกยิ้มๆ มือใหญ่เปิดแฟ้มหนักขึ้นมาเปิด ยื่นให้มาร์คดู
“นี่คือคนที่จะคอยช่วยนายสืบสวน...ส่วนมากเป็นรุ่นพี่ เก่งและไว้ใจได้
เอาจริงๆพวกนี้เป็นเพื่อนฉันทั้งนั้น...ฉันบอกพวกนั้นแล้ว ส่วนนี่เบอร์
อยากให้ช่วยอะไรก็บอก พวกนี้ใจดีทั้งนั้นแหละ อ้อ...มาร์ค”
“ครับ?”
“เอาเป็นว่าจะให้พวกตำรวจนอกเครื่องแบบไปช่วยคุ้มกันบริเวณรอบๆให้ด้วยก็แล้วกันนะ...ทั้งเจสันและแจ็คสันเลย...ติดต่อน้องนายให้หน่อยว่าอย่าไปเหวี่ยงพวกเขาล่ะถ้าบังเอิญจับได้”
“อันนั้นก็แล้วแต่เขาแล้วล่ะครับ”
ชานซองหัวเราะ รู้จักมาร์คมาแต่ไหนแต่ไร
เห็นอีกฝ่ายบ่นถึงน้องชายฝาแฝดผู้เป็นนายแบบชื่อดังมามากต่อมาก
วีรกรรมแต่ละอย่างที่ทำกับนักข่าวและปาปารัสซี่ก็เยอะแยะจากหน้าจอโทรทัศน์
งานนี้คงต้องขอโทษตำรวจนอกเครื่องแบบที่ได้ไปดูทางนั้นให้ล่วงหน้าแล้วล่ะนะ
มาร์คขอบคุณและกำลังจะเดินออกไป
แต่ก็ชะงักและหันหน้ากลับมาถามผู้บังคับบัญชาที่เป็นทั้งรุ่นพี่คนสนิทในห้อง
“พี่ชานซอง...”
“หืม?”
“ถ้าไม่โกนหนวดพี่จะเอาหนวดออกยังไงเหรอครับ?”
“...”
#ficTTM
Please comment
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น