[ตำหนัก] 11
ตำหนักร้อนบำเรอรัก
11
ตั้งแต่ค่ำคืนนั้นผ่านไป
แจ็คสันก็อยู่ในความดูแลของเหมยหลิน
หญิงสาวผู้เป็นนายหญิงน้อยของตำหนักเลี่ยงหรงดูแลเขาดีกว่าอี๋เอินราวล้านเท่า
เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกิน การใช้ชีวิตก็สะดวกสบาย มีคนรับใช้ไว้ใช้สอย
พื้นที่ก็ไม่โดนกักขัง มีเสรีภาพที่จะเดินเข้าออกห้องได้ตามสะดวก
ห้องใหม่ที่หญิงสาวจัดไว้ให้ก็ใหญ่กว่าห้องเล็กท้ายตำหนักเกือบสามเท่า
เขามีความสุขดี แม้จะต้องเปลี่ยนสถานนะจากสนมมาเป็นตุ๊กตาของหญิงสาวก็ตาม
“เจียเอ๋อ เอาตัวนี้ๆ”
“เอ่อ...”ชายหนุ่มทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อเห็นกระโปรงสีชมพูหวานแว๋วทอลายดอกไม้มาให้เขาใส่
มือขาวยื่นไปรับมันมาด้วยความจำยอมเมื่อเผลอสบสายตาสวยเปี่ยมเสน่ห์นั่น
“ท่านเหมยหลิน คือ...นี่มันชุดผู้หญิง จะให้ข้าใส่จริงๆหรือ?”
“ตอนอยู่กับพี่อี๋ยังใส่อยู่เลย”หญิงสาวยู่หน้าเอาแต่ใจ
“นั่นมัน...” ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา...
พูดได้แต่ในใจ ถอนหายใจหันหลังเดินเข้าไปหลังม่าน
ถอดเสื้อตัวเก่าออกสวมชุดบางเบาเก้ๆกังๆ ถึงจะเคยใส่ชุดพวกนี้มาแล้วแต่ก็ไม่ได้ประณีตในการใส่มากเท่าใดนัก
เพราะถึงจะใส่ดีขนาดไหนก็ไม่มีใครได้เห็นนอกจากอี๋
แม้แต่นางสนมที่เอาของมาให้เขายังเห็นแต่เขาในสภาพเปลือยกายหลังโดนอี๋กลั้นแกล้งเสร็จแล้วซะส่วนมาก...คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็หน้าร้อนผ่าว
เขาจะคิดทำไมเนี่ย!
ค่ำคืนนั้นแม้เจียเอ๋อจะหลับไปในอ้อมกอดของอี๋เอิน
แต่ชายหนุ่มเจ้าเมืองก็หายไปราวสายลมในยามฟ้าสาง
เจียเอ๋อพยุงกายขึ้นดึงเสื้อคลุมตัวนอกที่คับคล้ายคับคลาจะเป็นอี๋เอินไว้แนบกาย
ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการจะทำอะไร ถึงได้ยื่นขอเดิมพันแบบนั้นให้เขา
แต่ในเมื่อราชายื่นเนื้อให้เสือแล้ว แม้จะเป็นเสือที่โดนตัดเล็บจนกุด
สัญชาตญาณสัตว์ป่าก็ยังอยู่ครบ ชาติเสือไม่ทิ้งลายเสือ เจียเอ๋อก็ไม่คิดจะกลัวเกรงและปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
เดาใส่ๆแต่งๆจนเสร็จก็เดินออกมาให้หญิงสาวชม
เหมยหลินยิ้มกว้างหัวเราะคิกคักเบาๆ มือบอบบางชี้ตรงมาที่เขา
“ตรงนั้นมันต้องสวมทับข้างนอกต่างหากล่ะ ไม่ต้องไปมัดรวมอย่างนั้นหรอกนะ”
แก้มกลมแดงเรื่อ มือไม้วางไม่ถูก ยังไงเสียเขาก็เป็นชาย
พอโดนหญิงงามราวกับนางฟ้าเอ่ยล้อก็ต้องเขินเป็นธรรมดา หลบเข้าหลังม่าน
มัดๆแก้ๆเสียหลายรอบ
“เจียเอ๋อ
ไม่ต้องแล้วล่ะ”สงสัยเหมยหลินจะรอนานเกินไปถึงได้บอกแบบนั้น “เปลี่ยนชุดเป็นชุดเดิม
แล้วไปฝึกกระบี่กับข้ากัน”
“กระบี่หรือ?”อดโผล่หน้าออกไปถามไม่ได้ เขาโดนหญิงสาวดุให้ทันที
“แต่งตัวให้เสร็จก่อนสิ! ยังไงเจ้าก็เป็นชายนะ”
เจียเอ๋อรีบกลับไปหลังม่าน แต่งตัวใหม่เป็นพัลวัน
แต่เขาโผล่ไปแค่หน้าเองนะ แล้วก็ในห้องก็มีทั้งนางกำนัล ทั้งทหารองครักษ์อีก
แต่คงเพราะเหมยหลินเป็นหญิงชั้นสูง คงเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรจริงๆนั่นแหละ
ว่าแต่...ฝึกกระบี่?...หญิงสาวแสนสวยบอบบางราวกับกลีบดอกไม้อย่างเหมยหลินนี่น่ะหรือ?
“ท่านเหมยหลินจะฝึกกระบี่กับข้าหรือ”เจียเอ๋อถามหลังแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ทำไม? ข้าเป็นหญิงจะเป็นกระบี่ไม่ได้เลยหรือ”หญิงสาวทำหน้าเกี่ยงงอนอย่างน่ารัก
หันไปรับปลอกกระบี่สลักเสลาจากงาช้างเลอค่างดงามมาไว้ในมือ มือบอบบางจับด้ามดึงออกมาช้าๆ
ปลายกระบี่ตวัดเป็นเส้นครึ่งวงกลมไปหยุดอยู่ข้างตัวหญิงสาวได้องศางดงาม
แต่เสียงหวีดที่ทิ้งไว้สั่นสะเทือนอากาศนั้นเป็นสัญญาณว่าในความงดงามนั้นเปี่ยมไปด้วยความอันตรายแสนร้ายกาจ
...ไม่ธรรมดา แค่การชักกระบี่ยังดูอันตรายขนาดนี้เลยหรือ...
เจียเอ๋อชักเกรงว่าตัวเองอาจต้องรับมือยากกว่าประลองกับอี๋เอินเสียแล้ว
มิใช่ว่าเหมยหลินเป็นหญิงชั้นสูงเท่านั้น แต่ฝีมือของนางไม่น่าจะยิ่งหย่อนกว่าพี่ชายของนางเลย
“เอาล่ะ เจียเอ๋อ ข้าจะสอนเจ้า
ถึงวิธีที่จะสู้กับท่านพี่ของข้าได้...แต่บอกไว้ก่อน
ว่าข้าก็ไม่อยากให้เจ้าชนะหรอกนะ”
“...”เจียเอ๋อยืนนิ่ง ไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ
“ข้าดูคนออก และข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี...เอาล่ะ
ไปเถอะ เดี๋ยวแดดจะร่มไปมากกว่านี้”
เจียเอ๋อก้าวเท้าเดินตามหญิงสาวที่ขนาบข้างทั้งนางกำนัลและทหารองครักษ์
ดูยิ่งใหญ่ราวกับกำลังจะไปออกรบ จะไปไหนมาไหนจะต้องมีคนติดตามเยอะขนาดนี้เลยหรือ?
แต่จะว่าไปครั้งก่อนที่เจอเหมยหลินก็อยู่คนเดียวนี่ หรือเพราะว่าอยู่กับเขา
นางเลยต้องมีคนคุ้มกัน?...อืม ก็สมเหตุสมผลดี
ลานหินกว้างวงกลมแบ่งสีหินดำขาวเป็นรูปหยินหยางยกพื้นสูงเป็นสถานที่ฝึกกระบี่ในวันนี้
ท้องฟ้าด้านบนยังครึ้มมัว ปุยเมฆสีเทาลอยเลื่อนเปลี่ยนรูปทรงไปช้าๆ
อากาศเย็นๆในหน้าหนาวกลับพอเหมาะในยามบ่ายเช่นนี้ ทันทีที่เหมยหลินและเจียเอ๋อก้าวขึ้นไปบนลานยกพื้น
เหล่าทหารองครักษ์ก็ย้ายไปประจำจุดล้อมทุกทางไม่ต่างจากรั้ว
เจียเอ๋อสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตน มือขาวจับกระบี่ในมือแน่น รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เหมยหลินก็รับรู้ถึงความไม่สบายใจของเขา นางจึงหันไปบอกเหล่าผู้ติดตามให้ออกไปจากลานประลอง
“มิได้หรอกขอรับ
ท่านอี๋เอินสั่งกระหม่อมให้ติดตามดูแลท่านเหมยหลินมิให้คลาดสายตาขอรับ”องครักษ์ผู้หนึ่งก้าวออกมาปฏิเสธคำสั่ง
หญิงสาวกลอกตา แสดงท่าทางเหนื่อยหน่ายออกมาเพียงเล็กน้อย
“นั่น นั่น นั่นและนั่น...”
มือบอบบางชี้ไปที่องครักษ์และนางกำนัลรายบุคคล “ข้าอนุญาตให้อยู่ที่นี่ได้
นอกจากนั้นออกไปจากบริเวณให้หมด คำสั่งข้า ข้ารับผิดชอบเอง”
บุคคลที่ไม่ได้โดนเลือกอึกอักนิดหน่อย
แต่พอหญิงสาวเปรยตามองดุก็รีบหลบหน้าหนีหายออกไปตามคำสั่ง ทำให้เจียเอ๋อรู้ว่าเหมยหลินนั้นโหดใช่น้อยเลย
ใครจะนึกว่าหญิงสาวแสนสวยน่ารักอ่อนหวานที่เขาเจอเมื่อครั้งแรกนั้นจะดุดันได้ถึงเพียงนี้
ออกจะเป็นที่กลัวเกรงของคนในตำหนักไม่แพ้พี่ชายเลยสักนิด
เมื่อคนในลานประลองน้อยลงแล้ว
เจียเอ๋อก็สบายใจมากขึ้น ถ้ายังเป็นอย่างเมื่อครู่เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะชักกระบี่
เหมยหลินถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกเหลือเพียงชุดข้างในที่ดูทะมัดมะแมงมากกว่า
เจียเอ๋อก็เพิ่งสังเกตว่านางแอบสวมกางเกงไว้ใต้กระโปรงตัวยาว
ที่อี๋เอินเคยบอกว่าตัวเองมีน้องชายนี่ท่าจะจริง...
...แล้วจะนึกถึงทำไม...
เจียเอ๋อสะบัดศีรษะไล่ความคิดแปลกๆในหัว
เงยหน้ามองเหมยหลินที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว เท้าซ้ายวาดกวาดมาด้านหน้า ทิ้งน้ำหนักลงด้านหลัง
มือบางตวัดกระบี่มุ่งตรงมาทางเขา
ดวงตาสวยมุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยเห็นจากหญิงคนไหน
“เจียเอ๋อ...ก่อนข้าจะสอนเจ้า
ข้าบอกก่อนว่าข้าไม่อยากให้เจ้าชนะ...”เหมยหลินกล่าว “แต่ท่านพี่อี๋เอินก็ควรได้รับบทลงโทษจากการกระทำขาดสติของตนเองเช่นกัน”นางขยับยิ้มตีความไม่ออกวูบหนึ่ง
เจียเอ๋อนิ่งไปพักหนึ่ง ชักกระบี่ออกมา
เสียงวูบหวีดแหวกอากาศบ่งบอกถึงพลังที่แข็งแกร่ง ไหล่ตั้งตรง
ขาทั้งสองข้างตั้งตรงระนาบเดียวกับไหล่ สมดุลทั้งสองด้านเท่ากัน
ดำเนินกำหนดลมปราณในร่างให้ไหลวนอย่าเป็นปกติ...ในเวลานี้เจียเอ๋อคือชาวยุทธผู้หนึ่ง...
ยามได้สัมผัสกระบี่ เจียเอ๋อจะกลับกลายเป็นชายหนุ่มผู้กล้าแกร่งผู้เดิม
เหมยหลินมองภาพนั้นแล้วแย้มยิ้มพอใจ วาดกระบี่เป็นครึ่งวงกลมวางเหนือสะโพกขึ้นมานิดหน่อยซึ่งตรงกับจุดลมปราณสำคัญที่ท้องพอดี
เป็นสัญญาณบอกว่าให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือ เอ่ยบอกอีกประการ
“ดังนั้น...จงเก็บเกี่ยวจากข้าให้ได้มากที่สุด
เพื่อตัวเจ้าเอง ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด...ข้าจะยอมรับการตัดสินของเจ้า”
เจียเอ๋อถอนลมหายใจออกแผ่วเบาทำสมาธิ
สูดลมหายใจเข้าลึกวาดย่อเข่าลงเล็กน้อย ขาด้านหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า หลังโน้มลงขณะที่กระบี่วางอยู่ข้างสะเอว
ท่าที่เขาใช้มาตลอด...ดวงตาโดทอประกายมุ่งมั่นแน่วแน่
“ข้าจะตั้งใจ...”
“ถ้าเช่นนั้นก็...รับมือ!!!”
เจียเอ๋อพยุงร่างกลับมาที่ห้องเพียงลำพัง
สภาพไม่ถึงขั้นสะบักสบอมแต่ก็น่วมมาพอสมควร มือขาวเปิดประตู ก้าวเข้าไปในนั้น
วางกระบี่ตรงโต๊ะใกล้ประตู ลากขาไปยืนนิ่งกลางห้องพลางถอนหายใจหนักหน่วง
ก้มมองดูเสื้อตัวเดิมขาดหลุดลุ่ยเป็นรอยบาดเนียนกริบก็หวาดเสียวจะแย่ ไม่อยากนึกถึงตอนถอดเสื้อออกมาดูบาดแผลชัดๆเลย
ทำใจอยู่สักพัก ก่อนจะปลดเชือกมัดสะเอวออก ร่นเสื้อลงมาช้าๆ
ใบหน้าขาวหยิบหยีร้องโอ๊ยทันทีที่ร่นลงมาถึงแขน...ส่วนที่โดนโจมตีมากที่สุด...ร้ายกาจจริงๆ
...แขนและมือเป็นจุดสำคัญในการออกกระบี่
ถ้าแขนบาดเจ็บ ทุกอย่างก็จบ...
ตากลมพนิจมองดูร่องรอยความเสียหายบนร่างกายตนเอง ยกแขนขึ้นมองดูผิวเนื้อขาวที่ปรากฏรอยแดงขีดเป็นเส้นๆคล้ายรอยขีดเป็นแนวเฉียงตลอดทั้งแนวแขน
เห็นแล้วก็ซี๊ดปากหวาดเสียว ไม่อยากนึกถึงตอนอาบน้ำเลยว่ามันจะแสบไปถึงกระดูกขนาดไหน
แต่จะไม่อาบก็แสนจะรำคาญเนื้อตัวแสนเหนอะหนะและกลิ่นเหงื่อไม่น่าพิสมัย
สุดท้ายก็ต้องข่มความเจ็บลากสังขารตัวเองเข้าไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำอยู่ดี
เสื้อตัวเดิมถูกถอดออกทิ้งๆขว้างๆบนพื้นห้องเพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่น่าจะนำกลับมาใส่ได้แล้ว
เดินไปหยิบเอาเสื้อตัวใหม่ในตู้ที่เหมยหลินสั่งให้นางกำนัลจัดไว้ให้มาเตรียมไว้
อดนึกไปถึงตอนยังอยู่ห้องเล็กท้ายตำหนักที่ต้องเปลือยร่างเป็นชีเปลือย ไม่ก็ใส่เสื้อเก่ากลิ่นตุๆแล้ว
ก็นับว่าที่นี่เปรียบเหมือนสวรรค์เล็กๆเลยทีเดียว
“ซี๊ดดด แสบๆๆๆๆๆ”เสียงแหบหวานร้องขณะหย่อนกายลงในอ่างน้ำอุ่น
สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความแสบร้อนจากบาดแผลบนร่าง กัดฟันรีบๆอาบน้ำให้เสร็จพอถือว่าอาบก็ก้าวออกจากอ่าง
ใช้ผ้าซับน้ำบริเวณแผลเรียบกริบนั้นอย่างทุลักทุเล
เจียเอ๋อได้ยินเสียงเปิดประตูและมีคนเดินเข้ามา
แต่เพราะคิดว่าเป็นนางกำนัลเลยไม่ได้สนใจมากนัก
จนเสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมาจากด้านนอก
“อาบน้ำเสร็จก็ออกมาให้ข้าทำแผลให้นะ”
“เฟิงจี!!!”
รีบประวีกระวาดโผล่ออกมาดูเจ้าของเสียง
ทั้งตกใจทั้งดีใจปะปนกันไปหมด
ยิ่งเห็นใบหน้าเหมือนแมวนั้นหันมายิ้มให้ยิ่งทำให้เจียเอ๋อรู้สึกราวกับตนกำลังฝันไป
“เอ้าๆ ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสิ ติดนิสัยตอนอยู่ห้องเล็กหรือไงเจ้าน่ะ”
เจียเอ๋อสะดุ้งหน้าแดงก่ำผลุบเข้าไปหลังม่าน หาเสื้อคลุมอาบน้ำสวมลวกๆไว้ก่อน
รีบเดินออกมาหาหมอหลวงประจำตำหนักที่ตนเข้าใจว่าโดนอี๋สั่งประหารไปแล้วในครั้งที่เข้าใจผิดกับตนเมื่อครั้งก่อน
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นชัดว่าร่างตรงหน้าคือร่างเนื้อ มิใช่ร่างวิญญาณ จิตใจก็ปลื้มปิติเดินไปสวมกอดเฟิงจีแน่น
“เจ้ายังไม่ตาย”
“ปากเจ้ามันอัปมงคลแท้ๆ มาแช่งข้าได้เช่นไร”หมอหลวงดันร่างเขาออก
ทำหน้าดุก่อนจะหัวเราะกว้างจนเห็นรอบยับบนใบหน้า
“ไปว่าเจ้าเมืองโรคจิตนั่นสิ
อี๋นั่นแหละที่บอกว่าฆ่าเจ้าไปแล้ว”
เฟิงจีฟังแล้วเบิกตากว้างแล้วหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
แทบจะกลิ้งไปกับพื้น หัวเราะจนหน้าแดงอย่างที่เจียเอ๋อก็ไม่เข้าใจว่าจำขำอะไรนักหนา
ยืนรอจนเฟิงจีพอใจแล้วถึงได้รับคำตอบเป็นสีหน้ากลั้นหัวเราะและน้ำเสียงเชิงล้อเลียนนิดๆ
“ท่านอี๋ผู้นั้นช่างหึงได้รุนแรงจริงๆ...ไม่เป็นไรหรอก
ข้าแค่ถูกส่งไปอยู่ที่อื่น เพิ่งได้คำสั่งเรียกตัวกลับมานี่เอง เอาล่ะ
เอาแผลมาให้ข้าดู แล้วลองเล่าให้ข้าฟังสิว่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่นั่นเกิดอะไรขึ้น”
เจียเอ๋อพยักหน้า นั่งลงบนเตียงให้เฟิงจีได้รักษาแผลได้สะดวกขึ้น
ระหว่างนั้นก็เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ที่อี๋กล่าวหาตนกับเฟิงจีว่ามีสัมพันธ์กัน
โดนทำร้าย โดนอี๋ลงโทษอย่างไร จนกระทั่งว่าทำอย่างไรถึงได้ย้ายมาอยู่ห้องนี้ได้
โดยมีหมอหลวงคอยเป็นผู้ฟังและผู้รักษาที่ดีตลอดการเล่า
“เจ้านี่ก็ช่างอดทนนะ”เฟิงจีเอ่ยออกมาหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด
หมอหลวงผู้เก่งกาจจัดอุปกรณ์ทำแผลเข้ากล่องยา “จริงๆข้าก็ไม่เคยเห็นอี๋จะขาดเหตุผลขนาดนั้นมาก่อนเหมือนกันนะ
เอ้า ลุกไปแต่งตัวได้แล้ว”
“ข้าก็ตกใจเหมือนกัน”เจียเอ๋อพยักหน้า ลุกขึ้นไปแต่งตัวหลังม่าน
ระหว่างนั้นก็คอยฟังไปด้วยว่าเฟิงจีพูดอะไร
“แต่คงเพราะเขา...ช่างเถอะ...ข้าไม่อยากไปติดสินความรู้สึกใคร”น้ำเสียงของหมอหลวงทำให้เขาเกิดความสงสัย
โผล่หน้าออกไปถามแล้วก็โดนมือเรียวผลักเข้าหลังม่านเหมือนเดิม
“แต่งตัวให้เสร็จเสียที มีคนรอเจ้าอยู่นะ”
“ใคร?”ถามขณะเก็บความเรียบร้อยของชายเสื้อและรองเท้า
“ไปถึงก็รู้เอง...”
“คนตำหนักนี้ทำไมชอบทำลับลมคมในตลอดเลยนะ
พูดออกมาเลยไม่ได้รึยังไง”บ่นเสียงไม่เบานัก เดินออกมาหลังม่าน
ไม่ลืมหยิบกระบี่เหน็บไว้ข้างเอว มือขาวยกขึ้นรวบเส้นผมยาวมัดเอาไว้ให้เรียบร้อย
มองหมอหลวงที่เปิดประตูรอไว้ก่อนแล้ว
“ความลับมันย่อมมีเสน่ห์มากกว่าความโผงผางนะ”
“หึ...ไม่อยากให้ข้ารู้ก็พูดเถอะ”
เฟิงจีพาเขาออกมาที่สวนใหญ่หน้าตำหนัก
เป็นพื้นที่ที่เขาไม่เคยถูกอนุญาตให้ออกมาไกลขนาดนี้ได้หากยังอยู่กับอี๋เอิน
เจียเอ๋อมองดูรอบข้างอย่างสนอกสนใจ ไม้ดัดงดงามถูกปลูกวางไว้มุมต่างๆของสวน
ไม้ทุกชนิดในสวนนี้ล้วนมีชื่อเป็นมงคลและหายาก มองก็รู้ว่าถูกดูแลอย่างดี
ยิ่งในฤดูหนาวเช่นนี้ เป็นโชคดีเหลือเกินที่หิมะยังไม่ตกลงมา เป็นโอกาสให้เขาได้มองเห็นความงดงามของสวนได้
“สวนนี้คือสวนฤดูหนาว สวนที่จะเปิดเพียงฤดูนี้เพราะต้นไม้ในสวนเติบโตได้ดีในอากาศหนาว”เฟิงจีอธิบาย
เขาหยุดเดินและชี้ไปทางต้นไม้ต้นใหญ่ตรงปลายสวน
“มีคนรอเจ้าอยู่ตรงนั้น
เจ้ามีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่หนี
คนรักศักดิ์ศรีอย่างเจ้าคงไม่ผิดสัญญากับอี๋ เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว”
“ขอบคุณนะ เฟิงจี”เจียเอ๋อหมายถึงทุกๆอย่างที่ผ่านมา
หมอหลวงคนนี้ถือเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาในตำหนักแห่งนี้
เป็นคนที่แม้ไม่อยู่ข้างๆแต่ก็คอยช่วยเหลือเขาตลอดมา
เฟิงจีก็เข้าใจในความหมายนั่นดี
“ไม่เป็นไร ข้าก็ถูกชะตากับเจ้า”
เฟิงจีเดินมายีหัวชายหนุ่มส่วนสูงน้อยกว่าด้วยความเป็นดู
หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าคมหวานทำหน้าไม่พอใจ พอได้แกล้งอีกคนแล้วก็เดินจากไป
ทิ้งให้เจียเอ๋อลูบศีรษะจัดผมทำหน้ายุ่ง บ่นงึมงัมในลำคอ ตากลมละจากเฟิงจีหันไปมองต้นไม้ใหญ่
จุดนับพบที่ถูกบอกกล่าวมา มองจากตรงนี้ไม่เห็นรายละเอียดชัดนัก
แต่ก็คงเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน หากสายตาเขาไม่ได้ฝ้าฟางจนเกินไป
ชายหนุ่มสะบัดแขนจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
เดินเข้าไปใกล้ร่างปริศนานั่นมากขึ้น
แต่ยิ่งใกล้หัวใจสงบนิ่งก็ยิ่งเต้นรัวเร็วยิ่งขึ้น หญิงสาวในชุดหน้าหนาวยืนอยู่ใต้ร่มไม้กำลังยืนหันหลังให้เขา
โครงร่างที่แม้ไม่ได้เห็นมานานขนาดไหนก็ยังคุ้นเคยคุ้นตา
อ้าปากจะเรียกชื่อก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆความทรงจำในการเจอกันครั้งก่อนพุ่งขึ้นมาแทรกให้เกิดความกังวลเกาะกุมจิตใจ
...นางจะยังรังเกียจเขาอยู่รึเปล่า จะรับเขาได้ไหม...
...เขาผู้เป็นพี่ชาย...
.
.
.
“พี่เจียเอ๋อ...”น้ำเสียงหวานใสเอ่ยทักขึ้นมาก่อน
เจ้าของนามหยุดนิ่ง เงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวของตนเอง
พลันความกังวลทั้งหลายก็สลายไปราวกับควันไฟที่ถูกลมเป่าพัด ดวงตานั้น...ดวงตาที่มีกระแสของความคิดถึง
ความอาทรและความเคารพ ไม่มีเจือแม้แต่เศษเสี้ยวความรังเกียจอย่างที่นึกวิตก...นั่นคือ
เกาลูน น้องสาวของเขา
“เกาลูน!”
ทั้งสองวิ่งโอบกอดกันแนบแน่น เจียเอ๋อลูบเส้นผมนิ่มของน้องสาวอย่างทะนุถนอม
เกาลูนร้องไห้หนัก เช่นเดียวกับเขาที่เริ่มปล่อยสายธารใสลงมาจากดวงตา
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเสียใจ แต่มันคือความปิติยินดีว่าในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง
“พี่เจียเอ๋อ ข้าขอโทษ ฮืออออ
ข้าขอโทษที่ตอนนั้นข้าวิ่งหนีออกมา ฮืออออ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านพี่”
“ข้าก็คิดถึงเจ้า”ผู้เป็นพี่ชายพร่ำกล่าว
ก่อนหยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยความกังวลของตัวเองแก่น้องสาว “ข้านึกว่า...เจ้าจะรังเกียจข้าไปแล้ว”
“ไม่!
ข้าไม่เคยรังเกียจท่านพี่นะ!”หญิงสาวผละตัวออกมาส่ายหน้าปฏิเสธจริงจัง
“ข้าแค่ตกใจ ตั้งตัวไม่ทัน ข้าก็เลยหนีออกมาก่อน แต่ข้าไม่ได้รังเกียจท่านพี่จริงๆนะ”
“ข้าเชื่อแล้วเด็กโง่ เลิกร้องไห้เสียที”เจียเอ๋อขยับยิ้มเอ็นดู
เช็ดน้ำตาบนใบหน้าน้องสาวตัวเองยิ้มๆ
“ท่านพี่ก็ร้องไห้เหมือนกันนั่นแหละ”นางก็เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาเขาคืน
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะสุขใจ
สายสัมพันธ์ของพี่น้องของพวกเขาไม่มีวันขาดสะบั้น เจียเอ๋อจูงมือนางเข้าไปในร่ม
อย่างน้อยก็ยังดีกว่าตากลมหนาวอยู่ในสวนนั้น
พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละฝั่ง เจียเอ๋อรับรู้ว่าหลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในตำหนักเลี่ยงหรง
เจ้าบ้านตระกูลหวังหรือพ่อของเขานั้นก็ได้กลับตัวกลับใจ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันใดๆอีก
ทุกคนช่วยฟื้นฟูตระกูล ทั้งซ่อมแซมบ้านและขยันก่อร่างสร้างตัวใหม่
ดีว่าพวกเขาไม่ถึงกับต้องเริ่มจากศูนย์
เพียงแต่ต้องบำรุงเพิ่มเติมเข้าไปใหม่ก็เท่านั้น ตอนนี้ทุกคนก็สบายดีและคิดถึงเขามาก
“แล้วเจ้าได้บอกเรื่องที่เจอข้าเมื่อครั้งก่อนให้ท่านพ่อท่านแม่ฟังหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ ข้าไม่ได้เล่า”เธอบอกอย่างใสซื่อ “ข้าไม่รู้ว่าความจริงคืออย่างไร
ข้าเลยไม่กล้าตีโพยตีพายไปก่อน ข้าบอกพวกท่านพ่อว่าท่านพี่มาอยู่ที่นี่คอยปรนนิบัติท่านอี๋เท่านั้นเอง”
เจียเอ๋อยิ้มและไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนี้ต่อ
เงียบไปสักพัก ก่อนจะบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอีกไม่กี่วัน
“ข้าอาจจะได้กลับไป...”
“จริงหรือคะท่านพี่”เกาลูนมีสีหน้าดีใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
ก่อนจะโดนชายหนุ่มผู้เป็นพี่เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“ถ้าข้าชนะท่านอี๋เอิน...”
“...”
“ข้ารู้ มันเป็นเรื่องยากจะหวัง เขาเก่งเกินไป...แต่นั่นก็เป็นหนทางเดียวที่พี่จะได้ออกไปจากที่นี่”
“ที่นี่ท่านไม่มีความสุขเหรอ?”หญิงสาวถามประสาซื่อ
เจียเอ๋อส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เดินเข้าไปลูบผมหญิงสาวด้วยความเอ็นดู
“ไม่มีที่ไหนมีความสุขได้มากเท่าบ้านของเราหรอกนะ เกาลูน”
ควับ! ชิ้ง! ครึก!!
กระบี่เล่มบางตวัดวาดฟันหินกล้าเป็นแสงวูบหนึ่งและหายไป
ชายหนุ่มเจ้าของกระบี่รวบมันเก็บเข้าฝัก หมุนตัวเดินออกมารับผ้าจากนางกำนัลขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า
ฟังเสียงหินก้อนใหญ่พังทลายหลุดร่วงไม่เหลือเค้าโครงความแข็งแกร่งไว้เบื้องหลัง
ฝีมือที่ใครเห็นก็ต้องหวั่นสะพรึงและเกรงกลัว
“เอาจริงเชียวนะ เจ้าน่ะ”น้ำเสียงเชิงหยอกล้อแบบนี้กลับมาอีกครั้ง
ดวงตาสวยเหลือบมองผู้มาใหม่ที่มาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างน่าหมั่นไส้
“เพิ่งกลับมาก็ปากดีเชียวนะเฟิงจี”
“ข้าก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”หมอหลวงผู้ควบตำแหน่งพระสหายของเจ้าเมืองฉียักไหล่ไม่สนใจสายตาดุๆของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแถบนี้
“ข้าพาเจียเอ๋อไปพบน้องแล้วนะ”
“มาบอกข้าทำไม”อี๋เอินตอกกลับ
หมุนตัวขยับแขนชักกระบี่ออกมาอีกครั้ง เตรียมซ้อมครั้งใหม่
“ก็เจ้าเป็นคนสั่ง”
“หึ...”ชายหนุ่มรูปงามตั้งท่าควงกระบี่ไปรอบๆอย่างใจเย็น
เหยียบย่างแต่ละก้าวด้วยความสง่างามและก็ดูดุดันในที
“ข้ารู้แล้วนะ
ว่าทำไมข้าถึงโดนย้ายไปตำหนักเล็กนอกเมือง”
“ก็ดีนี่”อี๋เอินเอ่ยแค่นั้น
ก้าวใหญ่ถีบตัวกระโดดหมุนคว้างวาดกระบี่ออกไปวงกว้าง ดึงกลับมาและดันปลายกระบี่ลงอย่างแรง
อาศัยจังหวะใกล้ถึงพื้นใช้ปลายเท้าถีบตัวเองไปด้านหลังกลับมายืนตรงจุดที่เดิม
อาจจะดูเป็นท่าง่ายๆ แต่คนที่อยู่กับอี๋เอินมาตลอดย่อมรู้ว่าท่าแบบนี้เป็นเพียงแค่ท่าพื้นฐานสำหรับเพลงกระบี่ล้ำเลิศของตำหนักเลี่ยงหรงเท่านั้น
เฟิงจียืนมองอี๋เอินฝึกอยู่นานก็เกิดคำถามขึ้นกับเพื่อนสนิทคนนี้
“...ถ้าเขาชนะ...เจ้าจะปล่อยเขาไปจริงๆหรือ
อี๋เอิน...”
“...ถ้าเจียเอ๋อชนะ...”ตอบขณะจ้วงกระบี่ทะลุหุ่นฟางตัวหนึ่ง
ดึงกลับมาฟาดอีกตัวจนขาดกระจุย
“แล้วเจ้าล่ะ อยากให้เขาไปไหม”
ครั้งนี้อี๋เอินไม่ตอบในทันที
แต่เริ่มรำกระบี่ด้วยความเร็วชนิดไม่มีใครมองทันจนหุ่นฟางเกือบสิบตัวกลางเป็นเศษฟางหญ้าในเวลาไม่ถึงนาที
มือเรียวกระชับกระบี่วาดเก็บในฝัก
หันมาทางเพื่อนสนิทด้วยสายตานิ่งสงบราวกับทะเลลึก มันทั้งน่ากลัวและลึกลับ ดูนิ่งเงียบแต่กระแสภายในกลับรุนแรงแทบจะฉีกกระชากให้แหลกเป็นชิ้นๆ
“ข้าไม่เคยออมมือให้ใคร...ไม่มีวัน...”
“ถึงจะเป็นเจียเอ๋อ?”
“ยิ่งเป็นเขา...ข้ายิ่งแพ้ไม่ได้...ข้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น