[ตำหนักอี๋เจีย] 08
ตำหนักร้อนบำเรอรัก
08
ลมหนาวเริ่มหอบเอาความเย็นมาแล้ว
ความอบอุ่นที่เคยคลอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดินอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
นับเป็นสัญญาณให้ชาวเมืองเตรียมตัวว่าเทพีแห่งเหมันต์ฤดูกำลังจะเดินทางมา
คนในตำหนักเหลี่ยงหรงก็ไม่ช้าเฉย นางกำนัลรวมทั้งพวกคนใช้ต่างเร่งมือสะสมฟืนไฟไว้ก่อต้านความหนาว
ผ้าห่มหมอนมุ้งถูกขนออกมาจากห้องเก็บปัดฝุ่นเตรียมพร้อม
เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้เหล่านางสนมและเจ้าขุนมูลนายก็เปลี่ยนมาให้หนาและหลายชั้นมากกว่าเดิม
เจียเอ๋อลุกขึ้นจากเตียงเล็กหลังเก่าตั้งแต่เช้า
ยืนยืดเส้นยืนสายให้คลายความเมื่อยล้าและปลุกสติให้แจ่มชัด
สะบัดเสื้อคลุมหนาออกวางไว้ข้างอ่างไม้ขณะหย่อนกายลงแช่น้ำอุ่นๆที่พวกนางกำนัลเตรียมไว้ให้
เปลือกตาสีน้ำนมปรือปิดลง ปากสีสดแย้มยิ้มผ่อนคลาย
มือสางผมยาวสีอีกาของตนไม่ให้ยุ่งเหยิงน่ารำคาญ
สะดุ้งกายเล็กน้อยเพราะเสียงกลอนประตูถูกปลดล็อก
ตากลมกลอกไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
ลุกขึ้นจากอ่างน้ำอุ่นแสนสบายไม่ลืมคลุมเสื้อคลุมตัวเก่าขณะโผล่หน้าออกไปดูผู้มาเยือนยามเช้า
ชายหนุ่มรูปงามเจ้าของตำหนักในชุดแต่งกายแสนทะมัดทะแมงกำลังยืนมองวิวเก่าๆที่หน้าต่างบานเดียวในห้อง
ใบหน้างดงามหีนกลับมาหาเขาราวกับรู้ว่าตนโดนจ้องมอง
“ยังไม่รีบแต่งตัวอีก”
“รู้แล้วๆ”เจียเอ๋อรับคำ
มือขาวผูกเชือกรัดสะเอวลวกๆ ตกใจรีบเงยหน้ารับหอบผ้าที่เคยอยู่บนโต๊ะ
เงยหน้ามองชายหนุ่มที่ยิ้มมุมปากเล็กๆราวกับกำลังสนุกในการกลั่นแกล้งเล็กน้อย
“ชักช้า
มิน่าเจ้าถึงแพ้ข้าอยู่เรื่อย”
“นั่นย่อมไม่เกี่ยวกับเพลงดาบ!”เจียเอ๋อโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
ฮึดฮัดมากยิ่งขึ้นเมื่ออี๋เอินหัวเราะเยอะกลับ
“แล้วเจ้าเคยชนะข้าหรือสนมน้อย”
“สักวันข้าจะต้องเอาดาบจ่อคอท่านให้ได้เลย!”ตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ มือก็รีบแต่งตัวเร่งมือกัดฟันกรอดๆนึกแค้นจนอยากออกไปฟาดเจ้าเมืองแสนกวนประสาทด้านนอกนั้นให้น่วม
แต่ก็เหมือนจะทำได้แค่คิด ในเมื่อประลองดาบกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ไม่ดาบเขาหลุดมือก็โดนอีกฝ่ายหยุดได้ทุกครั้งไป
...อี๋เอินเก่งเกินไป
เก่งราวกับไม่ใช่คน...
ตั้งแต่วันนั้นที่อี๋เป่าขลุ่ยกับเขาจนได้รับรู้เสียงหัวใจเต้นแรงของกันและกัน
แต่พวกเขาไม่ได้คิดในเชิงว่ารักใคร่หรืออย่างไร
ถึงแม้จะใจสั่นระรัวแต่ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร
อาจเป็นความเขินอายที่จู่ๆเกิดขึ้น หรืออาจจะเป็นเพียงวูบหนึ่งของอารมณ์เท่านั้น
ตาไม่ทันดาบเร็วฉันใด
ความคิดก็ไม่อาจตามทันหัวใจได้ฉันนั้น
พวกเขาลองเปิดใจทำความรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น
อี๋จะเปิดห้องชักชวนไปฝึกดาบในทุกเช้า เข้ามาเล่นเข้ามาคุยกับเขาเกือบทุกเที่ยง
บางวันก็มาทานอาหารที่ห้องเล็กท้ายตำหนักเวลาไม่มีงานราชการ จนอาจจะเรียกได้ว่าเจียเอ๋อเป็นสหายของอี๋อีกคนหนึ่งก็ว่าได้
แต่ก็มีบางค่ำบางคืนที่เจียเอ๋อก็ยังต้องทำหน้าที่นางสนมอยู่เช่นเดิม...
พ่นลมหายใจร้อนหงุดหงิด
ผูกเชือกเอวเป็นอย่างสุดท้าย มั่นใจว่าเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไป
แต่กลับไม่พบใครในห้องแล้ว มีแต่ประตูที่เปิดกว้างและดาบด้านนอนรอเขาอยู่บนโต๊ะ
เจียเอ๋อเดินไปกระชับดาบนั้นในมือ
เดินออกไปเหลียวมองหาไม่นานก็เห็นร่างสง่ายืนชมดอกท้ออยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ งดงามเสียจนมั่นใจว่าไม่มีจิตรกรในในใต้หล้าจะสามารถเขียนภาพตรงหน้าออกมาได้งามเทียบเท่าตาเนื้อสัมผัสเห็น
แม้นชายหนุ่มตรงหน้าจะงดงามราวกับเทพบุตรอย่างไร ในสายตาเจียเอ๋อนั้น
อี๋เอินก็เป็นเพียงปีศาจในร่างเทพบุตรที่ชอบรังแกกลั่นแกล้งเขาอยู่ตลอดๆ โดยเฉพาะเวลา...
ส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลออกจากหัว
เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นใบหน้างดงามจดจ้องในระยะใกล้
“คิดอะไรอยู่รึไง?”
“ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”เม้มปากตอบดันไหล่อีกคนออกไปเบาๆ
ถึงพวกเขาจะดูสนิทกันมากขึ้นก็ใช่ว่าเจียเอ๋อจะลืมว่าตนมีศักดิ์น้อยกว่าอีกฝ่ายมาก
อี๋เอินยิ้มหยิบดาบแบบเดียวกันกับที่เขาถือมากระชับไว้มั่น
“อย่าให้ข้าปลดเสื้อเจ้าได้อีกล่ะ”
เจียเอ๋อหน้าแดงวาบลามไปถึงหู
คิดถึงความแพ้พ่ายอย่างน่าอัปยศครั้งก่อนแล้วได้แต่สบถเสียงเบา
มีอย่างที่ไหนประลองดาบกันอยู่ดีๆ พอได้อีกฝ่ายได้โอกาสเชือกมัดเอวเขาก็โดนตัด
ตกใจชะงักไปเพียงชั่วพริบตาเสื้อคลุมบนร่างก็ไหลร่นลงกองที่เอวเผยร่องรอยจูบและฟันให้เจ้าของรอยหัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์
ดีที่ครั้งนั้นไม่มีใครอยู่ดู
ไม่เช่นนั้นเจียเอ๋อคงกระโจนเข้าไปฆ่าเจ้าเมืองขี้แกล้งนี้แล้ว
“ข้าไม่ให้เจ้าทำได้หรอก!”
“แล้วจะลองดู แต่ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่เสื้อหรอกนะ”
“เจ้านี่มัน!!!....”อยากตะโกนพรุศวาสก็กลัวจะโดนลงโทษหนัก
แค่ใบหน้าที่แสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวของเขาก็น่าจะทำให้อี๋เอินเข้าใจได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคงไม่ยิ้มกว้างแบบนั้นแน่ มือขาวเกร็งดาบแน่นพุ่งทะลวงเข้าหา
แต่ก็โดนอี๋เอินเอาปลายด้ามดาบปัดออก
“เอาความโกรธเข้าสู้
มีแต่แพ้กับแพ้”
“ท่านมันช่างกวนประสาทนัก”เจียเอ๋อยังคงต่อล้อต่อเถียง
วาดดาบชี้ตรงใส่อี๋เอินที่ยิ้มบางๆจับดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม
เจียเอ๋อจิปากแตะเท้าถีบตัวกระโดดเข้าโจมตี
ท่าทางมุทะลุดุดันแม้จะไม่เฉียบคมแต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังของชายชาตรี
ขอบดาบทื่อๆเกือบจะบาดผิวขาวได้อยู่แล้ว
แต่เพียงเสี้ยววินาทีดาบอีกเล่มก็เข้ามาขวาง ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยเอียงหมุนกดกลางเล่มเปลี่ยนวิถีดาบออกจากวิถีเดิม
‘อีกแล้ว!’
เจียเอ๋อสบถในใจ นึกรำคาญวิชาดาบแปลกๆแบบนี้ของอี๋เอินจะแย่
ไม่ว่าเขาจะโจมตีด้วยพลังหนักแน่นเพียงใด
กลับโดนวิชาดาบอ่อนแบบเมื่อครู่เข้าแทรกเปลี่ยนวิถีดาบจนกระบวนเขาเปลี่ยนทุกครั้ง
วิชาดาบของอี๋เอินสง่างามแต่เฉียบไว
เน้นความคล่องตัวและเปลี่ยนแปลงยืดหยุ่นได้
แตกต่างจากเจียเอ๋อที่มุ่งจะเอากำลังเข้าหักหาญเพียงอย่างเดียว
ทำให้กี่ครั้งๆเจียเอ๋อก็ไม่เคยชนะชายหนุ่มได้สักที
หลังๆมานี้ถึงได้นึกสังเกตว่าอี๋เอินไม่ได้เต็มที่ในการออกดาบ ส่วนใหญ่จะหลบเลี่ยง
หาวิธีเปลี่ยนวิถีดาบทำให้อีกฝ่ายพลาดเอง
แล้วถึงออกดาบโจมตีครั้งเดียวในตอนสุดท้าย
แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีพัฒนาการเลยหรอกนะ...
เจ้าเมืองฉีค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นร่างขาวเปลี่ยนท่าทางการถือดาบ
แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่เขาซึ่งโดนึกฝนให้มองจุดเล็กน้อยของคู่ต่อสู้เสมอก็เห็นมันได้อย่างชัดเจน
ยิ่งเห็นวิถีดาบโจมตีระรอกใหม่ของเจียเอ๋อ
ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าสนมคนโปรดของเขาในที่สุดก็พัฒนาขึ้นอีกแล้ว
“เก่งนี่...”ชายหนุ่มเอ่ยชม
เบี่ยงกายหลบปลาบดาบทื่อที่หมายจะโจมตีลำคอเขา รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม
ก้าวเท้าด้วยความเร็วที่เจียเอ๋อตามไม่ทันปรากฏกายขึ้นด้านข้าง “แต่ช้าไปนะ”
ปลายดาบรีบเปลี่ยนวิถีแต่ร่างของอี๋เอินหายไปจากจุดเดิมแล้ว
เจียเอ๋อชะงักเพิ่งรู้ตัวว่าโดนโจมตีเข้าให้โดยไม่รู้ตัว เส้นผมสีดำอีกกาปลิวพลิ้วไปตามสายลมอ่อนๆ
เคลียใบหน้านวล มือขาวรีบตะปบหลังศีรษะตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว
ตวัดสายตาไม่ชอบใจใส่ชายหนุ่มที่ยืนโบกโบรัดผมสีขาวเส้นยาวของเขาท่าทางยียวนอยู่ไม่ไกลนัก
ไม่สนว่าผมจะพันกันยุ่งหรือน่ารำคาญขนาดไหน
กระชับดาบเข้าโจมตีชายหนุ่มต่อด้วยใจอยากเอาชนะ ดวงตากลมทอประกายมุ่งมั่น รุกไล่อี๋จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมออกดาบหลังจากเอาแต่เลี่ยงและเปลี่ยนวิถีดาบอยู่ตลอด
อี๋เอินตวัดดาบเข้าโขมตีฝั่งซ้ายเริดปลายดาบขึ้น
เจียเอ๋อเอี้ยวตัวหลบปลาบดาบไม่ทัน ทำให้โดนคมดาบบาดเข้าที่ต้นแขนซ้าย
เนื้อผ้าขาดถากผิวเนื้อตื้นๆจนเจ้าตัวไม่คิดจะสนใจ แต่กลายเป็นอี๋ที่พุ่งตัวเข้ามาใกล้
อาศัยอารามตกใจของร่างขาวปลดดาบลง โอบเอวอวบเข้ามาใกล้ให้ร่างทั้งสองได้แนบชิด
เสียงดาบกระทบพื้นหินดังเคร้งคร้างน่ารำคาญ
แต่คงไม่ชัดเท่าเสียงหัวใจเต้นแรงของเจียเอ๋อในตอนนี้แน่
“จู่ๆก็เป็นอะไรของท่าน
“ถามแก้เขิน พยายามเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม แต่กลับโดนมือเรียกกดศีรษะลงบนอกแข็ง
จมูกรั้นสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกาย ใบหน้าแดงก่ำเขินอายราวกับหญิงสาวยามโดนคนรักโอบกอด
อี๋เงียบไปพักหนึ่งก่อนกระแอมไอถามเสียงเรียบ
“แผล...ข้าขอดูแผลหน่อย”
“แผลอะไร? อ๋อ”เจียเอ๋อสะบัดตัวหลุดจากอ้อมกอดที่คลายออกเล็กน้อย
มองหน้าเจ้าของชีวิตตนเองแล้วอึ้งไปพักหนึ่งก่อนหัวเราะลั่น
“มีใครเอาชาดทาหน้าท่านหรือ
มันถึงได้แดงขนาดนั้น”
“เงียบปากไป”อี๋หันหน้าหนี
รู้สึกเสียมาดอย่างร้ายแรง เมื่อครู่ที่พุ่งตัวเข้าไปกอดแทบจะไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
แค่เห็นว่าเผลอทำอีกฝ่ายเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตกใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทั้งที่แต่ก่อนยังไม่รู้สึกขนาดนี้ ถึงจะอยากกลั่นแกล้งขนาดไหน
แต่จะให้เลือดตกยางออกเพราะการยุทธนั่นเป็นสิ่งที่อี๋เอินไม่ต้องการ
เจียเอ๋อกลั้นยิ้มจนแก้มสองข้างนูนเป็นลูกกลมๆ
มองปฏิกิริยาของชายหนุ่มอย่างนึกขำ เขาไม่รู้หรอกว่าอี๋เอินเป็นอะไร
แต่เห็นอีกคนทำท่าเหมือนเป็นห่วงเขาแบบนี้ก็อดดีใจไม่ได้
“ข้าไม่ได้เป็นไร
เสื้อมันขาดก็จริง แต่แผลถากจนข้าไม่เจ็บเลย ตอนฝึกวิชาเจ็บกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว”
“ข้าว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว...เจ้าฝึกวิชาอะไรมา”
“ถามแบบนี้จะปล้นวิชาข้ารึไง”ถามติดไม่พอใจ
มองค้อนชายหนุ่มที่ส่ายหน้ายิ้มเยาะให้อย่าน่าหมั่นไส้
“ก่อนคิดอะไรแบบนั้น
เอาวิชาพวกนั้นชนะข้าให้ได้ก่อนเถอะ สนมน้อย”
“ทำไมชอบเรียกข้าว่าสนมน้อยนัก”
“แล้วคนที่มีหน้าที่บนเตียงอย่างเจ้า
ไม่เรียกว่าสนม จะให้เรียกว่าอย่างไรล่ะ หืม?”
เจียเอ๋อเม้มปากแน่น
ไม่กล้าพูดต่อล้อต่อเถียงต่อ กลัวว่าจะเข้าตัวเองอีก
เบี่ยงหน้าเปลี่ยนประเด็นกลับไปประเด็นเดิมที่โดนถามมา “ทำไมถึงถามล่ะ”
“บอกว่าฝึกยุทธแต่ร่างกายเจ้าขาวเนียนอย่างกับหญิงสาวที่ไม่เคยออกจากบ้าน
แผลเป็นจากการฝึกก็ไม่มี จะจับจะแตะตรงไหนก็ลื่นมือไปเสียหมด”
“ไม่ต้องบรรยายก็ได้มั้ง”แก้มกลมแดงปลั่ง
เหมือนโดนคำพูดของชายหนุ่มเล้าโลมแปลกๆ เดินไปเก็บดาบของตนขึ้น พลางตอบอ้อมแอ้ม “ข้าเป็นลูกชายคนโตของตระกูล
บ้านข้าไม่อยากให้ข้าออกไปไกลบ้านนัก ข้าเพิ่งได้รับอนุญาตให้ออกไปฝึกยุทธที่เขาหิมะเมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง”
“บ้านเจ้านี่เลี้ยงแปลกดี
เลี้ยงลูกชายราวกับลูกสาว”
“อย่ามาว่านะ!”เจียเอ๋อโต้เถียงไม่ชอบใจ ก็รู้ว่าเขารักบ้านและตระกูลตนเองขนาดไหน
ก็สรรหาคำพูดมาแกล้งปั่นหัวเขาเล่นเสียเหลือเกิน
ยกแขนเสื้อด้านที่ขาดแหว่งขึ้นตรวจดูก็ขมวดคิ้ว มือลูบรอยเลือดเล็กๆบนเนื้อผ้า
...แผลไม่ลึกแต่เลือดออกแฮะ...
“เจ็บรึไง?”
“ไม่...ข้าเป็นชายนะ
ท่านจะห่วงอะไรนักหนา”
“คิดว่าข้าห่วงเหรอ?”อี๋หัวเราะ
“เวลาร่วมเตียงกับใคร ข้าก็อยากเห็นของสวยๆแบบไม่มีตำหนิเท่านั้นเอง”
...แล้วไอ้ตราประทับบนต้นขาข้ามันคืออะไร?...อยากย้อนถามกลับไปเหลือเกิน
แต่ก็กระดากเกินกว่าจะพูดตรงนี้ ได้แต่แยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม
“ถ้าท่านไม่มีอะไรแล้ว
ข้าขอตัว”พูดเสร็จก็หมุนตัวกลับไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร
เห็นหน้าอี๋เอินแล้วรู้สึกหงุดหงิด ขอกลับห้องไปสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนดีกว่า
“อายรึไง
สนมน้อย”
...ไปตายซะ!!!
ไอ้เจ้าเมืองโรคจิต!!!...
วันนี้เหมือนว่าเจียเอ๋อจะมีผู้เยี่ยมเยือนเยอะกว่าทุกวัน
กลับมาจากฝึกดาบจากอี๋ไม่เท่าไหร่ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
แต่คราวนี้เป็นหมอประจำตำหนักที่หายตัวไปนาน
“เป็นยังไงบ้าง
โดนท่านอี๋แกล้งจนช้ำในอีกรึเปล่า อ้อ คงไม่แล้วสินะ”ตาเรียวกลมเหมือนแมวจับจ้องร่องรอยสีกุหลาบบนผิวคอขาวที่เสื้อปิดไม่มิด
“นี่คือคำแรกที่ใช่ทักทายกันหรือเฟิงจี”คิ้วเรียวขมวดมุ่น
กระชับคอเสื้อปิดรอยแดงไว้อย่างนึกเขินอาย
เขาใส่เสื้อไม่ค่อยมิดชิดเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเยี่ยมเยือนแบบนี้อีก
แต่พอโดนเฟิงจีหยอกล้อแบบนั้นก็ลงมือแต่งตัวให้ดีกว่าเดิม
“ว่าแต่ท่านหายไปไหนมา”
“กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องน่ะ
อ้อ ข้าผ่านไปแถวบ้านเจ้าด้วย เห็นว่าซ่อมแซมบ้านเสร็จแล้ว
แต่ไม่ได้ถามไถ่คนในบ้านหรอกนะ ไม่ต้องถาม”
เจียเอ๋อยู่หน้า
เกลียดคนรู้ทันอย่างเฟิงจีจริงๆ
“ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย
ท่านพ่อคงปรับตัวได้แล้ว”
เฟิงจีนั่งนิ่งมองดูเจียเอ๋อและสภาพในห้อง
ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ
“เจียเอ๋อ
ช่วงนี้ท่านอี๋มาหาเจ้าบ่อยรึเปล่า”
“อืม...ก็บ่อยขึ้น
ตอนเช้าเขาจะให้ข้าเป็นคู่ฝึกดาบให้ ตอนเที่ยงก็มากินข้าวด้วยบ้าง”
“ตอนค่ำล่ะ?
สัปดาห์นี้เขามาหาเจ้ากี่คืน”
เจียเอ๋อหน้าแดงเม้มปากแน่น
มองสายตาจริงจังของเฟิงจีแล้วก็ได้แต่ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง “ก็...สาม แค่สาม...”
“มันไม่ใช่แค่สามหรอกนะเจียเอ๋อ”เฟิงจีถอนหายใจ
รู้สึกถึงความยุ่งยากขึ้นมาอีกประการ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านอี๋ไม่เคยสนใจใครได้เท่าเจ้า
นางสนมบางคนในตำหนัก ปีหนึ่งๆท่านอี๋ไปหาครั้งหนึ่งก็นับว่าเยอะแล้ว
แต่สำหรับเจ้ามันไม่ใช่ เขาใช้เวลากับเจ้ามากกว่านางสนมเก่าแก่บางคนเสียอีก”
“...”เจียเอ๋อนิ่งไป
ก็พอรู้ว่าอี๋มาหาตนบ่อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเยอะหรือแปลกอะไรขนาดนั้น
“แล้วรู้ไหม
ข้ากลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะโดนข้อครหา นางสนมที่นี่ส่วนดีก็มีมาก
แต่ส่วนที่แสวงหาอำนาจก็มากมายเช่นกัน ข้ารู้เพราะข้าอยู่ที่นี่มานาน
เจ้าคิดว่าพวกนางต้องทำยังไงถึงจะได้ในอำนาจ?”
“มีบุตรชายให้อี๋เอิน”
“ใช่ มีบุตร
และก่อนจะมีบุตรได้ก็ต้องมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นก่อน แต่ท่านอี๋ไม่ค่อยได้มีสัมพันธ์กับพวกนางและพวกนางก็ไม่เคยมีบุตรให้เขาได้
เรียกได้ว่าใครตั้งครรภ์ก่อน ก็มีสิทธิ์ขึ้นแท่นว่าที่พระสนมเอก
ไม่ก็มเหสียังไงล่ะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับข้าตรงไหน
ในเมื่อข้ามีลูกให้เขาไม่ได้อยู่แล้ว”เจียเอ๋อขมวดคิ้วสงสัย เขาเข้าใจว่าเฟิงจีต้องการจะเตือนอะไร
แต่ก็สงสัยว่าห่วงเรื่องบุตรทำไม
ในเมื่อเขาเป็นชายและไม่สามารถให้กำเนิดทายาทให้อี๋ได้อยู่แล้ว จำเป็นอะไรที่พวกนางสนมคนอื่นจะมาอิจฉาหรือโกรธเคืองเขา
“พวกนางไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร...พวกนางไม่รู้จักชื่อเจ้า
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเจ้าเป็นชาย”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“รู้ไหมทำไมข้าถึงบอกว่าเจ้าเป็นคนโปรด?
อี๋หวงเจ้ามาก ถึงจะหวงในแบบแปลกๆก็เถอะ การกักขังเจ้านอกจากจะกันไม่ให้เจ้าหนีแล้ว
ยังกันเจ้าไม่ให้นางสนมผู้อื่นได้เห็นหรือรู้จักเจ้า
เขาไม่พร้อมจะมีบุตรหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องสมบัติ จะมีอะไรกับนางสนมอื่นก็ไม่ได้ ความกำหนัดส่วนมากเลยตกที่เจ้า
แน่นอนว่าแรกๆข้าก็คิดว่าแค่เรื่องอารมณ์ทางเพศ แต่หลังๆมันไม่ใช่...”
“เจ้าพยายามจะพูดอะไรกันแน่เฟิงจี”เจียเอ๋อเริ่มตามไม่ทันจริงๆเสียแล้ว
“นางสนมรวมถึงคนอื่นๆกำลังคิดแบบเดียวกัน...อี๋เอินกำลังหลงใหลและกำลังตกหลุมรัก...แน่นอน
ใครคนนั้นคือเจ้า เจียเอ๋อ”
“เพ้อเจ้อ”อดไม่ได้ที่จะพูดคำนี้ออกมา
“เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง
เพราะมันก็แค่ข้อสันนิฐานของข้าเท่านั้น ข้ามาวันนี้ก็แค่อยากเตือน ระวังตัวไว้
เจ้าเป็นคนดีและซื่อนัก ในฐานะสหาย ข้าไม่อยากให้อี๋เสียเจ้าไป”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจหรือไม่อยากยอมรับกันแน่เจียเอ๋อ
ทบทวนตนเองดีๆ...ข้ามาแค่นี้แหละ ข้าต้องไปหาอี๋แล้ว เจ้านั้นใช้งานข้าเยี่ยงทาสจริงๆ”บ่นยิ้มๆก่อนเดินออกไป
ทิ้งให้เจียเอ๋อตกใจกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รู้ เขาไม่เคยรู้ว่าด้านนอกห้องเป็นอย่างไร
ไม่เคยรู้ว่าเรื่องของเขาในตำหนักเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน ไม่เคยคิด
ไม่เคยรู้ว่ามันจะมาถึงขั้นนี้ได้จริงๆ
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี...”
ในขณะที่คนในห้องกำลังสับสน
ใครอีกคนก็ยืนนิ่งมองร่างของเฟิงจีที่เดินออกมาจากห้อง ‘คนโปรด’ ของตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“อย่าทำให้ข้าไม่พอใจเจ้าไปมากกว่านี้...สนมน้อย...”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น