[EREBUS] 14




~ 14 ~












          ลูซิเฟอร์วางหนังสือเล่มโตลงบนโต๊ะข้างโซฟา มันเป็นหนังสือที่ดีแต่น่าเสียดายที่ผู้อ่านมันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะอ่านมันจนจบ เปลือกตาบางหลับลงพร้อมถอนหายใจยาว มือสวยกดเปลือกตาหนักอึ้ง รู้สึกเมื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะเขากังวลเรื่องของแจ็คสันมากจนเกินไป จนป่านนี้มนุษย์ในร่างคูสิทก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้องนอนเลย

จิตใจมนุษย์นั้นแสนอ่อนแอและเปราะบาง หากถูกทำลายไปเพียงครั้งเดียว อาจต่อกลับมาเป็นสภาพเดิมไม่ได้อีก เรื่องนี่เทพตกสวรรค์อย่างลูซิเฟอร์รู้ดี ก็แค่หวังให้จิตใจของคนตัวเล็กพักฟื้นและให้อภัยเขาได้ในสักวัน...

เขาก็แค่หวัง...

แอ๊ด

เปลือกตากระชากเปิดขึ้นมามองบานประตูที่กำลังถูกเคลื่อนเปิดออกช้าๆ ดวงตากลมโตที่คุ้นเคยมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มลงมองพื้น วันนี้แจ็คสันใส่ชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำและกางเกงขายาวสีเดียวกันอย่างที่เจ้าตัวต้องการและขอร้องผ่านตัวอักษรมาให้เขาเมื่อวันก่อน มือขาวกำประตูไว้แน่นขณะทำใจเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา

“ผมอยากเล่นน้ำ”

“...”

มาร์คยอมรับว่ามึนงงอยู่ไม่น้อย อยากเล่นน้ำแล้วมาบอกเขาทำไมกัน ลองคิดดูดีๆแล้ว แจ็คสันคงหมายถึงพวกทะเลสาบหรือทะเลสาบ ไม่ใช่อ่างอาบน้ำอย่างทุกวันแน่ๆ แสร้งหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง

“ทะเลที่เอริบัสเล่นไม่ได้หรอกนะ”

ตาสวยละจากตัวหนังสือมาสนใจเรียวเท้าเปล่าเปลือยที่ก้าวเข้ามาใกล้

“อยากเล่นน้ำ...”

ประโยคเอาแต่ใจดังขึ้นอีกครั้ง หนังสือในมือร่างสูงถูกชิงออกไปวางบนโต๊ะข้างโซฟาอีกครั้ง แจ็คสันอยู่ห่างจากเขาแค่เอื้อมมือถึง ระยะห่างอันน้อยนิดในช่วงหลายสัปดาห์ทำให้มาร์คได้กลิ่นสบู่อ่อนๆของร่างตรงหน้า เพิ่งอาบน้ำแต่อยากเล่นน้ำเนี่ยนะ?

เอื้อมมือคว้าเอาร่างนุ่มนิ่มตรงหน้ามานั่งบนตัก แจ็คสันสะดุ้งตกใจเกร็งตัวแข็งรีบจับมือร่างสูงที่เกาะอยู่บนเอวตัวเองออก หูหางสะบัดขู่ตามสัญชาตญาณระวังภัย มาร์คกักตัวอีกคนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถึงแม้เล็บแหลมๆนั่นจะจิกแขนเขาจนเลือดซิบก็เถอะตาม

ตาสวยจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง

“ปล่อยผมนะ!

“...”

ร่างสูงปล่อยมือให้คูสิทตัวน้อยกระโดดหนีไปเกาะอยู่หลังโต๊ะทำงาน ทั้งหูทั้งหางตั้งชัน ตาคมดุวาบจ้องเขม็ง ท่าทางไม่ต่างจากสุนัขเวลาขู่ ขยับตัวหนีร่างสูงที่ลุกขึ้นจากโซฟา

“จะไปเล่นน้ำไม่ใช่เหรอ...ตามมาสิ”






แจ็คสันค่อนข้างแปลกใจที่เห็นว่ามาร์คไม่แสดงท่าทางหงุดหงิดกับคำขอร้องไร้เหตุผลของเขาเลย ร่างสูงสง่าลุกขึ้นเดินนำเขาออกไปจากห้องโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคนชวน แจ็คสันเกาหัวแกรกๆขณะเดินตามมาร์คไป

“คุณจะพาผมไปไหน”

“แล้วเจ้าขอข้าว่าอะไรล่ะ”

แจ็คสันเม้มปากมองหลังของคนตรงหน้างอนๆ เดินตามไปเงียบๆไม่พูดอะไรอีก ในหัวก็กำลังนึกถึงคำพูดของเจอาร์ที่มาเยี่ยมเมื่อวันก่อน

“นายไม่เบื่อจะอยู่แต่ในห้องเหรอ”ร่างบางของชายหนุ่มนามว่าจูเนียร์เลื้อยไปตามโซฟาสีขาวที่ตนเสกออกมาเมื่อสามนาทีก่อน ดวงตาเรียวรีเหมือนแมวจ้องมองเจ้าหมาดำที่นอนกลิ้งไปมาบนเตียง แจ็คสันเงยหน้าขึ้นมามอง ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วกลับลงไปนอนกลิ้งใหม่

“ก็เบื่อ แต่ในเอริบัสนี่มีอะไรให้ฉันทำรึไงล่ะ? นอกจากกิน อาบน้ำ นอนแล้วก็ตื่นมากินอีกที”

“ขอมาร์คสิ”

พอพูดถึงชื่อนี้แจ็คสันก็ผงกหัวมามองจูเนียร์งอนๆ กลิ้งตัวไปมุดในผ้าห่มผืนหนาหลบคำถามที่จะตามมา

“ยังไม่หายโกรธหมอนั่นอีกเหรอ”

“นายพูดคำนี้มาสิบรอบแล้วนะ!

“ก็มันน่ารำคาญนี่หว่า เรื่องมันก็เกิดมานานแล้วนะ แถมมาร์คยังตามใจนายเสียขนาดนี้ ยกโทษให้หมอนั่นเถอะ เห็นมาร์คหงอยแล้วมันไม่ใช่ว่ะ”

พูดไปก็เงียบ จูเนียร์เลยฉุนกึกเดินไปกระชากผ้าห่มผืนหน้า ดึงข้อมือขาวให้ลุกขึ้นมาคุยหันดี แจ็คสันทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ

“โกรธจนยกโทษให้ไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“...ก็หายโกรธแล้ว...แต่...”แจ็คสันอ้อมแอ้มตอบ ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับจูเนียร์

“แต่อะไร?”

“กลัวอ่ะ...”

“กลัว? แล้วกลัวอะไร ถ้านายไม่ยอมพูดออกมาให้หมดฉันจะกลับไปแล้วนะ”ซักไซ้อย่างนึกหงุดหงิดที่อีกคนไม่ยอมจะพูดให้มันชัดเจนเสียที

“ก็...กลัวมาร์คทำร้ายอีกอ่ะ มันก็หายโกรธแล้วหรอก แต่พอเข้าใกล้หมอนั่นมันก็อดระแวงไม่ได้อ่ะ”ตอบออกมาพรวดเดียว หน้าเน่อแดงก่ำ รู้ตัวว่าเหตุผลตัวเองค่อยข้างน่าอายก็เลยไม่กล้าพูดออกมานั่นไง ส่วนปฏิกิริยาตอบรับของจูเนียร์ก็อย่างที่คิด ...หัวเราะไงล่ะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่กลัวเรื่องอย่างว่าขนาดนั้นเลยรึไงจ๊ะสาวน้อย”เอ่ยกระเซ้าให้แก้มกลมแดงจัดขึ้นไปอีก แจ็คสันผลักไหล่จูเนียร์มองค้อนๆ

“ไม่โดนหมอนั่นกลายร่างเป็นมังกรปีกสีขาวตอน...นายไม่รู้หรอก”

“ปีกสีขาว?...ฮ่าฮ่าฮ่า”จูเนียร์หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้หัวเราะจนแทบจะตกเตียง ดีที่แจ็คสันดึงเอวบางๆนั่นขึ้นมาก่อน มองคนที่เอาแต่หัวเราะเหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในโลกงงๆ จะหัวเราะอะไรนักหนา

“หมอนั่นมันโง่ชะมัด...โอเคๆ ฉันมีแผนลองใจมาร์ค สนใจบ้างไหมล่ะ?”



จากนั้นจูเนียร์ก็วางแผนให้เขาบอกให้มาร์คพาไปเล่นน้ำนี่แหล่ะ...

ทางเดินยาวสิ้นสุดตรงทางลงบันได แจ็คสันชะโงกหน้าไปมองงงๆ เพราะครั้งก่อนที่เขาสำรวจปราสาทก็ไม่เห็นว่าจะมีบันไดอยู่ตรงนี้ เดินไปเดินมาก็เริ่มหอบ อาจเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อยู่แต่ในห้องนอนเกือบเดือน พอมาเดินไกลๆแบบนี้ก็เหนื่อยใช่ย่อยเหมือนกัน

จู่ๆมาร์คก็หยุดเดิน แจ็คสันเกือบเดินชน ดีที่หยุดเท้าไว้ทัน เงยหน้ามองมาร์คที่หันกลับมาจ้องเขางงๆ

“หยุดทำไม ถึงแล้วเหรอ?”

“...”

ร่างสูงส่ายหน้าเบาๆ เดินไปนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างบานหนึ่ง แจ็คสันหมุนไปหมุนมาไม่เข้าใจว่ามาร์คหยุดทำไม แต่เพราะเมื่อยเป็นทุนเดิมก็เลยไม่ได้ท้วงอะไรอีก นั่งจุ๊มปุ๊กมันอยู่ตรงนั้นรอให้คนนำทางพาเดินต่อ

...รึจริงๆแล้วมาร์คเห็นว่าเขาเหนื่อยเลยหยุดให้รึเปล่านะ...

รีบลุกขึ้นตามมาร์คที่จู่ๆก็ลุกออกไป เกือบเดินตามไม่ทันแหนะ

...จะทำอะไรก็บอกกันหน่อยไม่ได้รึไงนะ...




“ถึงแล้ว...”

ในที่สุดมาร์คก็เอ่ยคำนี้ออกมา ตัวคูสิทน้อยที่หอบน้อยๆมองตามสายตาของร่างสูงไปก็พบประตูขนาดใหญ่ตรงหน้า ประตูสีเงินสลักเป็นลวดลายเถาวัลย์ไม้ประณีตงดงามชดช้อยราวกับไม่ใช่โลหะ งามจนแจ็คสันยังตะลึง ไม่นึกว่าจะมีอะไรที่สวยงามแบบนี้อยู่ในปราสาทเงียบเหงาแบบนี้ด้วย

“เปิดประตูสิ...”

“ผมน่ะเหรอ?”

“ใช่...มีเจ้าคนเดียวที่เปิดได้...เปิดสิ”

แจ็คสันขมวดคิ้วไม่เข้าใจที่มาร์คพูด อะไรคือเขาเปิดได้คนเดียว? แต่ไม่อยากจะสงสัยนาน เดินไปยืนอยู่ต่อหน้าประตูที่สูงเหนือหัวเขาไปมากโข ใหญ่ขนาดนี้เขาจะเปิดไดยังไงกันนะ?... ลองเอามือไปแตะตรงรอยแยกประตูเบาๆเพื่อหยั่งน้ำหนัก แต่กลายเป็นว่าบานประตูกลับแง้มเปิดออกทั้งที่เขายังไม่ต้องออกแรงอะไรเลย

กลิ่นหอมจรุงลอยโชยฟุ้งออกมาจากบานประตู กลิ่นที่แสนคุ้นเคยจนน่าประหลาดใจ ยิ่งประตูเปิดออกก็ยิ่งแสดงให้เห็นภาพอันแสนงดงามด้านใน ราวกับหลุดเข้ามาอีกโลก ท้องฟ้าสีครามตัดกับเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ ต้นหญ้าสีเขียวขจีโบกพลิ้วไปตามสายลมอ่อนโยนที่พัดผ่าน สีสดสวยหลากสีละลานตาของดอกไม้หลายพันธุ์ตัดกับสีเขียวของพื้นหญ้าราวกับภาพงานเขียนอันแสนวิจิตรของจิตรกรระดับโลก แต่ที่เด่นที่สุดของที่นี่คงจะเป็นต้นไม้สีขาวบนเนินเตี้ยๆนั่น มันเป็นต้นไม้ที่แปลกประหลาดเพราะทั่วทั้งต้นทอประกายแสงอ่อนๆตลอดเวลา

น่าเศร้าที่ต้นไม้ที่สวยงามขนาดนี้กลับเหลือใบไม้ติดกิ่งก้านเพียงไม่กี่ใบ

“ที่นี่มัน...”

เหมือนมีอะไรดลบันดาลให้แจ็คสันเดินเข้าไปในสวน กลิ่นหญ้า กลิ่นดอกไม้และสีสันอันมีชีวิตชีวาที่ไม่ได้พบมานานทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสความนุ่มของหญ้าได้อย่างเต็มที่ ความรู้สึกแย่ๆที่ผ่านมาแทบจะปลิวไปกับสายลมอ่อนโยนที่พัดแผ่วผ่านเรือนกาย

แจ็คสันกำลังยิ้ม

เขาแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังยิ้ม แต่พอรู้ตัวก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม คงเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยทำ จมูกรั้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหลับตาลง ซึมซับความงดงามนี้ด้วยทุกโสตประสาทที่มีให้มากที่สุด

ความรู้สึกบางอย่างกำลังแผ่ซ่านไปทั้งร่าง คลอบคลุมไปถึงจิตใจและสติสัมปชัญญะ ดวงตาโตปรือลืมขึ้นจ้องมองต้นไม้สีขาวบนเนินเขานิ่ง ขาทั้งสองข้างขยับก้าวเดินขึ้นไปบนเนินเอง ยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้หัวใจก็ยิ่งเต้นลิงโลดด้วยความยินดีอย่างไร้สาเหตุ

มือที่เอื้อมออกไปสั่นระริก ทั้งๆที่ก็แค่ห่างกันไม่ถึงวาแต่กลับรู้สึกยาวนานเหมือนนานนับปี แต่จู่ๆความอุ่นร้อนของมืออีกคู่ก็ยึดมือเขาไว้

แจ็คสันเงยหน้าขึ้นมองมาร์คที่ไม่รู้มากอดเขาจากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาสีม่วงสวยจ้องมองเขาในขณะที่มือแกร่งยึดมือเล็กไว้แน่น สายตาที่มองมาฉายแววกังวลแต่ก็พราวระริกลิงโลด สองอารมณ์ที่ปรากฏในดวงตาทำให้แจ็คสันเกิดลังเลขึ้นมาชั่วขณะ

“จับไม่ได้เหรอ?”

เสียงทุ้มต่ำอ่อนหวานมากกว่าทุกทีเอ่ยข้างใบหูเขา

“ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า...”

“ว่า?...”แจ็คสันเอียงคอถามอย่างนึกสงสัย แปลกที่เขาไม่กลัวร่างสูงแล้วทั้งที่ก่อนจะเข้ามาก็ระแวงแทบตาย

สัมผัสนุ่มจากริมฝีปากบางแนบบนกลางกระหม่อมเขาเบาๆ พร้อมถ้อยคำสั้นๆที่แทบทำให้คนได้ยินแทบหยุดหายใจ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ได้โปรดจงจำได้เถิด ยอดดวงใจ...ว่าข้ารักเจ้า


ไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจสิ่งใด มือแกร่งก็บังคับมือขาวให้วางทาบไปกับลำต้นไม้และผละตัวออกไปยืนห่างๆ แจ็คสันจ้องมองภาพแสงสีขาวที่จู่ก็สว่างวาบราวกับการระเบิดของอะไรบางอย่างภายในลำต้นไม้ นิ้วที่แตะอยู่บนลำต้นกำลังลำเลียงอะไรบางอย่างเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าหลาก มันมีปริมาณมากเสียจนรู้สึกอยากอาเจียน หัวสมองมึนเบลอ สติที่แจ่มใสเมื่อครู่เลือนรางลงและดับวูบลงในที่สุด...






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*