[TTM] 12
TWINS & TWINS
MATCH
_______12_______
มาร์คกลับมาถึงห้องพร้อมกับใจอันหนักอึ้ง
สิ่งที่เขาได้รับรู้ทำเอาช็อกความรู้สึกไม่น้อย
โดยเฉพาะเงื่อนงำอันน่าแปลกประหลาดเกี่ยวกับคนในความคุ้มครองของเขา
จริงๆจะว่าเป็นความผิดพลาดของพวกฝ่ายงานทะเบียนก็ไม่น่าแปลกใจขนาดนี้
แถมเรื่องนี้ยังมีพวกเบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
...มาร์ครู้สึกว่าตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่มากๆเข้าแล้ว…
หรือว่าเขาคิดผิดกันแน่เรื่องเปลี่ยนสายงาน
ทำงานตำแหน่งเดิมก็ดีแล้วแท้ๆ ถึงจะน่าเบื่อไปหน่อยก็เถอะ... นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจ คิดพลางหอบหิ้วถุงของสดและของใช้ในบ้าน
(รวมถึงของที่เจสันงองแงจะเอา) ออกจากหลังรถ
เหลียวมองซ้ายขวาก็แอบเห็นคนแปลกๆสองสามคนแต่คุ้นหน้าคุ้นตากระจายตัวอยู่แถวด้านหน้าตึก
พวกตำรวจนอกเครื่องแบบ...มาร์ครู้จักทุกคน
แต่ไม่ได้สนใจ เพราะกลัวว่าหากมีพวกผู้ร้ายแฝงตัวแถวนี้จะจับสังเกตพฤติกรรมเขาได้
ทางที่ดีไม่ควรจะเสี่ยง รีบหอบของทั้งหมดแล้วเดินขึ้นตึกไป
รู้สึกอุ่นใจแต่ก็ทำให้กังวลไปในเวลาเดียวกัน…เพราะนั่นแสดงว่าคดีของเขาไม่ใช่แค่เรื่องทำลายทรัพย์สินอีกต่อไป
ชายหนุ่มเดินเอื่อยมาถึงหน้าประตู
ไขกุญแจเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นคุณศิลปินสุดติสมายืนจังก้าในสภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด
กอดอกกระดิกเท้ายิกๆอย่างกับพวกภรรยามายืนจับสามีเวลากลับบ้านดึกอย่างไรอย่างนั้น
“อะไร?”
“ผมอยากทำงาน”
มาร์คกลอกตาไปมา
ใช้ถุงดันเจสันเข้าไปในห้องแล้วดันหลังปิดประตูไว้อย่างเดิม ไม่สบตาคนเอาแต่ใจ
เดินหนีเข้าไปเก็บของในครัว ปล่อยให้ร่างสั้นเดินอาดๆตามมาท้าวแขนกับเคาน์เตอร์
ทำหน้าหงุดหงิดอย่างกับไม่ได้ขนมกิน
“เฮ้
ผมบอกว่าอยากทำงาน แค่ถ่ายรูปก็ได้”
“คุณจะถ่ายก็ถ่ายสิครับ
แต่ผมคงให้ออกไปเตร็ดเตร่ทำงานในขณะที่มีพวกรอเป่าหัวคุณป้วนเปี้ยนไปมาด้านนอกนั่นไม่ได้”
“ผมถ่ายของในบ้านนี้จนเบื่อแล้วเถอะ
ไม่มีอะไรน่าถ่ายเลยสักอย่าง”คนผมบลอนด์บ่นงึมงำ กระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์
ฉวยเอาแอปเปิ้ลลูกโตขึ้นมากัด
มาร์คมองดุๆ
“อยากกินก็เอาไปล้างก่อนสิคุณ”
“ม่าย”อีกฝ่ายยานคางตอบ
เคี้ยวกรุบๆไม่สนใจคำเตือน
เจ้าของห้องถอนหายใจอีกครั้ง
พินิจมองเจสันในสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่น...ไม่สิ ก็สภาพหัวยุ่ง
เสื้อผ้ามอมๆแบบนี้ทุกเวลานี่นะ... ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นใต้ศอก หยิบชามใหญ่จากตู้เคาน์เตอร์เหนือศีรษะลงมารองน้ำก๊อก
ระหว่างนั้นก็แยกผักกับผลไม้ออกจากกัน วางผลไม้แช่ไว้
ส่วนผักแค่ใช้มือลูบล้างๆเอาใส่กล่องสุญญากาศไว้เตรียมเข้าตู้เย็น
“แฝดน้องคุณเป็นนายแบบสินะ
ผมเห็นรูปทั้งเมืองเลย”จู่ๆเจสันก็พูดขึ้น มือที่กำลังล้างผักชะงักไป
มาร์คตอบอืมในลำคอ
“งั้นคุณเป็นนายแบบให้ผมหน่อยสิ”ถ้อยคำเอาแต่ใจมาพร้อมกับดวงตากลมเปล่งประกาย
แน่นอนว่าคำตอบของมาร์คคือ...
“ผมไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นหรอกนะ”
“โถ่! คุณ นิดเดียวเอง หน้าตาคุณก็ดี
ทำไมชอบทำหน้าบึ้งหน้าบูดนักนะ”เจสันยังมารบเร้าด้วยดวงตาระยิบระยับนั่นใกล้ๆ
มาร์คเหลือบมองแล้วหันหน้าหนี อยากจะไม่สนใจ แต่ยิ่งทำเป็นไม่สน
อีกคนกยิ่งกระแซะเข้ามาใกล้ ตามตอแยจนเขาใจอ่อน
“ตามใจคุณ
แต่ผมบอกแล้วนะ ว่าผมไม่มีเวลา”
“เย้!”เจสันหัวเราะชูมือขึ้นเหมือนเด็กๆ
เป็นภาพแปลกประหลาดสำหรับมาร์คที่ได้เห็นชายหนุ่มทำท่าเหมือนเด็กแบบนี้
“แล้วนี่ผมต้องทำอะไร”
“ก็แค่ทำไปปกติ”
คำตอบนั้นสร้างรอยยับตรงหัวคิ้วบนใบหน้าหล่อเหลา
ศิลปินหนุ่มเลยอธิบายมากขึ้นอีกนิด “ผมหมายถึง คุณก็ทำอะไรของคุณไป ผมจะตามถ่ายเอง
ก็แค่นั้นแหละ”
“นั่นมันแปลกนะ
ผมนึกว่าจะต้องใส่ชุดเก๊กท่าหล่อๆอะไรซะอีก”พูดพลางวางกล่องผักซ้อนกันพลาง
ยกกองเล็กกว่าให้เจสันช่วยถือไปใส่ตู้เย็นไว้ อีกคนก็ช่วยโดยดี
“นั่นมันการถ่ายแบบ
ผมจะถ่ายรูปไง ไม่ได้ทำงาน แต่ก็ได้แก้เบื่อดี”
“นี่ให้ผมทำเป็นของแก้เบื่อเหรอ”มาร์คเลิกคิ้วบ่นว่าไม่จริงจังนัก
เพราะรู้ดีว่าการอยู่ในห้องทั้งวันมันคงน่าเบื่อสำหรับคนไฮเปอร์จัดอย่างเจสัน
ถ้าพอจะแบ่งเบาได้และไม่ได้เกินไปเขาก็พร้อมจะทำให้อยู่แล้ว
“ก็เบื่อนี่
เอาน่า เดี๋ยวผมมา”เจสันยิ้มร่า แทบจะเป็นรอยยิ้มดีๆครั้งแรกที่มารคได้เห็นตั้งแต่พาเข้ามาอยู่ในห้อง
รอยยิ้มกว้างพร้อมดวงตาระยิบระยับและฟันกระต่าย
รอยยิ้มที่ใครเห็นก็ต้องชะงักมอง...
เจสันไปแล้ว...มาร์คกระพริบตาปริบๆกระตุกยิ้มมุมปาก
แอบคิดว่าเป็นรอยยิ้มที่น่าประทับใจจริงๆ เสียดายว่าเจ้าตัวชอบทำหน้ายุ่งใส่เขามากกว่า
เอาของเก็บใส่ตู้เย็นเสร็จก็บิดกายซ้ายขวา
หยิบผ้ามาเช็ดน้ำจากการล้างผัก สะบัดตากทิ้งไว้ข้างก๊อกน้ำ
มองชุดที่ตัวเองใส่ก็คิดจะไปเปลี่ยนมาใส่ชุดอยู่บ้านธรรมดา
แชะ! เสียงลั่นชัตเตอร์มาพร้อมแสงสว่างวาบจนชายหนุ่มสะดุ้ง
หันไปมองเจสันที่ลดกล้องลงพร้อมหัวเราะแหะๆ
“โอ๊ะ
โทษทีคุณ ผมลืมปิดแฟล็ช”
มาร์คไม่ได้ว่าอะไร
แม้จะคิดว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายจงใจแกล้งก็ตาม
ชายหนุ่มเดินเข้าห้องนอนตัวเองโดยมีเจสันเดินตามมาต้อยๆ
ชายหนุ่มยกมือห้ามพร้อมสีหน้าดุๆก่อนเข้าห้องไปเปลี่ยนชุด
แน่นอนว่าปิดประตูไว้ก่อนแล้ว กันเจสันคิดพิเรนทร์เดินตามมาถ่ายรูปตอนเขาผลัดผ้า
“เน่
ขอเข้าไปถ่ายหน่อยเซ่”เจสันก่อกวนอยู่หน้าห้องพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก
“กวนประสาท”
เจสันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น
ยืนรอจนมาร์คในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงสามส่วนสีดำเดินออกมา
ตากลมมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ชุดคุณเห่ยชะมัด”
“ไม่แตกต่างนะ”มาร์คเอ่ยพลางยักไหล่นิดๆ
หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับเจสันแทบจะ 24 ชั่วโมง เขาก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว
เจสันหัวเราะหึ
ยกกล้องขึ้นมาถ่ายไปอีก 1 ช็อตแบบไม่ให้ตั้งตัว กดรูปรูปแล้วผิวปาก
“ภาพนี้หน้าตลกชะมัด”
“จะดีมากถ้าลบออกให้”มาร์คว่า
แต่ถ้าไม่ลบก็ไม่เป็นไร เขาไม่มีอะไรให้เสียภาพลักษณ์เหมือนแฝดน้องอยู่แล้ว...
เดินผ่านคนตัวเตี้ยกว่าไปหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา
หนังสือส่วนมากในห้องเขาเป็นหนังสือปรัชญา ไม่ก็หนังสือนวนิยายสอบสวน
และมีไม่มากนักเพราะเวลาส่วนใหญ่เขามักจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มากกว่า แต่นานๆครั้งกลับมาอ่านมันก็ดีเหมือนกัน
เจสันยังเดินตามมาถ่ายเขาเรื่อยๆ
ยอมรับว่าเกร็งแหละ
มีคนมายองๆยั้งๆเดินวนไปมาหามุมถ่ายภาพรอบตัวแบบนี้ใครจะไม่เครียดบ้าง
“รีแล็กหน่อยคุณ
หน้าคุณเกร็งหมดแล้ว”
“ช่างผมเถอะน่า”มาร์คตอบกลับหน้าเห่อร้อนด้วยความอาย
“ผมไม่ใช่นายแบบสักหน่อย”
เดินหนีอีกฝ่ายไปนั่งอ่านหนังสือบนโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ หยิบรีโมทกดเปิด
การอ่านหนังสืออาจจะช่วยดึงความสนใจจากเสียงชัตเตอร์และช่างกล้องที่ทำท่ายุกยิกไปมารอบๆกายได้
ในตอนแรกๆก็ช่วยไม่ได้นัก
แต่พอถึงบทชวนน่าติดตามชายหนุ่มก็ให้สมาธิกับหนังสือจนลืมสิ่งรอบกายไปและเปลี่ยนท่าทางโดยไม่รู้ตัว
เจสันมองมาร์คจากหลังกล้องตัวโปรดอยู่ตลอด
เห็นตอนชายหนุ่มคลายสีหน้าเกร็งเครียดมาเป็นสงบและเงียบขรึม
ดวงตาสวยจดจ้องตัวอักษรในหนังสือเล่มเล็กในมือ เอนร่างพิงโซฟา สลับขานั่งไขว่ห้าง
ท่าทางอ่านหนังสือสบายๆแต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างพวยพุ่งจนช่างกล้องรัวนิ้วเก็บภาพแทบนิ้วพัง
...มีเสน่ห์จนละสายตาไม่ได้...
เจสันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องชายฝาแฝดของชายหนุ่มคนนี้ถึงได้เป็นนายแบบชื่อดัง
เพราะขนาดพี่ชายที่ไม่คิดจะโลดแล่นในวงการนั้น ใส่แค่ชุดปอนๆเห่ย
นั่งอ่านหนังสือน่าเบื่อๆเล่มหนึ่ง ไม่ได้เก๊ก ไม่ได้แสดงสีหน้ามากมาย
แต่ภาพที่ถ่ายออกมานั้นช่างมีเสน่ห์และให้ออร่าจนยากจะละสายตาได้จริงๆ
…ก็ไม่เลวแฮะ คนๆนี้...
แรงยุบจากโซฟาข้างตัวเรียกให้ชายหนุ่มกลับมาสนใจเจสันที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอีกครั้ง
คนอายุน้อยกว่ายิ้มแย้มขณะมองกล้อง กดนิ้วดูภาพต่างๆทีละภาพๆ
ท่าทางจะพออกพอใจมากจนร้องเพลงฮึมฮัมในลำคอ จนมาร์คอดแปลกใจไม่ได้
“ไม่ถ่ายต่อแล้วเหรอคุณ”
“ไม่ล่ะ
เวลาได้ภาพดีๆก็ต้องมาชื่นชมมันสิ จริงไหม”อีกคนตอบ พลางยื่นกล้องมาให้เขาดู
ภาพตัวอย่างบนหน้าจอเล็กนั่นทำเอานายแบบจำเป็นแอบหน้าร้อนขึ้นมานิดๆและแอบคิดในใจว่าตัวเองจริงๆน่ะเหรอ?
ไม่ใช่มาร์คัสใส่วิกปลอมตัวมาหรอกนะ
“หล่อมากเลยล่ะ
คุณน่ะ”
ฉ่า!
เอาล่ะ...มาร์คไม่คิดว่าตัวเองจะหน้าแดงเพราะโดนผู้ชายด้วยกันชมแบบนี้
แต่พอเห็นเจสันชมทั้งรอยยิ้มจริงใจแบบนั้นมันก็เขินจนกลั้นไม่ไหว
เบี่ยงหน้าหนีทั้งเอาหนังสือมาปิด
เขาว่าเขาอาจจะแพ้รอยยิ้มนั่นนิดๆล่ะนะ
เสียดายว่าเจสันไม่ได้มองเห็นอาการนั้นเพราะเอาแต่ก้มมองภาพในกล้อง
พอเลือกภาพเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องได้มีโอกาสให้มาร์คได้ปรับสีหน้าตัวเองและกลับมาอ่านหนังสือต่อ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
เจสันก็เดินออกมาอีกครั้งพร้อมภาพถ่ายใบเล็กๆหลายใบและกล่องสีใสทรงลูกบาศก์ที่ภายในอัดแน่นด้วยภาพถ่าย
นั่งขัดสมาธิตรงพื้นหน้าโซฟา วางภาพเหล่านั้นลงบนพื้นพรม เปิดกล่องออก “ผมขอทำห้องรกหน่อยนะ
แล้วผมจะรีบเก็บ”
มาร์คละความสนใจจากหนังสือมามองภาพบนพื้น
แต่ละภาพยกเว้นภาพตัวเขา ก็มีรูปบุคคลอีกหลายรูป มีรูปแจ็คสันด้วย
รูปเซลฟี่ตามสถานที่ต่างๆก็ยังมี บางส่วนเป็นสัตว์ตามท้องถนน
แต่ส่วนมากเป็นรูปวิวเสียส่วนมาก แต่เหนืออื่นใดรูปทั้งหมดน่าจะถ่ายเล่น
ไม่ได้ถ่ายจริงจัง
“คุณชอบถ่ายรูปเหรอ”
“แน่ล่ะคุณ
ถามอะไรน่ะ ผมเป็นศิลปินนะ”
มาร์คนิ่งไป
ก็จริง...นี่เขาถามอะไรออกไปกันนะ “คุณชอบถ่ายอะไรที่สุด”
“วิวล่ะมั้ง...วิวทิวทัศน์จากที่ต่างๆ
ผมชอบการท่องเที่ยว เลยชอบเก็บความทรงจำด้วยวิธีนี้
และสถานที่ต่างๆมันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคนบอกว่ามันน่าเบื่อเพราะตึกก็คือตึก
แต่ผมว่ามันน่าท้าทายออกนะที่จะถ่ายที่เดิมๆออกมาได้สวยและน่าดู”
“อืม...”มาร์คพยักหน้า
“แล้วพวกงานวาดภาพล่ะ”
“นั่นก็งาน...ผมชอบเหมือนกัน
ผมก็ทำทุกอย่างที่ขายได้นั่นแหละ ผมไม่เลือกงานหรอก
แต่ส่วนมากผมก็ได้จากงานถ่ายภาพนั่นแหละ
เพราะงานวาดอะไรแบบนี้มันเข้าถึงคนได้น้อยกว่า
และนานๆถึงจะทำเสร็จ”แจ็คสันบอกทุกอย่าง มันไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอะไร
ถึงจะรู้ว่ามาร์คถามเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลสอบสวน
แต่เขาก็ชอบการพูดคุยสบายๆแบบนี้มากกว่าการนั่งเผชิญหน้าสอบปากคำเหมือนที่อีกฝ่ายเมื่อครั้งแรกๆที่เจอหน้ากัน
“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม...เกี่ยวกับอดีตของคุณ”
มือที่กำลังแยะรูปชะงักและสั่นเล็กๆ
เจสันเม้มริมฝีปาก ไม่ยอมสบสายตา มาร์คเห็นอาการนั้นจึงรีบบอก
“ถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร”
“ไม่หรอก”เสียงแหบเอ่ยเบาๆ
“ผม...เล่าไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่ผมเล่าไม่ได้”
มาร์คงงกับคำพูดนั้นจนกระทั่งเจสันหันกลับมามองด้วยดวงตาที่มีแววความสับสนอัดแน่นอยู่ในนั้น
“สมองผมมันสับสนอยู่น่ะ”
“หมายความว่ายังไง”มาร์คลุกขึ้นมานั่งข้างๆเจสันด้วยความสนใจและเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเครียดเกินไป
ตั้งแต่ที่เขาทำอีกคนอาการโฟเบียกำเริบก็เริ่มสนใจอาการของคนในความคุ้มครองมากขึ้น
“พูดอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน...คุณเลยทำงานศิลปะเอาหนังสือพิมพ์มาแปะต่อๆกันไหม?...ความทรงจำของผมก็เหมือนแบบนั้นแหล่ะ
ผมลำดับเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้เหมือนรูปที่โดนตัดปะ มันกระโดดไปมาจนผมเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ใครฟังไม่ได้
เพราะมันไม่เรียบเรียง...แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“แล้วพ่อแม่คุณ
หรือแจ็คสันล่ะ ไม่ได้เล่าอะไรให้คุณฟังเลยเหรอ”
“แจ็คสันไม่รู้อะไรเลย
มันมีช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะแจ็คสันไปเที่ยวกับพ่อแม่ตามแพลนที่จีน
ส่วนผมต้องอยู่เรียนซ่อมภาคซัมเมอร์ที่บ้าน
อยู่กับพี่เลี้ยงคนเก่า--”พอพูดถึงเรื่องนี้เจสันก็หน้าสลดไป “ป้าโจเซฟี...เธอเป็นพี่เลี้ยงพวกผมตั้งแต่เกิด
เสียดายว่าเธอเพิ่งเสียไปเมื่อ 1 ปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง”
“อ่า...เสียใจด้วยนะครับ”มาร์คเอ่ยเบาๆ
เจสันส่ายหน้าและยิ้มบางๆ
“ผมไม่เป็นไร
แค่เสียดายเพราะเธอใจดีมากๆเลยล่ะ ชอบทำขนมให้พวกผมทานกัน
พอเธอเสียก็แอบเสียดายว่าจะไม่ได้ชิมรสขนมหวานฝีมือเธออีกแล้วก็เท่านั้น...อ่า
พูดก็จะร้องไห้แฮะ แต่นั่นแหละ...ผมก็แทบจำหน้าเธอไม่ได้แล้วอ่ะนะ
เพราะที่บอกไป...”
“แล้วนี่ไม่กระทบแย่เหรอ
อย่างเรื่องเรียน...โอ๊ะ ขอโทษนะถ้าผมพูดอะไรที่ไม่ควรไป”
“ไม่ทันแล้วล่ะคุณ”เจสันหัวเราะอย่างไม่คิดมาก
“ก็ด้วย ผมก็เลยไม่เรียนต่อ แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมได้ฝึกเรื่องการถ่ายภาพ
ฝึกงานศิลป์จนใช้ทำงานมาจนถึงวันนี้นี่แหละ”
“ผมขอโทษนะ”มาร์คบอกอีกครั้ง
เขารู้สึกผิดมาก เพราะคิดว่าเผลอเสียมารยาทถามไปหลายอย่างเลย
แต่เจสันกลับส่ายศีรษะ ยิ้มขำๆขณะเก็บรูปทั้งหมดลงกล่อง
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร
มันไม่ใช่เรื่องหนักใจสำหรับผมเลยนะคุณ ผมไม่มีปัญหากับมัน
และทุกวันนี้ผมก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ขนาดนี้ ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกสักหน่อย”
“นั่นสินะ”มาร์คยิ้ม
ทั้งที่ในใจก็รู้ดีว่ามันมีความผิดแปลกที่เจ้าตัวอาจไม่รู้...อย่างน้อยก็ในส่วนที่เขาได้รับรู้ล่ะนะ
เอาเถอะ มานั่งคุยกันแบบนี้ก็ทำให้เข้าใจและรู้เรื่องเจสันมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
ไม่ใช่เพราะตัวรูปคดีแต่เพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขา เพราะจะได้อยู่ด้วยกันอีกนาน
การไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกันและกันมันคงจะผิดแปลกไปหน่อย ถึงชีวิตอีกฝ่ายจะต่างจากเขาชนิดแสงกับเงาก็ตาม
แต่ก็เพราะแตกต่าง...ถึงได้น่าสนใจไม่ใช่เหรอ?
ความวุ่นวายของกองถ่ายงานด้านนอกดูเบาไปเลยเมื่อด้านหน้าแจ็คสันมีร่างเพรียวบางของเจ้าแม่แห่งวงการโมเดลลิ่งเดินฉุยฉายกรีดกรายไปมา
ส้นสูงสีพีชเหมาะกับเรียวขายาว และกระโปรงสีแดงไวน์นั่นก็ช่างเหมาะเจาะจนแจ็คสันอดมองด้วยความหลงใหลไม่ได้
เคทปัดเกลียวผมบลอนด์ของตนไม่ให้เกะกะสายตา หาอะไรบางอย่างในกระเป๋าหนังประดับเพชรแสนหรูหรา
ทุกย่างก้าวทุกการเคลื่อนไหวช่างดึงดูดสายตาจนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอนี่แหละคือผู้ที่เกิดมาเพื่อวงการนี้โดยเฉพาะจริงๆ
“ถึงจะเป็นผู้ชาย แต่การดูแลหน้าตาก็สำคัญ”เคทพูดขึ้นลอยๆในห้องที่มีสองคน
แจ็คสันหันหน้าซ้ายขวา พยายามหาคนที่เคทน่าจะคุยด้วย
“ยิ่งหน้าตาน่ารักๆแบบนี้ยิ่งหายาก
นายต้องรู้จักบำรุงหน้าด้วย”
“คุณเคธพูดกับผมเหรอครับ”
หญิงสาวปรายตามองเขา คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “ในห้องมีอยู่สองคน
ฉันคงไม่ได้พูดกับแมลงในห้องหรอกแจ็คสัน”
“อ่า..ผมขอโทษครับ”
“มั่นใจหน่อย”จู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นอีกแล้ว
แจ็คสันชักจะตามไม่ทัน ตกลงว่าเธอกำลังพูดหรือพยายามจะทำอะไรกันแน่
ดวงตาโตมองเขาเหมือนครูเวลาสอนเด็กนักเรียน “ฉันอยู่วงการนี้มานานมากพอนะ
ถึงแสงของนายไม่ได้เจิดจรัสเท่าเจ้านายแบบเพลบอยด้านนอกนั่น
แต่ก็นับว่ามีเสน่ห์...”
แจ็คสันกระพริบตาปริบ
ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเคทกำลังชมเขาอยู่
มือเรียวยาวประดับเล็บสีแดงไวน์หยิบกรรไกรเงินอันพอดีมือออกมาจากกระเป๋า
แจ็คสันแอบตาโต นึกไม่ถึงว่าพวกผู้หญิงจะพกอะไรแบบนี้ด้วย
“ช่วงนี้เบื่อๆอยู่ด้วย มีแต่พวกนายแบบนางแบบซึมกะทื่อ
อยากเป็นแต่ไร้ซึ่งความพยายามทั้งนั้น...เฮ้อ นี่ฉันบ่นอะไรไปนะ...เอาเป็นว่า
อยากเปลี่ยนลุคดูไหมล่ะ?”
“ผมเหรอครับ”แจ็คสันตาโต
ชี้นิ้วเข้าตัวเองด้วยความไม่อยากเชื่อ
...นี่คุณเคทเลยนะ! คุณเคทคนนั้นเลยนะ!!....
“ไม่ต้องเกรงใจๆ”หญิงสาวโบกมือไปมา
ริมฝีปากฉ่ำอมยิ้มขบขันอย่างมีมาด
กรรไกรเล่มเล็กก็วาววับล้อแสงไฟจนสะกิดใจคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“ก็บอกแล้วว่าฉันว่าง ก็แค่อยากหาอะไรสนุกๆทำ...”
...อย่างการปั่นหัวเจ้านายแบบมาดเยอะอย่างมาร์คัสนั่นไงล่ะ...เคทไม่ได้เกลียดมาร์คัสหรอก
ก็อย่างที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเป็นเพื่อนกัน แต่เพราะด้วยความสนิทกันพอสมควร
เลยอดหมั่นไส้ไม่ได้เวลาเห็นหมอนั่นควงนางแบบในสังกัดตัวเองไปทำเสียเป็นว่าเล่น
เลยอยากจะทั้งแกล้ง
ทั้งลองใจดูว่าจะมีใครหยุดหมอนั่นได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง...แล้วแจ็คสันก็น่ารักด้วย
(นี่คือเจตนาจริงๆของเจ้าหล่อน)
“ใจเย็นๆ อยู่กับท่านเคทคนนี้ นายไม่มีทางไม่เจิดจรัส
เอาล่ะ...มาเริ่มกันเลย”
มาร์คัสสวมชุดสูทเรียบกริบตามคอนเซ็ปงาน
มือเรียวกระชับสูทให้เข้ากับรูปร่าง
เชิดคางขึ้นเล็กน้อยให้สตาฟเติมแป้งหลังจากถ่ายไปแล้วครึ่งแรก สตาฟอีกสองคนประกบตัวเขาช่วยจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้
น้ำหอมกลิ่นเข้มลำลึกที่นายแบบหนุ่มไม่ชอบถูกพรมกับข้อมือและปกเสื้อเป็นตัวช่วยให้เข้าถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น
แต่ยังไงมันก็บิ๊วไม่ขึ้นจริงๆในเมื่อคู่ถ่ายแบบเขาสร้างอารมณ์ได้เกินๆขาดๆจนเขาหมดอารมณ์ไปเอง
ดวงตาสวยเหลือบมองหญิงสาวในชุดราตรีดำยาว
เส้นผมสีเข้มบิดเกลียวเล็กน้อยเข้ากับดวงหน้าสวยคมแปลกตาจากหญิงเอเชียทั่วไป
เธอกำลังคุยกับสตาฟคนหนึ่งหน้าตาเคร่งเครียด
คงรู้ว่าตัวเองทำได้ไม่ดีนักหรือไม่ก็กำลังโกรธเขาในใจ
เพราะดันไปทำหน้าเฉยชาใส่เธอจนผู้กำกับสั่งให้พักกองเพื่อให้เขาไปทำอารมณ์มาใหม่
“ฉันรู้ว่านายกำลังอารมณ์เสียเพราะเธอ
แต่อย่างน้อยใส่หน้ากากสักครั้งก็ได้ นิดนึงก็ยังดี
ไม่งั้นงานฉันล่มแน่”ชายวัยกลางคนแต่งตัวดีผู้เป็นผู้กำกับภาพเดินมาคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูโอเคมากที่สุดแต่ก็แฝงความเคร่งเครียดไว้ในนั้น
มันไม่ใช่ความผิดเขา
ผู้กำกับคนนี้เคยทำงานร่วมกับเขามาหลายครั้ง แน่นอนว่ารู้รูปแบบการทำงานของเขาดี
มาร์คัสเป็นนายแบบที่ดี ในวงเล็บใหญ่ๆว่าถ้ามีสิ่งกระตุ้นดีพอ
แต่ถ้าสิ่งกระตุ้นนั้นมันพาลให้หมดอารมณ์อย่างหญิงสาวนางแบบในวันนี้
มันก็จะมีผลลัพธ์คือใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อย่างตอนนี้
ดวงตาสื่ออารมณ์ไม่ได้ ไร้ประกายตาเจิดจ้า รอยยิ้มฝืดเฝื่อน
ไม่ดึงดูดสายตา แถมไม่รู้งาน
...เสียดายหน้าสวยๆนั่นชะมัด...นายแบบหนุ่มคิดในใจ
เขาไม่ได้เป็นคนดีและไม่ใช่สุภาพบุรุษ
ดังนั้นถ้าใครจะด่าเขาเพราะเรื่องนินทาผู้หญิงก็ตามใจ ในเมื่อมันเป็นความจริง
ถึงจะมีหน้าสวยโดดเด่นขนาดไหน ถ้ารับคำวิจารณ์ไม่ได้ก็คงอยู่ในวงการนี้ได้ไม่ยืด
ทั้งเล่ห์ทั้งเหลี่ยมทั้งคม ใครไม่ทันคนก็คงได้โดนเสียบจนพรุนและตายไปตามวิถีงาน
“อ้าว ทำไมได้หยุดแล้วล่ะ?
มีปัญหาเหรอ”เสียงคุ้นเคยเอ่ยมาจากด้านหลัง เคทโผล่มาแล้วหลังจากหายไปกับแจ็คสันไปนาน
“นิดหน่อย”มาร์คัสตอบเสียงำงัมเพราะต้องหลับตาเติมแป้งให้เสร็จ
“เพราะนายหรือเพราะเด็กฉันล่ะ”เสียงของหญิงสาวเลื่อนมาอยู่ข้างๆเขา
“เพราะเด็กเธอ”
“แหม่...จ๊ะ
พ่อนายแบบมืออาชีพ”เสียงติดหยันๆปนหมั่นไส้เอ่ยยียวน
มาร์คัสลืมตาหลังสตาฟบอกว่าเสร็จแล้ว กำลังจะหันไปตอบโต้
แต่ทันใดที่สายตามองเห็นคนข้างหลังเคท ความสนใจเขาก็ถูกเด็กคนนั้นดึงดูดไปในทันที
ไม่ใช่แบบหลงใหล ไม่ใช่แบบตกตะลึง
แค่แปลกใจในความเปลี่ยนไปที่ดีขึ้น...
“นั่นเธอตัดผมเขาด้วยเหรอ”
“แน่นอนสิยะ จะเปลี่ยนลุคนี่นา แค่นิดหน่อยน่ะ เป็นไง
ดูดีไหม”
“ก็...โอเค”มาร์คัสพูดตามที่เห็น
ดูดีขึ้นจากที่พอใช้ได้อยู่แล้ว ก็ตามคาด ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
เส้นผมยาวระต้นคอถูกเล็มตัดเหลือเพียงติ่งหู
ทำให้เห็นต้นคอขาวและกรอบหน้าน่ารักได้อย่างชัดเจน
ดวงตากลมโตกรีดอายไลน์เนอร์เส้นบางดึงเสน่ห์ของดวงตานั้นให้เปล่งประกายยากจะละสายตา
ริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปมันสีส้มชมพูไม่ให้ดูโดดเด่นเกินไปนักยิ่งขับให้แจ็คสันดูดีไปอีก
และที่ทำให้เขาแปลกใจก็คงจะเป็นใบหูเรียวด้านซ้ายที่ปรากฏจิวเหล็กสีดำ
“ต่างหู?”
“อ้อ ฉันไม่ได้เจาะให้เขาหรอกนะ เขาเจาะมาก่อนแล้วน่ะ”เคทบอกราวกับอ่านใจชายหนุ่มได้
ถึงจะไม่ได้คาดหวังให้มาร์คัสตกใจมากก็เถอะ
พอเห็นชายหนุ่มสังเกตรายละเอียดของแจ็คสันมากขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่าผลงานของตัวเองก็ใช่ย่อยเลย
มาร์คัสพยักหน้านิดหน่อย
เงียบไปสักครู่ราวกับคิดอะไรบางอย่าง “เดี๋ยวมา”เอ่ยเบาๆกับเคทแล้วเดินไปหาผู้กำกับที่กำลังคุยกับตากล้อง
“คุณอัลเฟรด ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
ผู้กำกับเลิกคิ้วแปลกใจกับท่าทีของนายแบบหนุ่มที่เหมือนมีอะไรต้องการนักหนา
“มีอะไรล่ะ?”
แจ็คสันปัดเศษผมบนไหล่ตัวเองออกเล็กน้อย
ก้มหน้าก้มตารู้สึกเก้อเขินกับบรรดาสายตาของคนในกองที่หันมามองเขาเป็นระยะๆด้วยความแปลกใจ
อันที่จริงๆเคทไม่ได้เปลี่ยนอะไรเขามากนัก ก็แค่ตัดผมแล้วก็แต่งหน้าให้เล็กๆน้อยๆ
ถึงอย่างนั้นภาพลักษณ์เขาก็ดูเปลี่ยนไปพอสมควรเลย นี่สินะ
อิทธิพลของทรงผมและการแต่งหน้า...
หันไปหันมา ก็เจอมาร์คัสกำลังยืนคุยกับผู้กำกับท่าทางจริงจัง
...พี่มาร์คัสอย่างหล่อ ตื่นเต้นชะมัด
ได้เห็นการถ่ายแบบใกล้ๆแบบนี้ เหมือนฝันไปเลย...
ยืนมองยิ้มๆไม่พยายามทำตัวเกะกะวุ่นวายในกองอย่างที่มาร์คัสเตือนไว้
แต่ยืนไปยืนมาก็แอบรู้สึกแปลกๆเพราะทั้งผู้กำกับและตากล้องหันมามองเขาเขม็งจนได้หลบตาด้วยความประหม่า
...มองอะไรกันนะ จะจับผมโยนออกไปด้านนอกหรือเปล่า?
คิดว่ายืนอยู่เฉยๆแล้วนี่นา...คิดไปก็เผลอขมวดคิ้ว ทำปากยู่จนแทบจะติดจมูกอยู่แล้ว
ไม่ได้รู้หรอกว่าที่ทำหน้าแบบนั้นไปมันอยู่ในสายตาคนที่หันมามองพอดิบพอดี
ทำเอามาร์คัสหลุดขำจนคนรอบข้างหันมามองราวกับเจอของแปลก
“แจ็คสันที่มากับมาร์คัสใช่ไหมคะ? ผู้กำกับเรียกนะคะน้อง
ตามพี่มาเลย”จู่ๆพี่สตาฟคนหนึ่งก็เดินมาเรียกด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจ
แจ็คสันก็เดินตามไปงงๆ พอเจอกับผู้กำกับก็รีบทักทายด้วยความนอบน้อม
“แจ็คสันสินะ
ผมอัลเฟรด”อัลเฟรดยิ้มมีมาดหน่อยๆแต่ก็ยังเป็นมิตรพอให้อุ่นใจว่าจะไม่โดนเตะก้นโด่งออกนอกสตูฯ
“ครับ แจ็คสันครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“จะเอาแน่เหรอ
มาร์คัส”อัลเฟรดหันไปหาคนรีเควสที่พยักหน้ายิ้มๆ พอเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจพรูใหญ่
เหลือบกลับมามองเด็กหนุ่มท่าทางกะโปโลทำหน้าเอ๋อๆแล้วก็แอบเครียดเหมือนกัน
สุดท้ายเมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียเลย
หันไปสั่งสตาฟคนหนึ่งให้พานางแบบไปพักในห้องแต่งตัวก่อนเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกไม่ดี
ถึงการที่จะทำอะไรต่อไปนี้จะเป็นการหักหน้าเธอหน่อยๆก็เถอะ
“ลองดู ถ้าผ่านไปสองฉากแล้วไม่ได้
ค่อยกลับไปถ่ายกับนางแบบต่อ”พอสั่งงานเสร็จ
แจ็คสันผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็โดนสตาฟสามถึงสี่คนรุมทึ้ง
เสื้อนอกธรรมดาถูกบังคับถอดออกและสวมเสื้อสีขาวเข้าแทนที่
ได้ยินตากล้องพึมพำว่าจะได้ตัดต่อง่ายๆ
ไม่ทันจะได้ถามอะไรก็โดนพรมน้ำหอมกลิ่นฉุนไม่คุ้นจมูกไปทั่วตัว
ละอองคลุ้งจนแจ็คสันไอค่อกแค่ก
แอบเห็นดวงตาดุปลาบจากเคทไกลๆก็รีบฮึบไม่ยอมหายใจครู่หนึ่ง
“เข้าฉากๆ ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมนะ”อัลเฟรดตะโกนสั่ง
ทีมงานทุกคนเริ่มทำงานกันอย่างเป็นระบบและมืออาชีพ
แจ็คสันมองด้วยความชื่นชมครู่หนึ่งก็โดนมือเรียวของมาร์คัสฉุดให้เดินเข้าไปในฉาก
เขาขืนมือไม่ยอมเดินตามไปเพราะนี่ก็จะถ่ายงานแล้ว จะให้เขาเข้าไปตรงนั้นทำไม
เดี๋ยวก็ได้โดนดุ แต่กลายเป็นมาร์คัสที่หันมามองดุๆแทน
“ตามมานี่ ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”
...เอาแต่ใจสม่ำเสมอจริงๆเลย...แจ็คสันคิดในใจ
เลิกขืนมือและเดินตามชายหนุ่มไปยืนกลางฉากที่เซทไว้เป็นระเบียงยื่นออกจากประตูลายวิจิตร
น่าจะคอนเซ็ปคล้ายๆงานเลี้ยงไฮโซสินะ..คิดอะไรเพลินๆก็ต้องสะดุ้งตกใจตาเบิกกว้าง
ยันมือกับหน้าอกของคนี่จู่ๆก็คว้าเอวเขาเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดียวกันกับอีกคน
“นิ่งๆ เงยหน้าขึ้นมา”
“พี่มาร์คัสครับ”
“เงยหน้า มองตาฉัน”เสียงดุเอ่ยขึ้นบังคับให้แจ็คสันเงยหน้า
ประจันกับใบหน้าและดวงตาทรงเสน่ห์ที่จ้องมองมาโดยตรง จนอวัยวะในอกเต้นตุบตับเสียงดัง
ยิ่งใกล้กันขนาดนี้แจ็คสันมั่นใจว่ามาร์คัสต้องได้ยินแน่ๆ
แล้วก็จริงๆเมื่อริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบางๆออกมา
“แบบนั้นครับ นิ่งๆนะครับ”ตากล้องตะโกนมา
ทำให้แจ็คสันรู้ตัวสักทีว่าตัวเองกำลังโดนจับถ่ายรูปคู่กับมาร์คัส
พอรู้แบบนั้นยิ่งตื่นเต้นจนตัวสั่น หายใจไม่คล่องคอขึ้นมาทันใด
“อย่าขยับ นิ่งๆ”มาร์คัสกระซิบดุ
แจ็คสันเลยสตาฟตัวเองเป็นรูปปั้น แทบไม่หายใจจนชายหนุ่มอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของตนนั้นกำลังทอดมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนเพียงใด
เสียงชัทเตอร์ลั่นรัวพร้อมๆกับลมหายใจของทีมงานบางคนที่กลั้นลุ้นๆ
ผ่านมาตั้งหลายงาน ก็เพิ่งเห็นมาร์คัสมีสายตาสื่ออารมณ์อ่อนโยนแบบนี้เป็นครั้งแรก
ปกติจะเร่าร้อน ดุดัน มาดเย็นชาอะไรเทือกแบบนั้นเสียมากกว่า
แจ็คสันมองหน้ามาร์คัสนานๆแล้วรู้สึกใจจะขาด ทั้งกดดัน
ตื่นเต้น เขิน ทำตัวไม่ถูกไปหมด ยิ่งสัมผัสบนเอวรั้งเขาไม่ให้ขยับไปไหนแบบนี้
ร่างกายที่แนบชิดแบบนี้ มันทำให้เขานึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อนอย่างช่วยไม่ได้...
“โอเค ดีเลย พอแล้วครับ ขอบคุณแจ็คสันมาก
มาร์คัสทำดีขึ้นเยอะ”ตากล้องแซวทั้งสองคนที่จ้องตากันนิ่งกลางฉากให้ผละออกจากกันทีนทีที่ได้ยินสัญญาณ
อัลเฟรดก็ยิ้มกว้างขึ้น รู้สึกพอใจกับสายตาและอารมณ์ที่มาร์คัสถ่ายทอดออกมา
ส่วนเคทนั้นยืนกอดอกกลั้นยิ้มจนหน้าแดง ดวงตาของหญิงสาวดูอารมณ์ดีเอาเสียมากๆ
“เพราะผมเก่งหรอก”มารคัสยิ้มมุมปากได้น่าหมั่นไส้
หยอกล้อกับทีมงานได้อย่างปกติทั้งที่ตอนถ่ายไปครึ่งแรกแทบจะไม่มีใครเข้าหน้าชายหนุ่มติดเลย
“ไปรอกับเคทไป
เดี๋ยวจะพากลับบ้าน”หันมาบอกคนในปกครองที่รีบพยักหน้าหงึกหงัก หน้ายังแดง
ตายังลอยๆเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
...เขา...ได้ถ่ายแบบคู่กับพี่มาร์คัส...จริงๆเหรอ...ไม่ได้ฝัน...ใช่ไหม?...ขนาดความคิดก็ยังขาดๆตอนๆ
ตอนนี้แจ็คสันไร้สติแบบจริงๆจังๆ เดินออกมาท่าทางลอยๆจนเคทต้องรั้งข้อมือเขาเอาไว้
ลากไปนั่งโซฟา เอานิตยสารมาพัดหน้าเขาอย่างหยอกล้อ
“ไม่เสียแรงๆ พักก่อนๆ
ฉันรู้ว่านายใกล้เป็นลมแล้วล่ะ”หญิงสาวเอ่ยแค่นั้นแล้วก็ผละไปดูแลนางแบบสาวในสังกัดที่โดนเรียกกลับมาให้ถ่ายซ่อมเอาท่าทาง
สิ่งที่มาร์คัสขอให้อัลเฟรดทำคือการตัดต่อ...
ถ่ายกับแจ็คสันเพื่อดึงสายตาของชายหนุ่มออกมาให้เข้าคอนเซ็ปแล้วถึงตัดต่อเอานางแบบสาวมาแทนที่
เพราะอย่างไรเสียก็เอาแค่มุมด้านหลัง
ไม่ได้ตั้งใจจะเอาสีหน้าและสายตาของนางแบบตั้งแต่แรก อัลเฟรดค่อนข้างเชื่อใจในทีมตัดต่อ
แต่ก็กังขาอยู่ดีว่าทำไมถึงต้องเป็นแจ็คสัน
พอได้มาถ่ายจริงๆถึงได้รู้ว่าคนบางคนก็ต้องใช้ตัวกระตุ้นเฉพาะจริงๆ...ถึงจะไม่อยากจะเชื่อว่ารสนิยมของนายแบบชื่อดังจะหันมากินเพศเดียวกันเองก็ตาม..แต่อ้อ
นั่นมาร์คัสนี่นะ จะเป็นผู้ชายก็ไม่แปลกหรอก...
ถ่ายซ่อมไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จสิ้นทุกกระบวนความ
แจ็คสันดื่มน้ำและขนมไปเยอะเพื่อระงับความตื่นเต้น
ร้อนต้องลุกเข้าห้องน้ำไปหลายต่อหลายครั้ง มาร์คัสเข้าไปเปลี่ยนชุด
ล้างเครื่องสำอางออก ออกมายืนอยู่หน้าแจ็คสันที่กระเด้งตัวขึ้นยืนอย่างกับพวกทหาร
“ยังไม่หายเขินอีกหรือไง”
“ผมไม่ได้เขิน....”
“หึ”มาร์คัสหัวเราะในลำคอ
หลิ่วตาเดินนำหน้าคนอายุน้อยกว่าไปที่รถ
แจ็คสันรู้หน้าที่ก็รีบเข้าไปนั่งข้างคนขับ
ใส่สายคาดนิรภัยรอเจ้าของรถจัดของนู่นนั่นนี่หลังรถให้เสร็จเรียบร้อย
กว่าพวกเขาจะได้ออกมาจากตึกก็ล่วงเลยจนฟ้าค่ำ
มาร์คัสโทรหาแจบอมบอกว่าวันนี้จะไม่เข้าไปที่ร้านเพราะเพลียจากการทำงาน
ส่วนแจ็คสันก็นั่งนิ่งๆมองนู่นนั่นนี่นอกรถอย่างคนไม่มีอะไรทำ “ฉันจะแวะซุปเปอร์ฯ
จะเอาอะไร”
“อ่ะ ไม่เอาครับ”
มาร์คัสพยักหน้านิ่งๆ จอดรถหน้าซุปเปอร์ฯเล็กๆ
ไม่นานก็เดินออกมาโยนถุงให้แจ็คสันเป็นคนถือ ก้มหน้ามองก็เห็นเบียร์และกับแกล้มอีกนิดหน่อย
“กินเป็นไหม”
“นิดหน่อยครับ”แจ็คสันพูดตามจริง อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย
โดนเพื่อนลากไปดื่มบ้างตามประสาเด็กมหาวิทยาลัย
แต่ก็ไม่ได้ติดหรือคอแข็งอะไรขนาดนั้น
ทั้งสองเข้าสู่โลกส่วนตัวของตัวเองอีกครั้งจนกระทั่งถึงคอนโดหรู
มาร์คัสแยกไปเปลี่ยนชุดในขณะที่แจ็คสันค้นของในถุงมาเตรียมไว้ให้ด้วยความเคยชิน
นิ้วเล็กค้นไปค้นมาก็ต้องชะงักเมื่อในถุงมีอะไรแปลกปลอมจากเบียร์และกับแกล้ม
เขาไม่ได้สังเกตจนกระทั่งค้นมาจนถึงก้นถุง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร
ถึงจะไม่ได้แปลกใจแต่ก็อดกลัวไม่ได้...กลัวว่าจะเป็นอย่างที่ตนคิด...กลัวว่าตัวเองจะไม่เข้มแข็งพอ
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
รู้สติอีกทีตอนโซฟาข้างตัวยุบลงพร้อมเสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังคลิ๊ก
มาร์คัสกระดกเบียร์อึกใหญ่ราวกับดื่มน้ำเปล่า พ่นลมหายใจอย่างผ่อนคลาย
ทั้งตัวสวมแค่กางเกงยีนตัวเดิมเปลือยท่อนบนไม่อายสายตาคนร่วมอาศัยทีหน้าแดงก่ำ
ก้มหน้างุดๆอยู่ข้างๆ
“กินสิ จะรอให้มันระเหยจากกระป๋องรึไง”
“อ่า ครับๆ”แจ็คสันตอบรับ หยิบเบียร์ขึ้นมาเปิดดื่ม
สายตาจับจ้องโทรทัศน์เหมือนน่าสนใจนักหนา
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องกว้างใหญ่อีกครั้ง ต่างคนต่างดื่มไม่มีท่าทีว่าใครจะเปิดบทสนทนาอะไรขึ้นมา
แจ็คสันเดาความคิดมาร์คัสไม่ออก
ใจจริงก็อยากถามเกี่ยวกับสิ่งที่เจอในถุงและเรื่องวันนี้ แต่ก็กลัวคำตอบเหลือเกิน
นั่งดื่มทำอารมณ์ไปจนเกือบเที่ยงคืน
แจ็คสันเริ่มกรึ่มๆยังไม่เมาแต่ก็กล้าพอสมควร ผิดกับมาร์คัสที่ยังสติครบถ้วน
มือเรียวหยิบกับแกล้มเข้าปาก
เหล่มองคนอายุน้อยข้างตัวที่ตอนนี้เลื้อยไปกับพนักโซฟาไปแล้ว
แถมเอาแต่จ้องเขาอีกต่างหาก
“พี่มาร์คัส”น้ำเสียงยานๆบ่งบอกแอลกฮอล์ในเส้นเลือดเอ่ยขึ้นหลังจากช
1 ชั่วโมงแห่งความเงียบผ่านไป “ทำไมพี่ซื้อถุงยางมาล่ะครับ”
...กล้าถามดีนี่...ชายหนุ่มคิดในใจ
หันไปมองคนอายุน้อยกว่าตรงๆ
“นายคิดว่ายังไงล่ะ”
“...กับผมเหรอ”อีกครั้งที่แจ็คสันทำให้มาร์คัสแปลกใจ
พอเมาแล้วกล้าขนาดนี้เลยเหรอ?
ชายหนุ่มไม่ตอบทันที
กระดกเบียร์ต่อไปราวกับไม่ได้ยินคำถามนั้น แจ็คสันรอคำตอบจนอดทนรนไม่ไหวก็ลุกขึ้น
แย่งกระป๋องออกจากมือเรียว แม้ดวงตาสวยจะดุปลาบแต่แจ็คสันตอนนี้ใจกล้ามากกว่านั้น
“ทำไมพี่ไม่ตอบผม”
“แจ็คสัน”
“ครับ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
แย่งเบียร์กระป๋องนั้นกลับมาดื่มอึกเดียวจนหมด กระแทกกระป๋องเปล่าลงบนโต๊ะกระจก
หยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ ยิ่งทำให้ห้องที่เงียบ เงียบขึ้นไปอีก หันไปสบกับดวงตาเยิ้มด้วยเบียร์กระป๋องอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่...ตามที่นายคิด ฉันอยากทำกับนาย”
“ถ้าผมไม่ให้”
“ฉันจะบังคับนาย”
แจ็คสันนิ่งไป ดวงตากลมนั้นสั่นไหว ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น
“...พี่ใจร้ายมาก รู้ตัวรึเปล่า”
มาร์คัสผลักแจ็คสันลงกับโซฟาตัวใหญ่ ขึ้นคร่อมกลางร่าง
ตอบคำถามก่อนหน้าด้วยดวงตาไร้ความรู้สึก “รู้...ฉันรู้”
...ฉันใจร้าย ฉันรู้ตัวดี...
เสื้อผ้าของแจ็คสันถูกปลดออกชิ้นแล้วชิ้นเล่าโดยไม่มีอาการต่อต้านจากเจ้าตัว
ใบหน้าน่ารักหันไปมองจอโทรทัศน์ที่สะท้อนเค้าร่างของพวกเขาไม่ต่างกับกระจก
ชายหนุ่มยันกางเกงยีนตัวหนาออกจากเรียวขาขาว
มองร่างที่เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตค้างอยู่บนไหล่ รูปร่างของแจ็คสันไม่ได้ผอมบาง
ทั้งยังสมชายชาตรีทั่วไป
มาร์คัสแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่ดันเกิดอารมณ์กับคนๆนี้จนหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
ถึงจะหาเหตุผลไม่ได้ แต่อยากก็คืออยากและเสือ ก็ยังเป็นเสือ
ชายหนุ่มก้มหน้าละเลียดผิวกายขาวสะอาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กวาดต้อนลูกแกะตัวน้อยให้มีอารมณ์ร่วมกับตน ไล้ปลายจมูกไปทั่วลำคอขาว
เลาะเล็มเบาๆเป็นการกระตุ้นผิวเนื้อให้ร้อนผ่าว
จมูกโด่งสูดกลิ่นน้ำหอมจากงานวันนี้เข้าเต็มปอด
มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับตัวเขาในตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าพวกเรากำลังจะเป็นคนๆเดียวกันจริงๆ
ลมหายใจของคนด้านล่างเริ่มถี่กระชั้น เรียกรอยยิ้มมุมปากจากคนเอาแต่ใจ
มือเรียวลูบไล้สัมผัสหน้าอกนิ่มและสะโพกกลมกลึง
แม้จะไม่เนียนนุ่มนิ่มเหมือนเนื้อสาวๆที่เคยผ่านมา
แต่เนื้อแน่นๆนี่ก็ช่างเหมาะมือไปอีกแบบ
“อือ”แจ็คสันร้องในลำคอประท้วง
นิ่วหน้าเจ็บเนื้อที่โดนมือเรียวบีบจับอย่างไม่เบาแรง
แต่พอมาร์คัสเงยหน้าก็รีบหลบสายตา กัดปากไว้ไม่ให้เผลอร้องอะไรแปลกๆออกมา
แอลกอฮอล์ในร่างกายบวกกับการกระตุ้นจากคนด้านบน ทำให้แจ็คสันเผลอไผล
...อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชาย ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว...
มาร์คัสลูบเนื้อเอวที่ตัวเองบีบเมื่อครู่เหมือนการปลอบประโลม
นึกขำที่ตัวเองสติหลุดบีบลงไปเสียเต็มแรง แจ็คสันจะเจ็บก็ไม่แปลกเลย แต่เอาเถอะ
ยังไงมันก็มีอะไรที่เจ็บมากกว่านี้
“อืม”คนตัวขาวส่งเสียงร้อง ยกมือปิดปากตัวเองแน่น
แอ่นหน้าอกตอบรับลิ้นร้อนกำลังเบียดกระหวัดตุ่มไตสีสวย
เอวสอบถูกสวมกอดเหมือนตอนถ่ายแบบ
ผิดแต่คราวนี้มืออีกข้างกลับยุ่งย่ามตรงร่องเนื้อสะโพกด้านหลัง แม้รู้ในเจตนา แต่ก็อดกลัวไม่ได้
“พี่...พี่มาร์คัส ตอนนั้น...ผมเจ็บ”
“อืม”ชายหนุ่มตอบรับเพียงแค่นั้น เขารู้
ถึงได้เตรียมขวดโลชั่นมาเตรียมไว้
น้ำเหนียวๆชโลมรอบปากทางเหลือด้านในที่ต้องเตรียมพร้อม
คราวก่อนเขารีบร้อนสอดเข้าไปเพียงสองนิ้ว เลยทำให้เลือดออก รอบนี้เขามีสติมากกว่า
นิ้วเรียวคืบคลานเข้าช่องทางต้องห้ามอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แรงรึงรัดจากร่างกายขาวมาพร้อมกับอาการเกร็งของตัวแจ็คสันเอง “ใจเย็น...อย่าเกร็ง”
แจ็คสันพยายามทำตามนั้นแต่ก็ผ่อนคลายได้ไม่มากนัก
ความฝืดเฝื่อนในช่องทางด้านล่างทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนไปทั้งตัว
ต้นขากระตุกเกร็งตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ
มาร์คัสก็จับขาเขาอ้าออกกว้าง วางขาด้านหนึ่งพาดบนไหล่แข็ง ดันสะโพกเขางอขึ้น
“พี่มาร์คัส...”
“เงียบก่อน”มาร์คัสเอ่ยดุเสียงอ่อน หยิบเอากล่องสี่เหลี่ยมในถุงออกมาเปิดใช้งาน
รั้งกางเกงตัวเองลงเล็กน้อยพอให้ส่วนนั้นได้ออกมาทำงาน
แจ็คสันมองแล้วก็กลืนน้ำลายดังอึก ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นเคยเข้าไปในร่างเขามาก่อน
เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมสรรพ
ชายหนุ่มก็เคลื่อนตัวเข้าเติมเต็มช่องทางผ่าวร้อน
แจ็คสันเชิดหน้ากลั้นเสียงร้องเจ็บปวด มือเล็กบีบโซฟาแน่นระบายความอึดอัด
แผ่นหลังลอยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ จนเมื่อสุดจะเข้าได้
ฝ่ายรับก็ล้มลงนอนแผ่ไปกับโซฟาตัวใหญ่ดังเดิม
“พร้อมนะ”
ไม่รอคำตอบรับเพลบอยหนุ่มก็เริ่มจังหวะแห่งความใคร่เนิบช้า
บีบนวดสะโพกขาวลามไปจนถึงต้นขาแน่นอย่างหมั่นเขี้ยว
รอให้ผนังเนื้อหยุ่นได้คลายตัวลง จึงค่อยๆไต่ระดับขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
แจ็คสันที่ตอนแรกอึดอัดก็ผ่อนคลายมากขึ้น ครางเสียงแผ่วเป็นระยะ
ลมหายใจร้อนผ่อนกระชั้นตามจังหวะการดึงออกและดันเข้า
ปากทางแม้จะถูกตระเตรียมไว้แล้วแต่ก็ยังบีบรัดอย่างสม่ำเสมอ
ชายหนุ่มซี๊ดปากเสียวกระสัน พอใจกับปฏิกิริยาแสนตรงไปตรงมา
มือเรียวลูบไล้ไปทั่วร่างกายเห่อร้อนแดงก่ำไม่ต่างจากกุ้งอบใกล้สุก
เสียงเนื้อกระทบกันยังไม่น่าอายเท่าเสียงร่างกายที่เสียดไปกับโซฟาหนัง
แจ็คสันเม้มปากร้องอืออา ดวงตากลมกระพริบไล่น้ำตาออกจากปลายตา
หยัดสะโพกขึ้นรับแรงปะทะลดความปวดหน่วยจากการสอดใส่ อ้าปากหายใจหอบ
กลั้นเสียงครางยิ่งทำให้ดูอึดอัด ไม่รู้ว่าการทำแบบนั้นจะเป็นการโหมกระพืออารมณ์เสือหนุ่มให้พวยพุ่ง
กระแทกกระทั้นกายลงมาหนักหน่วงและล้ำลึกเสียจนคนรับบิดร่างกายไปมาด้วยความเสียวกระสัน
สปริงรองรับร่างพวกเขากระเด้งดันสะโพกขาวให้ถลำเข้าหาเอ็นลำเขื่อง
ดีที่น้ำหล่อลื่นที่มาร์คัสทาเคลือบเอาไว้ช่วยลดการกดกระแทก
ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้หฤหรรษ์ไปพร้อมกลิ่นคาวเลือดเหมือนรอบก่อนแน่ๆ
“อ๊า อืมมม”คนอ่อนประสบการณ์บิดร่างผ่อนปรนอารมณ์ในร่างด้วยการเปล่งเสียงครางและจิกนิ้วกับโซฟาตัวหนา
ในขณะที่คนมากประสบการณ์อย่างมาร์คัสเลือกจะระบายอารมณ์ด้วยการสอดแทรกร่างดำดิ่งลึกไปกับกายหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แจ็คสันร้องฮือ อารมณ์ในร่างเต็มปริ่มใกล้ระเบิด
มือเล็กกอบกุมส่วนเต็มตึงของตน รูดรั้งไปพร้อมกับแสงเสียดสีในกาย เชิดหน้าคราง
ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเกมราคะและฤทธิ์แอลกอฮอล์ กลิ่นน้ำหอม
กลิ่นเหงื่อคละคลุ้งแยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใคร
มันผสมปนเปพอๆกับความรู้สึกของเขาที่ผสมกันมั่วจนแยกไม่ออก ระหว่างความตื่นเต้น
ดีใจ เสียใจ โกรธหรือน้อยใจ...
“อื้ม แจ็คสัน”มาร์คัสกัดปากจับขาเพรียวแยกออก
รัวสะโพกเข้าหาช่องทางร้อนรุ่ม ร่างกายขาวโยกคลอนไปตามแรงปะทะ
เนื้อกระทบเนื้อแดงผ่าว เสียงครางร้องสอดประสาน และพวยพุ่งอารมณ์ออกมาพร้อมๆกัน
มาร์คัสหอบหายใจลึก เคลื่อนสะโพกถอนตัวออก ถอดถุงทิ้งส่งๆไปในถุงพลาสติกจากซุปเปอร์ฯ
ทรุดตัวนอนทับร่างขาวที่หายใจหอบไม่แพ้กัน แจ็คสันแหงนหน้าสูดอากาศเข้าเต็มปอด
ทดแทนส่วนที่หายใจไม่ทันจากกิจกรรมเสียเหงื่อเมื่อครู่
จมูกโด่งซุกอยู่ที่ไหล่ขาว กลิ่นน้ำหอมจางลงแล้ว
เหลือเพียงกลิ่นหอมหวนเย็นสบายชวนให้พังพิงเข้าหา...กลิ่นของแจ็คสัน
“พี่...ลุก...หนัก”แจ็คสันพูดเป็นคำๆเพราะเหนื่อย
แถมยังมาโดนคนตัวโตๆทับแบบนี้ยิ่งทำให้หายใจไม่ออก
มาร์คัสส่งเสียงงึมงำบ่นประมาณว่าเหนื่อย พลิกตัวลงนอนกับพื้นข้างโซฟา
สักพักก็ลุกขึ้นเกิดไปหยิบผ้าเช็ดตัวเหวี่ยงมาให้คนอายุน้อยที่ยังนอนแบ๊บอยู่บนโซฟา
ชายหนุ่มหนีไปอาบน้ำแล้ว เหลือแค่แจ็คสันที่นอนหอบหายใจ
ยกแขนทาบลงกับดวงตาและปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างเงียบเชียบ...
มาร์คัสกลับมานั่งบนโซฟาตัวเดิมพร้อมร่างหอมฉุยในชุดเตรียมเข้านอนของแจ็คสันที่เอาแต่กระดกน้ำเปล่า
ตากลมมองโทรทัศน์ราวกับมันน่าสนใจนักหนา หลังเที่ยงคืนแบบนี้มีแต่รายการโฆษณาสินค้า
ดูก็รู้ว่าเปิดเอาไว้หาเรื่องแก้เก้อเท่านั้นเอง
“พรุ่งนี้ต้องเข้ามอไหม”
“อ่า เข้าครับ บ่ายโมง
เสร็จตอนหนึ่งทุ่ม”แจ็คสันตอบทั้งที่ยังไม่มองหน้า
มาร์คัสหงุดหงิดก็จริงแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป
“ฉันจะไปรับ รอที่หน้าคณะ”
“เอ่อ พี่มาร์คัสไม่มีธุระเหรอครับ ผมไปเองก็ได้นะ”
“ฉันบอกจะไปส่งก็ไปส่งสิ”ชายหนุ่มแสร้งทำหงุดหงิดตัดบท
พูดดีๆไม่ชอบ ดันชอบให้เขาเข้าโหมดใจร้ายตลอด “ขี้เกียจโดนมาร์คโทรมาสวด
ไม่แน่ใจว่านั่นแฝดหรือพ่ออีกคน”
“พี่มาร์คัส...ไม่ชอบพี่มาร์คเหรอครับ”แจ็คสันถามกล้าๆกลัวๆ
รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องไม่น่าถาม แต่พอเทียบกับตัวเองแล้ว
เขารู้สึกผูกพันกับเจสันมาก มากเสียจนเรียกว่าเป็นคนเดียวกันก็ยังได้
พวกเราเหมือนกัน รู้ใจกันและมักจะต้องช่วยเหลือกันอยู่ตลอด
ดังนั้นจึงสนิทกันมากกว่าใครในโลก แต่พอมาเห็นคู่มาร์คัสกับมาร์คกลับเป็นอีกแบบ
ดูเหินห่าง...เลยอดสงสัยไม่ได้
“...”มาร์คัสเงียบไปทันที ใบหน้าหล่อนิ่งขรึม
หยิบกระป๋องเบียร์กระป๋องสุดท้ายมาเปิดดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง
แจ็คสันดูโทรทัศน์ต่อเพราะคิดว่าคงไม่ได้คำตอบ
แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อชายหนุ่มเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“ก็ไม่ได้ชอบ...แต่ก็ไม่ได้เกลียด”
“เอ๋?”
มาร์คัสเหวี่ยงกระป๋องไปมาเบาๆ
ดวงตาสวยจับจ้องมันขณะคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ถ้ามาร์คเป็นแสง ฉันก็เป็นเงา...พวกเราก็แค่ขาดกันไม่ได้”
ทิ้งคำตอบนั้นไว้ให้เด็กหนุ่มคิด
แล้วหนีกลับเข้าห้องนอนใหญ่ของตัวเอง แจ็คสันนั่งนิ่งกับคำตอบนั้นสักพัก
ก็ลุกเก็บกวาดห้องให้เจ้าของห้องเหมือนอย่างเคย...
...ถึงจะเป็นคำตอบที่แปลก
แต่แปลกกว่าก็คงเป็นเขาที่ดันเข้าใจ...
แฝดก็คือเงาของกันและกัน
ไม่ใช่แค่เรื่องร่างกายหรือรูปลักษณ์ แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ
ชีวิตที่ต้องมีชะตาให้ผูกพันกันตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาบนโลก
ตั้งแต่ยังไม่มีชื่อ จนกระทั่งจนสิ้นชีวิต
เป็นสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น เป็นพันธะและเป็นหน้าที่ เหมือนจะห่างเหินแต่ยังไรก็ตัดกันไม่ขาด
ไม่ว่าแสงจะทำอะไร เงาย่อมต้องเคลื่อนตาม
ก็เช่นเดียวกับพวกเขา ไม่ว่าแฝดอีกคนจะทำอะไร
ผลกระทบย่อมตามมาเป็นลูกโซ่ต่อกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากจะหาคำอธิบายแล้ว...ก็คงตอบได้แค่ว่า
พวกเขาเป็นแฝด...เท่านั้นเอง
#ficTTM
Please comment
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น