[TTM] 04
TWINS & TWINS
MATCH
_______4_______
รองเท้าหนังขัดอย่างดีของนายตำรวจสอบสวนผู้กำลังทำหน้าที่สืบสวนชั่วคราว เดินย่ำบนสนามหญ้าหน้าบ้านเช่าเล็กๆของสองแฝดตระกูลหวังอย่างระมัดระวัง
มาร์คกวาดตามองจุดที่ฝ่ายเก็บหลักฐานวงเอาไว้แต่ละจุด จดตำแหน่งลงในสมุดเล่มเล็กของตน
วาดแผนผังรวมถึงรายละเอียดแต่ละแห่งเอาไว้ชัดเจน
มาร์คหยุดยืนข้างจุดที่ผู้ต้องสงสัยล้มลง นั่งย่อตรวจตราดูอีกครั้งว่าไม่พบหลักฐานอะไรอีกนอกจากกลิ่นน้ำหอมเหม็นฉุน
เขาล้วงเอาภาพที่ยืมมาจากฝ่ายเก็บหลักฐานมาดู มันเป็นภาพของคนร้ายขณะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
ดูจารูปพรรณสัณฐานน่าจะเป็นคนเอเชีย ผิวขาวเหลือง สวมชุดสีดำทั้งตัว ตรวจประวัติจากคนเข้าเมืองก็ไม่พบประวัติ
เชื่อว่าอาจจะเป็นพวกลักลอบเข้าเมือง หน่วยสืบสวนกำลังตามหาประวัติจากสำนักการทูตฮ่องกงให้
เชื่อว่าไม่ถึงสองวันก็จะได้ชื่อ รวมถึงประวัติส่วนตัวได้ไม่ยาก
มาร์คยืนขึ้นส่งรูปคืนหน่วยสอบสวน ในหัวกำลังคิดอะไรไม่ตก เขารู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ
การกระทำอุกอาจของพวกนั้น
ตั้งแต่กระหน่ำยิงอาวุธสงครามกลางกรุงที่มีพยานหลายร้อยคน
ดักหน้าบ้านตระกูลหวังเพื่อหวังทำร้ายแฝดของเจสัน ทั้งหมดราวกับกำลังประกาศให้รู้ว่ากำลังปองร้ายเจสันหวังอย่างเปิดเผย
ดูไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐและตำรวจเลยสักนิด
ดูกร่างจนผิดปกติทั้งที่การจะตามจับรถต่างประเทศติดฟิล์มดำไม่มีทะเบียน
แถมมีพยานเห็นเป็นร้อยนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลยสักนิด
โทรศัพท์ในกระเป๋าแผดเสียงเพลงจังหวะเนิบๆผิดกับเสียงปกติเตือนให้ชายหนุ่มรู้ว่าชานซองโทรมา
“ครับ”
‘รถคันนั้นมุ่งหน้าหนีไปทางถนน 5905 Wilshire Blvd แล้วเลี้ยวไปทางใต้ของเมือง จากนั้นก็ไม่มีวี่แววของมันอีกเลย
จุดสกัดจับก็ยังไม่เห็นวี่แวว’
“ไม่มีเลยเหรอครับ? เป็นไปได้ไหมว่ามันจะยังกบดานอยู่ใน LA”
‘คิดว่าเป็นไปได้ แต่พวกมันไม่อยู่ทีนี่นานหรอก ห่ามขนาดนี้
คิดว่าคงพยายามจะหนีไปให้เร็วที่สุด’
“แล้วพอจะจำกัดแหล่งที่พวกมันกบดานได้ไหมครับ?”
‘ยากอยู่นะ แต่ตอนนี้กำลังพยายามหาอยู่ล่ะนะ
ทางนี้ฉันจะจัดการเอง แต่ทางนายก็คุ้มครองพยานดีๆ คิดว่าพวกมันคงหาโอกาสเข้าทำร้ายเขาอีกแน่’
“ได้ครับ”
...ผมไม่ตีกันจนตายกันก่อนนะครับ...มาร์คคิดในใจ วางสายจากผู้บังคับบัญชา
เก็บสมุดฝากให้ตำรวจคนอื่นสำรวจพื้นที่ต่อ
เดินเข้าไปในบ้านชั้นแรกที่มีตำรวจเต็มชั้น
ส่วนคนในการคุ้มครองของเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น ลองถามดูก็รู้ว่าเมสันเดินไปเก็บของที่ชั้นสอง
มาร์คเดินตามขึ้นไปบนชั้นสองที่ไม่มีตำรวจขึ้นมาป้วนเปี้ยน
ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้
พิงตัวมองพยานปากเอกของตนกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
มีกระเป๋าเดินเปิดอยู่ข้างๆแต่ในนั้นกลับมีเสื้อเพียงไม่กี่ชุด
“ยังไม่เสร็จอีกรึไง?”
“เออๆ”
เจสันหันกลับมามองแล้วกลับไปค้นๆเงยๆหน้าตู้เสื้อผ้าสักพัก
ไม่นานเกินรอก็หอบเอากองผ้าโยนโครมลงกระเป๋า ยืนขึ้นใช้เท้าเหยียบฝากระเป๋าแล้วรูดซิปที่ส่งเสียงคึกๆราวกับกำลังประท้วงว่าใกล้จะแตกเต็มทีแล้ว
“ฉันให้นายไปอยู่กับฉันชั่วคราว ไม่ใช่ให้ย้ายบ้านนะ”
“แล้วจะให้ทำไง?”เจสันชักหน้าหงุดหงิดใส่นายตำรวจหนุ่ม มาร์คยักไหล่
“เอาเสื้อผ้าไปพอใช้ก็พอ นั่นมันเยอะไป”
เจสันถอนหายใจฟึดฟัด นั่งขัดสมาธิเปิดกระเป๋าเด้งออก
โยนเอาเสื้อผ้าบางส่วนกลับเข้าตู้เสื้อผ้าลวกๆ ปิดกระเป๋าอีกรอบ
ลุกลากกระเป๋าเสื้อผ้ามาวางไว้ตรงหน้ามาร์ค ชายหนุ่มกำลังจะถามว่ามีแค่นี้ใช่ไหม
แต่เจสันก็เดินผ่านหน้าเขาไปอีกห้องตรงข้าม
มาร์คเดินตามเข้าไปก่อนจะชะงักกึก นิ่วหน้ามองสภาพห้อง
กลิ่นสีอะคลีลิคฉุนเตะจมูกจนเวียนหัว ทั้งพื้นทั้งผนังเปรอะไปด้วยคราบสีใหม่บ้างเก่าบ้างบางรอยก็ดูซึมติดจนไม่สามารถทำความสะอาดออกได้นอกจะทาสีพื้นทับใหม่ก็มี
บนพื้นก็มีถังสีหลายถังวาวงเรียงกันอยู่ ดีที่พู่กันยังแช่อยู่ในน้ำสะอาด
มีขาตั้งวาดภาพอยู่มุมห้องติดหน้าต่าง ผืนผ้าใบยังว่างเปล่า
ส่วนอีกฝั่งของห้องที่เจสันเดินลิ่วตรงไปน่าจะเป็นส่วนของห้องทำงานภาพของเจ้าตัว
เพราะมีแค่โต๊ะทำงาน
เครื่องปริ้นภาพวางอยู่บนพื้นและเครื่องเลบท็อปเครื่องบางประสิทธิภาพสูง
เหมาะสำหรับการเหมาะกับอาชีพช่างถ่ายภาพของเจ้าตัวดีวางเปิดฝาค้างเอาไว้
ชายหนุ่มถือวิสาสะมองดูภาพโพโรรอยขาวดำบนผนังเหนือโต๊ะทำงาน
ต้องยอมรับว่าเจสันถ่ายภาพมุมธรรมดาออกมาได้สวยงามจริงๆ
“เสียมรรยาท...ผมอนุญาตให้ดูรึยัง”แจ็คสันเอ่ยออกมาเบาๆขณะเก็บเครื่องมือทำมาหากินลงกระเป๋าสะพายใบใหญ่
“นายผิดตั้งแต่เปิดประตูค้างไว้แล้ว...เดี๋ยว...”
“อย่าจับ!”แจ็คสันร้องวี๊ดชักหน้าไม่พอใจก่อนที่มาร์คจะจับกล้องโพรารอยด์ของตัวเองบนโต๊ะ
มาร์คยกมือยอมแพ้ ถึงจะไม่เข้าใจว่าจะหวงอะไรนักหนาก็เถอะ
“นั่นนายจะเอากล้องไปหมดทุกตัวเลยรึไง?”
“เออสิ
ผมไม่มีทางเอาลูกรักผมไว้ที่นี่เสี่ยงให้ไอ้พวกบ้านั่นมาขโมยไปหรอกนะ”
มาร์คทำความเข้าใจ ถึงจะแอบหยีหน้ากับจำนวนกล้องของแจ็คสันก็ตาม
DSLR 3 ตัว โพรารอยด์อีก 1 ตัว
ไม่เข้าใจว่ากล้องแค่ตัวเดียวมันถ่ายภาพไม่ได้รึไงกัน
“ฉันจะให้เวลานายเพิ่มอีกสามสิบนาที”
“ขอบคุณ”เจสันบอกส่งๆ
ก้มหน้าก้มตามองดูลูกรักของตัวเองทีละตัวๆเก็บลงกระเป๋าเก็บกล้องของตน มาร์คเดินออกมาลากกระเป๋าเสื้อผ้าหนักอึ้งลงจากชั้นสอง
เปิดประตูวางกระเป๋าไว้บนพื้นวางเท้าหลังรถ
ดันเข้าไปจนสุดเผื่อว่าเจสันจะขนอะไรลงมาอีก
แต่เขาไม่ยอมให้ศิลปินไร้ระเบียบคนนั้นเอาขยะไปบ้านเขาแน่ๆ
มาร์คเดินไปคุยกับคนเก็บหลักฐานและตำรวจคนอื่นๆรอเวลา ยกนาฬิกามองเวลา
คิดว่าเจสันคงเก็บของเสร็จแน่แล้วก็เดินขึ้นไปดูอีกรอบ
แล้วก็ต้องฉุกกึกเมื่อเห็นช่างภาพผมทองยังเอื่อยเฉื่อยก้มๆเงยๆอยู่กับกระป๋องสีและพู่กัน
“ผมบอกให้คุณเก็บของใส่กระเป๋า นี่คุณทำอะไรอยู่!”
“ก็นี่ไง เก็บของ เก็บกล้องเสร็จแล้วก็เก็บสี เก็บพู่กัน”เจสันบอกหน้าตาย
ใช้ผ้าเช็ดพู่กันเฉื่อยยิ่งกว่าเต่าคลาน ทำเอามาร์คได้ยินเสียงตุบๆอยู่ในสมอง
เครียดขึ้นสมอง ก้าวยาวๆถือกระเป๋ากล้องขึ้นมา
เจสันร้องว๊ากวาดมือตามมาเกาะห่วงของในกระเป๋าแทบไม่ทัน
“เฮ้! อย่ามาเหวี่ยงลูกผมนะ!”
“เลือกเอาว่าจะให้ผมปล่อยลูกคุณลงพื้นหรือจะหยุดเล่นสงครามประสาทกับผมแล้วรีบออกไปจากบ้านหลังนี้สักที”
“ผมไม่ได้เล่นสงครามประสาทกับคุณนะเว้ย!”
“สี่ชั่วโมงกับการเก็บของนี่ไม่ได้เรียกกวน?”
“บอกว่าไม่ได้กวนไงวะ!
ของผมเยอะ ขอเวลาเก็บหน่อยสิ”
“ไม่ต้องแล้ว”มาร์คถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด “เอาไปแค่นี้พอ อย่างอื่นทิ้งไว้นี่นี่”
“เฮ้! แต่...”
“ไม่มีแต่...ไป เดี๋ยว
นี้”กดเสียงต่ำบังคับพยานปากเอกที่เริ่มทำหน้าบึ้งตึงเตะผ้าขนหนูใส่ขาตำรวจหนุ่มเป็นการเอาคืนแบบทำอะไรไม่ได้
เดินกลับไปเอาสมุดสเก็ตเล่มใหญ่และกล่องใส่อุปกรณ์การเขียนเดินลิ่วออกไปก่อน หุบปากเงียบไม่พูดไม่จา
มาร์คมองตามไป กลอกตาเหนื่อยหน่ายใจ
...ทำเป็นเด็กโดนขัดใจไปได้...
แจ็คสันนั่งหนีบอยู่บนโต๊ะกับข้าวตัวเล็กในบ้านของนายแบบที่เขาชื่นชอบอย่างมาร์คัส
ต้วน ไม่อยากเชื่อว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงนี้... ตรงหน้าชายหนุ่มผู้ที่เขาเอาแต่มองผ่านหน้าจอโทรทัศน์
จอ LCD และตามนิตยสาร พอมาวันนี้กลับได้ใกล้ชิดเห็นรูขุมขนแบบชัดเจนยิ่งกว่าตอนซูมหน้าจอดูในคอมพิวเตอร์เสียอีก
มันก็ตื่นเต้นดีใจดีหรอกนะ แต่ก็ไม่นึกว่ามาร์คัสจะนิสัยดุแบบนี้นี่...
พอรู้ว่าเขาทำกับข้าวเป็น มาร์คัสก็สั่งให้แจ็คสันทำอาหารหนึ่งอย่างมาให้ทาน
ผู้ร่วมอาศัยชั่วคราวตัวเล็กเลยต้องสวมผ้ากันเปื้อนเข้าครัวตั้งแต่ชั่วโมงแรกในบ้านหลังนี้
เขาต้องทำอาหารเย็นให้มาร์คัส ก่อนจะได้เก็บกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางด้วยซ้ำไป
ก้มๆเงยๆอยู่ในครัวอยู่นาน ก็หาได้แค่ไข่สองฟอง ชีสแผ่น
ขนมปังและเบคอนใกล้หมดอายุอีกหนึ่งห่อ
แจ็คสันยืนอยู่หน้าเตาไม่นานก็ตัดสินใจตอกไข่ทั้งสองฟองลงถ้วยตีให้เข้ากัน
หันไปหยิบขนมปังวางทับด้วยชีสเบคอนและชีสอีกชั้น ประกบขนมฟัง
หั่นเป็นชิ้นยาวๆลงไปทอดในน้ำมันเดือด สักพักก็ช้อนขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน
ก่อนตักใส่จาน ราดซอสพริกเพื่อเพิ่มรสชาติ แจ็คสันทำตั้งแต่ต้นยันจับได้อย่างคล่องแคล่ว
ยกมาเสิร์ฟให้มาร์คัส นั่งลงตรงข้าม ตากลมของลูกหมาช้อนตาขึ้นมองภาพนายแบบหนุ่มที่กำลังนั่งมองอาหารที่เขาทำอยู่ด้วยความลุ้นระทึก...
“นี่อะไร?”
“เอ่อ...ผมไม่รู้ครับ ผมแค่เห็นว่าเหลือ ก็เลยเอามาทำเป็นจานนี้”
แจ็คสันอ้อมแอ้มตอบ ปกติเขาไม่ได้ขี้อายแต่มาร์คัสน่ากลัวเกินไป
ใบหน้าหล่อเหลานั่นเหมือนแปะคำว่าหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาจนเขาไม่กล้าจะพูดหรือทำอะไรเลย
“เหรอ...”แฝดต้วนคนน้องตอบแค่นั้น วางหนังสือที่วางอยู่ลงบนโต๊ะ
จับส้อมขึ้นมามองอาหารหน้าตาน่าทานตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเดาอารมณ์ไม่ออก จิ้มขึ้นกัดชิ้นหนึ่งเคี้ยวคำเล็กๆ
ทุกปฏิกิริยาของมาร์คัสทำให้แจ็คสันลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้
“อืม...”
“...”
“ก็ใช้ได้”
“เยส!”แจ็คสันเผลอร้องออกมาด้วยความดีใจและก็ต้องรีบหุบปากเงียบเมื่อหันไปมองเห็นสายตาหงุดหงิดของมาร์คัสเข้า
เขารีบกลับมานั่งที่เดิม เจี๋ยมเจียมเป็นลูกหมาโดนดุ
มองนายแบบหนุ่มกินของในจานหมดไปอย่างรวดเร็ว
“เราต้องพูดกัน”
จู่ๆมาร์คัสก็พูดขึ้น มือสวยดันจานออกมาด้านหน้า เงยหน้ามามองแจ็คสันเต็มๆเป็นครั้งแรก
ยอมรับว่าหน้าตาเด็กนี้ก็ไม่ใช่ไม่ดี ออกจะหล่อเหลาน่าเอ็นดู
แต่ก็ไม่พอเขาให้สะกิดใจมากขนาดนั้น
“ฉันจะให้นายอาศัยอยู่ด้วยได้...”
“ขอบคุณ...”
“ฉันยังพูดไม่จบ”มาร์คัสดุคนอายุน้อยกว่า “ฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งพื้นที่ส่วนตัว
ดังนั้น นายจะอยู่ได้แค่ชั้นล่างนี้เท่านั้น ห้ามขึ้นชั้นสองและห้ามแตะต้องของในห้องหนังสือ
แน่นอนว่าโทรทัศน์หรือสเตอริโอก็ห้ามเปิดเพราะฉันเกลียดเสียงดังๆ”
แจ็คสันนั่งเงียบฟังกติกาการอยู่ร่วมกันแล้วได้แต่มึน
นี่สรุปว่าเขาแตะต้องอะไรไม่ได้สักอย่างเลยสิ? แล้วนี่จะให้เขานอนไหนกัน ในเมื่อเขตที่มาร์คัสอนุญาตให้อยู่มีแค่ห้องนั่งเล่น
ห้องหนังสือ ห้องทานข้าวและห้องครัวเท่านั้น ห้องน้ำก็มีแต่ก็มีแค่ชักโครก
จะให้เขาไปอาบน้ำที่ไหน? อยากถามใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าพูดแทรกขึ้นมาอีก
“เข้าใจไหม?”
“คุณมาร์คัสครับ...คือ...จะให้ผมนอนที่ไหนเหรอครับ?”
นิ้วเรียวชี้ไปที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่น
ริมฝีปากอิ่มของแจ็คสันเม้มเข้าหากันเล็กน้อยแต่ไม่กล้าเถียงอะไร
เพราะเขามาอาศัยมาร์คัสอยู่ก็ถือว่าเป็นการรบกวนมากแล้ว...
“แล้ว...เรื่องอาบน้ำ”
“นายนี่เรื่องมากชะมัด”คิ้วเข้มขมวดติดกัน
หงุดหงิดที่ต้องมาตอบคำถามซักไซ้อย่างกับนักข่าวสายซุบซิบของแจ็คสัน “มีห้องน้ำห้องเดียวในห้องนอนฉัน
ฉันอนุญาตให้นายไปอาบน้ำบนนั้นได้ แต่ห้ามเอื่อยเฉื่อย ฉันไม่ชอบ”
“ได้ครับ ผมเป็นคนอาบน้ำเร็ว คุณมาร์คัสไม่ต้องห่วงนะครับ”แจ็คสันรียรับปากกลัวว่ามาร์คัสจะหงุดหงิดอะไรตนอีก
“ก็ดี...”
มาร์คัสพูดแค่นั้นแล้วลุกออกไปจากโต๊ะ เดินทำท่ามึนๆขึ้นไปชั้นสอง
ชายหนุ่มรู้สึกต้องการการพักผ่อน เพราะตั้งแต่เมื่อคืนก็ทำงานทั้งคืน
ไหนจะไปโรงแรมหาความสุขส่วนตัวที่ไม่ค่อยจะสุขสมเท่าไหร่นักจนสาย
กลับมาก็ยังต้องมาเจอภาระก้อนใหญ่ที่พี่ชายฝาแฝดบรรจงโยนมาให้เขาเน้นๆอีกต่างหาก
…น่ารำคาญ…
แจ็คสันมองตามแผ่นหลังของมาร์คัสไปหงอยๆ
ตอนแรกที่รู้ว่าคุณมาร์คเป็นแฝดคุณมาร์คัส
แถมยังจะฝากฝังเขาให้อยู่กับนายแบบสุดปลื้ม เขาก็ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
พยักหน้าตอบรับโดยไม่ได้สนใจสีหน้าลำบากใจของคุณมาร์คสักนิด
เพราะคิดว่าจะได้ใกล้ชิดและสนิทกับมาร์คัสมากขึ้น
ไม่นึกว่าที่มาร์คลำบากใจนั้นก็เพราะคุณมาร์คัสมีนิสัยขี้รำคาญแบบนี้
แถมคำพูดของคุณมาร์คก่อนกลับไปก็ยังติดอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา
‘อย่าไว้ใจหมาป่าอย่างมาร์คัส’
…มันหมายความว่ายังไงกันนะ?...
คิดไปก็ไม่เข้าใจ ส่ายหัวไล่ความคิดของตัวเอง
ตอนนี้เขาควรเริ่มเก็บของแล้วก็หาโอกาสโทรไปคุยกับพี่ชายที่โดนแยกกันไปอีกฟากของเมือง
อยากถามเจสันจะแย่ว่าอยู่กับมาร์คเป็นยังไงบ้าง จะแย่แบบเขารึเปล่านะ?...ไม่สิ
แบบนี้ก็ไม่แย่หรอก ดีที่ได้อยู่ใกล้พี่มาร์คัส ถึงจะดูร้ายหน่อย แต่มาร์คัสคงไม่ได้เลวร้าย...มั้งนะ...
“คิดมากทำไมวะกู คิดเหมือนสาวน้อยมัธยมไปได้”มือป้อมขยี้เส้นผมนุ่มฟูฟ่องบังคับให้ตัวเองหยุดคิด
หยิบกระเป๋าขึ้นมามองซ้ายมองขวาว่าจะพอเก็บอะไรไว้ที่ไหนได้บ้าง
แต่สุดท้ายเพราะความกลัวว่ามาร์คัสจะหงุดหงิดที่เห็นของของเขาเต็มบ้าน
เลยตัดสินใจดึงออกมาแค่หมอนใบโปรด หนังสืออ่านเล่น เครื่องเล่นเพลง
หูฟังและตุ๊กตาลูกหมาสีดำซึ่งเป็นตัวแทนพี่ชายฝาแฝด คู่กับของเจสันที่เป็นตุ๊กตาลูกหมาสีขาว
จมูกรั้นจิ้มตุ๊กตามีกลิ่นหอมคล้ายกับของเจสันไม่ผิดแผกนัก (ก็ใช่น่ะสิ
ในเมื่อกลิ่นของเจสันก็กลิ่นน้ำหอมของเขาเลยนี่นา) วางมันบนโซฟา จองพื้นที่บอกว่าที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งพักผ่อนนอนหลับชั่วคราวของเขาไปอีกพักใหญ่ๆ
เอาเสื้อ เอากางเกงมาจัดเป็นชุดเหมาะกับการหยิบมาใช้ จัดของให้เข้าที่เข้าทางไม่ให้ดูเกะกะสายตาเรียบร้อย
ร่างขาวก็ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟานุ่ม มองที่อยู่ของนายแบบคนดังแล้วได้แต่ยิ้มกับตัวเอง
...เท่สมเป็นคุณมาร์คัสเลย...
เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง แม้แต่พื้นผิวของวัตถุก็ดูเหมาะเจาะกันไปหมด
เสียอย่างเดียวว่าของใช้ดูรกไปหน่อย
เหมือนว่ามาร์คัสจะไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดบ้านเลย ถ้าเขาจะทำความสะอาดให้เพื่อเป็นการตอบแทน
มาร์คัสจะไม่ดุเขาใช่ไหมนะ?...
…
…
เวลาล่วงเลยมาถึงเย็นก็เห็นร่างโปร่งของนายแบบหนุ่มเดินอาดๆลงมาจากชั้นสอง
ท่าทางยังไม่ตื่นดี เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสามเม็ดเผยแผ่นอกมัดกล้ามชวนละลายแบบในนิตยสารทำเอาแจ็คสันหน้าเห่อร้อน
เขารีบเก็บอาการแสร้งถามถึงคำถามที
“คุณมาร์คัสครับ ผมขอใช้ชั้นวางนี้วางของได้ไหมครับ”
“ตามใจ”มาร์คัสตอบส่งๆ ยีผมสีทองของตัวเอง ตาปรือหาวปากกว้าง “ขอน้ำหน่อย”
“ได้ครับๆ”แจ็คสันกระวีกระวาดวิ่งดุ๊กดิ้กเข้าไปในครัว หาน้ำให้ชายหนุ่มตามสั่ง
ส่วนมาร์คัสก็นั่งแหมะลงบนโซฟา กวาดตามองไปรอบๆ ขมวดคิ้วเห็นสิ่งผิดปกติ
“นายทำความสะอาดบ้านฉัน?”
“ครับ พอดีผมคิดว่าอยากทำอะไรตอบแทนให้คุณมาร์คัสบ้าง
เอ่อ...คุณมาร์คัสไม่โกรธใช่ไหมครับ?”แจ็คสันถามแบบเกรงๆจากในครัว
ยังไม่กล้าเดินออกไปเพราะกลัวมาร์คัสจะโกรธหรือดุอะไรเขา อยู่ไกลๆอาจจะดีกว่า
แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีท่าทีหงุดหงิดอย่างที่คิด แค่พยักหน้าและเอนตัวลงวาดขาพาดกับโต๊ะเตี้ย
เปิดโทรทัศน์ดูช่องบันเทิงตอนเย็น
ทั้งหมดนั่นแจ็คสันก็เหมาเอาว่ามาร์คัสไม่ได้โกรธแล้วกันนะ
“ทำข้าวเย็นให้หน่อย”
“เอ่อ...”
“ทำไม?”มาร์คัสเงยหน้ามาถาม
เห็นท่าทางอึกๆอักของแจ็คสันแล้วก็นึกขึ้นได้อีกเรื่อง “ฉันลืมบอก
เลิกเรียกคุณได้แล้ว แสลงหู”
“แล้วจะให้ผมเรียกอะไรล่ะครับ?”แจ็คสันเริ่มทำหน้าบู้งอแง
“...พี่ก็ได้ ฉันอายุมากกว่านาย”
พอได้รับคำตอบหน้ายู่ๆเมื่อกี้ก็กลับยิ้มแฉ่งสดใส
ฟันกระต่ายน่ารักๆและดวงตาหยิบหยี รอยยิ้มที่สว่างจนมาร์คัสถึงกับละสายตาไปไหนไม่ได้อยู่ชั่วขณะ
พอรู้ตัวก็สะบัดหน้าหนี ส่ายหัว วกกลับมาเรื่องเดิมอีกรอบ
“อย่าลืมทำข้าวเย็นให้ด้วยแล้วกัน”
“แต่พี่มาร์คัสครับ ของในตู้เย็นไม่เหลือแล้วนะครับ”
“...”
แจบอมกำลังตรวจเช็คบัญชีตอนที่มาร์คัสโทรมาหาว่าวันนี้จะไม่เข้ามาดูร้านเพราะมีธุระส่วนตัว
พอเขาซักว่าธุระอะไร
อีกฝ่ายก็ไม่ตอบแต่ผลัดเป็นจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดในวันพรุ่งนี้แล้วก็วางสายไปเลย...
“ไอ้...”
ถอนหายใจยาวเหยียด ฟุบตัวลงกับโต๊ะทำงานในห้องผู้จัดการ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจนซึ้งถึงกมลสันดารของพ่อนายแบบคนดังคงได้โวยวายหาเรื่องฮุบกิจการไปนานแล้ว
แต่เพราะรู้ดีนี่แหละ ถึงได้มานั่งเครียดอยู่นี่ ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายแท้ๆ
แต่กลับทำตัวเองซะแย่ ก็ไม่เข้าใจมาร์คัสมันจริงๆ...
กำลังจะจับปากกาเขียนต่อประตูห้องก็เปิดผางเข้ามา คิ้วเข้มขมวดแน่น
มองคนเสียมรรยาทด้วยความไม่พอใจ แต่คนโดนมองแรกก็หาสนใจไม่
แถมยังยวนยีมานั่งโซฟาตัวยาวในห้องเขา มองกลับมาด้วยสายตาแบบเดิมๆ
สายตาที่ทำเอาแจบอมอยากเอาปากกาทิ่มให้บอดไปเลย
จะได้ไม่มาระยิบระยับกวนอารมณ์เขาแบบนี้
“มีธุระอะไรถึงได้เสียมรรยาทเข้ามาให้ห้องฉันแบบนี้กัน จินยอง”
เจ้าของชื่อหัวเราะ มือสวยขยับปลอกแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง
ส่งสายตาพราวระยับราวลูกปัดมาทางคุณผู้จัดการแสนเคร่งเครียดของตัวเอง
ในหัวก็อดคิดชมไม่ไดว่าเชิ้ตสีขาวบนร่างดูดีนั่นช่างขับให้คนตรงหน้าดูเซ็กซี่ขึ้นมากจริงๆ
...ถ้าใบหน้าหล่อคมเข้มนั้นจะไม่ขมวดคิ้วทำหน้าน่ากลัวใส่เขาแบบนี้นะ...
“อย่าทำหน้าบึ้งแบบนั้นสิครับ แจบอม
ผมแค่มาถามถึงเรื่องของที่ผมอยากได้ก็เท่านั้นเองนะ”
“ถ้าเรื่องจินฉันสั่งไปให้แล้ว น่าจะมาอาทิตย์หน้า...”เสียงเป็นการเป็นงานของแจบอมถูกหยุดชะงักด้วยน้ำเสียงระรื่นอย่างต้องการจะกวนประสาทของจินยองทั้งที่ยังไม่จบประโยคดี
“ผมหมายถึงคุณน่ะ”
ครึก!
ปากกาในมือแจบอมลั่นเพราะแรงบีบแน่นขึ้นกะทันหัน
ตาเรียวปิดลงอย่างพยายามอดทนกับแรงยั่วยุ สูดลมหายใจลึกทำใจเย็นๆ กลั้นคำพรุสวาสและกลั่นเสียงพูดออกไปช้าๆ
“ปาร์ค จินยอง ไม่กวนประสาทฉันสักวันมันคงไม่กระเทือนความสุขของนายมากนักหรอกนะ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ...”จินยองลุกขึ้นจากโซฟา เดินเนิบๆมายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้จัดการคนเก่ง
มองใบหน้ากลั้นโกรธจนเส้นเลือดเต้นตุบขึ้นขมับแล้วหัวเราะในลำคอ ท้าวศอกลงบนโต๊ะ
โน้มใบหน้าลงไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมของกันและกัน ปลายนิ้วด้านแตะใต้คางได้รูปของแจบอม
กล่าวหลอกล่อเสียงหวาน “เพราะคุณคือความสุขของผมเชียวนะ”
ดวงตาเรียวมั่งคงลืมขึ้นมาจ้องดวงตาพราวระยิบระยับนั้นไม่ยอมแพ้
ไม่มีท่าทีอ่อนไหวต่อคำหวานหูและเสน่ห์อันร้ายกาจของจินยองเลยสักนิด
“เอาไปหลอกสาวๆหน้าบาร์นั่นเถอะ”
...จินยองล่ะชอบความดื้อนี้จริงๆเลย...
“หึงรึไงครับ หืม?”
แจบอมปัดมือบาร์เทนเดอร์คนเก่งออกจากใบหน้าตัวเอง ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ทำท่าทีเฉยเมยไม่สนใจการก่อกวนของจินยองต่อไป
...ก็แค่ท่าทางล่ะนะ...
ผู้จัดการคนเก่งถอนหายใจกับความหลงตัวเองของคนตรงหน้า โบกมือไล่ส่งๆ นึกรำคาญอีกคนจะแย่
“ฉันหมดคำพูดกับนายจริงๆ ถ้าหมดธุระก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”
“คุณไม่พูดก็ได้ แค่ร้องเพลงเพราะๆใต้ร่างผมทุกคืนก็พอ”
“ไอ้! จินยอง!”คราวนี้แจบอมถึงกับสติหลุด
ลุกขึ้นโยนแฟ้มงานใส่ร่างโปร่งที่กระโดดหลบหัวเราะชอบใจจนใบหน้าหล่อเหลาขึ้นรอยยับเล็กๆ
“เฮ้ๆๆ อย่าทำร้ายร่างกายกันสิครับ คุณผู้จัดการ”
“ออกไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่ฉันจะไล่นายออก!”แจบอมตวาดกร้าว ชี้นิ้วไปประตูทางออก ส่วนมืออีกด้านถือแฟ้มใหญ่อีกแฟ้มเตรียมไว้ขว้างระบายความโมโหร้ายออกไปทุกเมื่อ
จินยองยกมือยอมแพ้ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม
ค่อยๆเฟดตัวออกไปจากห้องช้าๆด้วยท่าทางที่ยังทำให้เส้นเลือกในสมองแจบอมแทบแตกออกมาอยู่มะรอมะร่อ
แจบอมโยนแฟ้มลงบนโต๊ะ ทรุดนั่งลงไม่ดูตาม้าตาเรือ
ไม่ได้ดูว่าเก้าอี้ทำงานเลื่อนออกไปไกลตอนที่ผุดลุกขึ้น กลายเป็นว่าร่างทั้งร่างทรุดลงไปเต็มแรง
เอาก้นลงพื้นได้ยินเสียงลั่นในหูดังกรอบใหญ่ ร้องโอ๊ยลั่นห้อง เจ็บจนน้ำตาเล็ด
แต่ก็ไม่ได้มีกระดูกหักหรืออะไร อาจจะแค่ฟกช้ำพอให้นั่งไม่สะดวกอีกวันสองวัน
แจบอมทั้งโมโหทั้งเจ็บ ทิ้งปากกาในมือ นอนแผ่ลงกับพื้นสบถงึมงำวางแผนในใจ
“ฉันต้องเอานายออกให้ได้ ปาร์ค จินยอง โว้ยยย!!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น