[SF] MY SUNSHINE IN THE FOREST [MARKSON]
7/16
MY SUNSHINE IN THE FOREST
MARK X JACKSON
ฝุ่นดินตลบอบอบวนรอบตัวรถจนแทบมองไม่เห็นทางรอบข้าง รถกระบะปุโรทั่งสีสนิมกระโดดไปตามถนนดินขรุขระหลุมเยอะยิ่งกว่าผิวดวงจันทร์ แดดร้อนในยามพระอาทิตย์ตรงเด่อยู่เหนือหัวเช่นนี้ยิ่งซ้ำเติมให้รถกระบะกลายเป็นเตาไมโครเวฟขับได้
มาร์คกอดกล้องคู่ใจตัวเองไว้แนบอก นึกหวงแหนมันขึ้นมาทันใดในยามทุกข์แบบนี้ ยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้าเหลือบมองคุณลุงคนขับรูปร่างกำยำใส่เสื้อกล้ามขาวหนวดเฟิ้มกำลังเมาส์มอยน้ำลายกระเด็นตั้งแต่ต้นทางด้วยความมันปาก ส่งเสียงในลำคอตอบรับบ้างพอไม่เสียมรรยาท หันออกไปมองแปลงนาร้างว่างเปล่าสองข้างทาง พื้นที่ตรงนี้เป็นเป็นแหล่งทำเกษตรกรรมของพวกชาวบ้านตีนเขา แต่จุดมุ่งหมายของเขาคือหมู่บ้านในหุบเขาลึกนั่นต่างหาก
รถกระบะจอดนิ่ง มาร์คมองภาพป่ารกชัฏด้านหน้า หรี่ตามองถึงเห็นว่ามีเส้นทางเดินเล็กยิ่งกว่าทางแมวเดินแอบอยู่ข้างต้นไม้ต้นใหญ่
“ส่งได้แค่นี้ล่ะนะคุณ จากนี้คุณต้องเดินไปเอง สักสิบกิโลได้มั้ง โชคดีละกัน ระวังเสืองาบไปล่ะ”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอังอึกกับคำอวยพรปนแช่งนั่น เอ่ยขอบคุณ แบกสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเป้แบคแพคใบใหญ่ กระเป๋ากล้องและกระเป๋าขาตั้งกล้องอีกหนึ่ง มองทางด้านหน้าแล้วถอนหายใจเนือยๆ สวมหมวกปีกกระชับกระเป๋าบนไหล่เดินดุ่มๆเข้าไปในเส้นทางแสนลึกลับ
มาร์คเป็นนักสำรวจทรัพยากรป่าไม้ของกรมป่าไม้ เดินทางไปป่าไม้มาทั่วประเทศแล้ว แต่เขาไม่เคยจะต้องมาทำงานโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อน แถมยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนเข้าถึงอีกต่างหาก จะว่าโดนกลั่นแกล้งก็คงใช่ ก็แค่หญิงสาวที่หัวหน้างานชอบใจดันมาชอบพอเขาก็แค่นั้นเอง...
คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เซ็งทุกที
รีบสาวเท้าผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า ดีที่ทางค่อนข้างชัด แม้จะเล็กแต่ถ้าไม่โง่ก็ไม่มีทางหลง ระหว่างทางไม่มีอุปสรรคอะไรนอกจากความเหนื่อยล้า อากาศร้อนอบอ้าวและแมลง ถึงจะทายากันยุงแล้วแต่ก็ไม่ส่งผลอะไรกับแมลงชนิดอื่นอยู่ดี บริเวณนี้เป็นป่าดิบเขาต่ำ
ใช้เวลาเดินทางมากกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดมาร์คก็เห็นร่องรอยของมนุษย์อยู่ลิบๆ ป้ายไม้เตี้ยสลักชื่อ ‘หมู่บ้านหุบเขา’ เด่นหราข้างประตูซุ้มไม้ไผ่แข็งแรง ดูท่าน่าจะเป็นประตูเข้าหมู่บ้าน เหลียวซ้ายแลขวามองดูก็ไม่เห็นใครแถวนั้น ลังเลเล็กน้อยว่าจะเข้าไปเลยดีไหม เพราะในบางหมู่บ้านมีวัฒนธรรมประเพณีเฉพาะ แล้วหมู่บ้านหุบเขานี้ก็อาจจะมีพิธีกรรมแปลกๆก่อนเข้าหมู่บ้านก็ได้
ก็บอกแล้วว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักหมู่บ้านนี้
ตุบ! เฮ้ย!
มาร์คถอยหลังสองก้าวมองดูกิ่งผลมะม่วงป่าตกอยู่จุดที่ตัวเองเคยยืนอยู่อึ้งๆ
“โอ๊ะ โทษที”
เสียงแหบเล็กๆดังขึ้นด้านบน มาร์คเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นลิง...หรือคนเกาะอยู่บนต้นมะม่วงสูง มองจากตรงนี้เห็นรายละเอียดไม่ค่อยชัดนัก เห็นแค่สวมเสื้อกล้ามสีดำกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ท่าทางน่าจะเป็นเด็กผู้ชาย ร่างนั้นก้มลงมามองเขา ฉีกยิ้มและปล่อยร่างลงมา
“เฮ้ย! ระวัง”
พูดยังไม่ทันจบ เด็กหนุ่มแปลกหน้าก็หมุนตัวลงพื้นอย่างสวยงาม แถมทำท่าจบอย่างกับนักยิมนาสติกทีมชาติ หันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่เขากวนๆ
“ผมไม่อ่อนขนาดนั้นหรอกน่า คุณมาทำอะไรที่หมู่บ้านผมล่ะ”
พอเข้ามาใกล้ถึงได้สังเกตว่าร่างนั้นสูงถึงแค่หูเขา ท่าทางซนๆกร่างๆ ผมยาวสีดำสนิทดูนุ่มลื่นตัดกับผิวขาวหยวกราวกับไม่เคยต้องแสง รูปร่างแข็งแรงมีกล้ามเนื้อทั้งที่อายุกูยังไม่น่าเยอะ ตากลมโตอย่างกับลูกหมาตัวเล็กๆ จมูกเชิดรั้น ปากแดงอย่างกับลูกเชอรี่ รวมๆแล้วหน้าตาดีใช่เล่นเลย
“ฉันชื่อมาร์คต้วน เป็นนักสำรวจ...”
“พวกเราไม่ต้องรับพวกนายทุน มาทางไหนก็ไปทางนั้น ไอ้พวกคนน่ารังเกียจ!”พูดยังไม่ทันจบประโยคเด็กนั่นก็บริภาษเขา ตากลมดุทอประกายกร้าว หยิบก้อนอิฐก้อนหินแถวนั้นโยนใส่อย่างประสงค์ร้าย มาร์คยกมือป้องกัน เบี่ยงตัวหลบ ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงโดนทำร้ายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันแบบนี้
“โอ๊ย!!”
เจ็บแสบตรงเหนือคิ้วข้างซ้าย ใกล้ดวงตาเสียจนใจเสียววาบ เด็กนั่นหยุดทำหน้าสะใจที่ทำร้ายเขาได้สำเร็จ ยืนท่ากร่างอยู่หน้าป้ายหมู่บ้าน
“สมน้ำหน้า”
ให้ตายเถอะ หมู่บ้านนี้ต้อนรับแขกแบบนี้รึยังไง!!
“แจ็คสัน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”
เด็กนั้นสะดุ้งเฮือก หน้ากลมซีดเผือกมองหญิงวัยกลางคนในชุดผ้าซิ่นอย่างหญิงชาวบ้านก้าวเดินเร็วๆมาทางพวกเขา ใบหน้าดูเกรี้ยวกราด
“ไปทำร้ายคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง!!! ตามฉันมานี่เลยนะ”
“โอ๊ย ป้าวิ ผมเจ็บ โอ๊ย!”
มาร์คมองเด็กผู้ชายคนนั้นโดนลากไปทั้งตีตลอดทางแล้วก็นึกเป็นห่วง จะเดิมตามไปก็มีชายชรามายืนดักหน้า
“ขอโทษที่เด็กคนนั้นเสียมรรยาท คุณคงเป็นนักสำรวจป่าที่กรมป่าไม้ส่งมาสินะ ผมเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ เรียกลุงศรก็ได้”
“สวัสดีครับลุงศร”ไหว้สวัสดีนอบน้อมแต่พอโน้มตัวก็เจ็บจี๊ด ลืมไปเลยว่าตัวเองมีแผลอยู่
“ตามมาลุงมาทำแผลก่อนดีกว่า เจ้าแจ็คสันนี่ก็นะ ซนจนได้เรื่องอีกจนได้ วิสาคงตีจนหลังลายแน่”
“เอ่อ...เขาเข้าใจว่าผมเป็นพวกนายทุน เด็กนั่นดูรักหมู่บ้านมากนะครับ”
ลุงศรยิ้มยื่นผ้าสีขาวมาให้เขาซับเลือดไว้ก่อนขณะพาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขานี้มีประชากรไม่มากนัก บ้านไม้ทึบชั้นเดียวกระจายปลูกตามพื้นโล่งๆแล้วแต่ว่าตรงไหนจะใช้ปลูกได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังดูสะอาดสะอ้านผิดจากที่คิดไว้โขอยู่ สาวชาวบ้านก็สวมผ้าซิ่นเสื้อยืดสบายๆ ส่วนผู้ชายก็ใส่กางเกงเลสามส่วนอวดแผงอกเดินไปมา จะมีก็วัยรุ่นที่ใส่ชุดไปรเวทธรรมดาๆเหมือนแจ็คสัน
“ถึงเด็กนั่นจะดูซนๆ แต่เขาน่าสงสารนะ วิสาไปเจอเด็กคนนี้ตรงต้นน้ำโน่น เกือบจมน้ำแล้วล่ะตอนไปช่วย ไม่รู้ไปยังไงมายังไงเหมือนกัน น่าจะโดนทิ้ง แล้วพวกเราก็ช่วยเลี้ยงเขาขึ้นมา...อ้อ ถึงแล้วล่ะ ยัยวาเอ๋ย ทำแผลให้คุณมาร์คเขาหน่อย”
เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งออกมาจากชานเรือนพร้อมกระเป๋าพยาบาล อึ้งไปพักหนึ่งที่เห็นหน้าเขา เธอทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเข้ามานั่งข้างๆ ส่งสายตาปรอยๆมาให้จนลุงศรต้องเข้ามาตีแขนเบาๆ
“นั่งมองเขาอยู่นั่น แผลน่ะจะทำไหม”
“โถ่ ลุงก็”เด็กสาวค้อนลุงเล็กๆ เปิดกล่องยาขึ้นมาเช็ดทำแผลให้ชายหนุ่มหน้าหล่อ ทำแผลไปก็เขินหน้าแดงอายม้วนไป จนลุงศรอดแซวมาร์คไม่ได้
“หนุ่มนี่ก็หน้าตาดีเหลือเกิน อย่างกับพวกดารานักร้อง มีเมียรึยังล่ะเราน่ะ”
“ยังไม่มีครับลุง”มาร์คตอบยิ้มๆ ไม่ถือสากับความเถรตรง
“อ้าว งั้นสาวๆในหมู่บ้านก็มีสิทธิ์น่ะสิ ฮะฮะฮะ”ลุงศรหัวเราะ ผิดกับสาวๆที่พอได้ยินก็ทำตาลุกวาวน่าขนลุก “แล้วนี่จะเริ่มสำรวจตอนไหนล่ะ เดี๋ยวลุงจะหาคนนำทางให้”
“น่าจะเป็นพรุ่งนี้ครับ วันนี้ขอพักเก็บแรงก่อนดีกว่า”
“ได้เลยๆ นอนพักบ้านลุงนี่แหละ ลุงเตรียมห้องไว้ให้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจนะคนกันเองทั้งนั้น ตามสบายเลย”มาร์ครู้สึกโล่งใจและสบายใจกับความโอบอ้อมอารีของคนที่นี่ ยิ้มรับและไหว้ขอบคุณ พลันก็นึกถึงเรื่องเด็กคนนั้นขึ้นมา
“เด็กนั่น...แจ็คสันอยู่ไหนครับ?”
กระท่อมเล็กยิ่งกว่ายุ้งฉากเก็บข้าวซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้าน ด้านหลังกระท่อมติดผืนป่าทึบดูอันตรายจนมาร์คแปลกใจว่าคนในหมู่บ้านให้เด็กนั่นมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง มือเรียวผลักประตูเข้าไป ยืนมองดูคนด้านในเงียบๆ
“จะมาสมน้ำหน้ากันรึไง”
เด็กนั่นนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงกระดานผุๆ ตามตัวมีรอยแผลเล็กๆและรอยยาวคล้ายโดนไม้เรียวฟาด ใบหน้ากลมซุกลงบนแขนหลบดวงตาช้ำแดง ไม่ต้องเดาก็คงร้องไห้เพราะโดนตีนั่นแหละ
มาร์คถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งข้างๆร่างกลมป้อม จับแขนยกดูรอบแผล แจ็คสันสะดุ้งจะยึดแขนคืน มองเขาด้วยความสงสัยและสั่นกลัวเล็กๆ
“นายจะทำอะไร”
“เงียบเถอะน่า”มาร์คดุ ดึงแขนเล็กแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขึ้นมา หยิบเอาแอลกอฮอล์กับยาใส่แผลออกมาและเริ่มทำแผลให้ ทั้งสองเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน ปาสเตอร์ปิดแผลทาบทับไปตรงรอยสุดท้ายบนข้อมือ มาร์คละมือจากร่างขาวเป็นโอกาสให้แจ็คสันได้เอ่ยถามด้วยความข้องใจ
“ทำไมใจดีกับผม”
“ก็แค่อยากญาติดีด้วย...ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ป้าวิสา เธอเป็นคนเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก...แล้วนี่คุณมาหาผมทำไม?”
“ฉันอยากให้นายช่วยฉันทำงาน”
“ฮะ!?”แจ็คสันร้องตกใจ ดูอึ้งหน้าหวอ แวบหนึ่งที่มาร์คคิดว่าคนตรงหน้าน่ารัก “คุณว่าอะไรนะ”
“ฉันต้องการคนนำทาง และนายก็น่าจะรู้จักพื้นที่แถวนี้ดี”
“แน่นอนนน ไม่มีใครที่รู้จักป่านี้ดีเท่าผม”เด็กนั่นทำท่ากร่างอย่างที่คิด ดูน่าหมั่นไส้และน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน
“งั้นถือว่าตกลงแล้วนะ ฉันชื่อมาร์ค ต้วน ยินดีที่ได้รู้จัก”มาร์คยื่นมือออกไป
“ผมชื่อแจ็คสัน...นั่นแหละ แค่แจ็คสัน ยินดีที่ได้รู้จักฮะ”มือเล็กกร้านยื่นมาจับเขย่าเบาๆ ฉีกยิ้มกว้างจนตายิบหยี มาร์คยิ้มตามพลางคิดว่ารอยยิ้มของเด็กนี่ช่างมีเสน่ห์จริงๆ...
มาร์คสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะจากหน้าต่างที่ปิดสนิท ตอนแรกก็คิดว่าเจอดีเข้าแล้วแต่พอตั้งสติและลองฟังดีๆก็ได้ยินเสียงแหบตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านนอก
“ไอ้แจ็คสัน! มากวนคุณเขาทำไมตั้งแต่ตะวันยังไม่โห่!”
“โถ่! ลุงศร ผมมาปลุกมาร์คต่างหาก ไม่ได้มากวนสักหน่อย”
เสียงบทสนทนาจากด้านนอกนั่นทำเขาหลุดหัวเราะ ส่ายหน้าเอือมๆ สะบัดผ้าห่มลุกจากที่นอนเปิดบานหน้าต่างมองเจ้าเด็กซนคนเดิมยิ้มตาหยีมากให้
“ว่าไง มาพาฉันหนีเหรอ?”
“คิคิ เอาไหมล่ะ? ถึงบ้านผมจะจนแต่ผมก็รวยลีลาน้า”เด็กนั่นยักคิ้วกวนๆ ไม่สนใจเสียงโวยจากลุงศรที่อยู่ห้องข้างๆ แน่ล่ะก็เด็กนี่ลงทุนปีนบันไดขึ้นมาหาเขาที่ชั้นสองเชียวนะ
“ทะลึ่ง”มาร์คหัวเราะยีกลุ่มผมนุ่มอย่างนึกหมั่นเขี้ยวความแสบซ่า
“คุณมาร์ค ขอโทษด้วยนะ เจ้าเด็กนี่นี่น่าตีจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับลุง ผมตื่นพอดี”หันไปบอกลุง แวบเข้าห้องไปหยิบกล้องและสวมเสื้อคลุมเดินออกมาหยุดอยู่หน้าแจ็คสันที่ทำหน้าเอ๋อใส่
“วันนี้จะพาไปไหนล่ะ?”
เด็กตัวแสบร้องอ๋อ หัวเราะคิกคักตอบด้วยน้ำเสียงมีเล่ห์นัย
“ที่พิเศษ”
แจ็คสันเดินนำหน้าพาชายหนุ่มปีนขึ้นไปตามทางลาดชันด้วยความชำนาญ เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นแต่แข็งแรงใช่เล่น พากันปีนจนมาหยุดอยู่ตรงแนวสันเขา มองลงไปข้างๆก็คือหน้าผาเตี้ย
“นายจะพาฉันไปไหน”
“ตามผมมาเหอะน่า ช้าเดี๋ยวก็ไม่ทัน”แจ็คสันเอ่ยเร่ง สองขาสั้นๆเดินขึ้นไปตามแนวเฉียงของพื้นดิน มาร์คเดินตามไปเงียบๆถึงจะเหนื่อยเพราะไม่ชินแต่ก็เชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องพาเขาไปเจออะไรที่วิเศษมากแน่ๆ
ห้าวันที่ได้แจ็คสันเป็นคนนำทาง เด็กคนนี้ทำหน้าที่ได้ดีมาก สมกับคำโอ้อวดตัวเองที่ว่ารู้จักป่านี้ดีกว่าใคร เผลอๆออกจะรู้ดีกว่าผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน เพราะหนีมาเที่ยวเล่นในป่าบ่อย รู้ทางหนีทีไล่เวลาจะโดนป้าวิสาทำโทษเป็นอย่างดี (ข้อสุดท้ายนั่นภูมิใจจนตัวลอย) บางพื้นที่มาร์คก็แทบนึกไม่ถึงว่าจะมีผืนป่าผืนใหญ่ แถมยังเป็นป่าดิบที่อุดมสมบูรณ์มาก จนไม่น่าเชื่อว่าในประเทศจะเหลืออะไรแบบนี้อยู่
แจ็คสันหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ รอมาร์คหอบแฮ่กๆตามมาทัน ชี้นิ้วไปด้านบน กระโดดปีนป่ายมันขึ้นไปเร็วอย่างกับลิง
“ต้องปีนขึ้นไปเหรอ”
“ใช่ๆ เร็วๆสิ เดี๋ยวแสงก็หายหรอก”แจ็คสันตะโกนลงมาเร่ง มาร์คดึงกล้องไปด้านหลัง จับตาไม้โยนตัวเองขึ้นไปเกาะบนเปลือกไม้หนา ปีนช้าๆระมัดระวังจนถึงจุดที่แจ็คสันอยู่ มือป้อมช่วยพยุงคนตัวผอมขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้แข็งแรง
“ไหนล่ะ?”
“โน่นไง”
มาร์คหันไปมองก่อนจะนิ่งค้างมองภาพด้านหน้า ตกตะลึงกับความงดงามแสนมหัศจรรย์ ผืนป่ามืดยาวสุดลูกตาจรดขอบฟ้าที่กำลังทอแสงเป็นเส้นตรงสีส้มอ่อนตรงเส้นขนาน พลันช่วงเวลาสุดแสนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในหนึ่งวันก็ได้ปรากฏต่อตาเขา เส้นครึ่งวงกลมตรงกึ่งกลางนั่นสาดแสงทองไสวโอบล้อมป่ากว้างให้กลายเป็นสีเขียวสว่างไสวเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ฝูงนกสีขาวโผล่ขึ้นจากท้องทะเลพฤกษาโผขึ้นบินขึ้นไปในท้องนภาสีทองอ่อนของยามฟ้าสาง
งดงามจนไม่อาจขยับตัวได้ แม้แต่กล้องในมือยังถูกวางเฉย เขาไม่สามารถเก็บความงามนี้ได้ด้วยรูปเพียงไปเดียว ได้แต่นิ่งและซึมซับมันให้ได้มากที่สุด และรับรู้เสียว่านี่คือความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
“สวยใช่ไหมล่ะ”
มาร์คละจากภาพตรงหน้ามามองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่ไกลจากตัวเองเท่าใดนัก เหม่อมองใบหน้ากลมเกลี้ยงอาบแสงอาทิตย์เสริมให้ดูละมุนละม่อมอ่อนหวาน ริมฝีปากอิ่มเอิบยิ้มบางๆดันแก้มกลมให้นูนขึ้นพอน่ารัก ดวงตากลมมองไปด้านหน้า เส้นผมสีเข้มปลิวไปตามสายลมอ่อนๆที่พาดผ่าน
“ใช่...สวย”
.
.
.
มาร์คหมายถึงแจ็คสัน
.
.
.
เขาว่าเขากำลังตกหลุมรัก
วันนี้ทั้งคู่เดินทางออกไปทางทิศตะวันตก เหลือพื้นที่อีกสามสิบเปอร์เซ็นกับเวลาอีกสองวัน มาร์คเร่งมือสำรวจเพื่อนำไปวิเคราะห์ให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นจริงมากที่สุด นักสำรวจอย่างเขาถือความซื่อสัตย์กับตัวเอง ทำงานให้เต็มที่และเที่ยงตรง แม้จะดูไม่สำคัญ แต่ผลงานของพวกเขาจะถูกนำไปวิเคราะห์ใช้ในอีกหลายสายอาชีพต่อไป
มาร์คหยุดพักริมตลิ่งใกล้แม่น้ำ ปูผ้ากางเต็นท์เตรียมตัวพักแรมที่นี่ พวกเขาเดินทางออกมาไกลและมาร์คไม่อยากไปกลับหมู่บ้านให้เสียเวลา พักที่นี่แล้วเดินทางสำรวจต่อในวันรุ่งขึ้นจะเซฟเวลาได้มากกว่า
แจ็คสันออกไปหาของป่ามาไว้เป็นข้าวเย็น ถึงจะมีกับข้าวที่พวกผู้หญิงในหมู่บ้านจัดหามาให้ก่อนเดินทาง ก็ไม่พอยาไส้ผู้ชายใช้แรงงานถึงสองคนได้ มาร์คนั่งขอนไม้ริมน้ำ เฝ้าเบ็ดตกปลาขณะเขียนข้อมูลที่ได้ลงไปในสมุดจดบันทึกส่วนตัว
“มาร์ค ผมได้มะม่วงมาเยอะเลย เดี๋ยวปอกให้กินนะ”
แจ็คสันส่งเสียงแจ้วๆวิ่งออกจากป่ามาพร้อมมะม่วงเต็มอุ้งมือ ใบหน้ากลมทอประกายความสุข แม้จะขาดซึ่งครอบครัวและเงินทอง แต่แจ็คสันก็มีความสุขจนเขาที่มีพร้อมกว่านึกสะท้อนใจ กลายเป็นเขาเองที่ได้รับความสุขจากเด็กหนุ่มคนนี้และต้องการมากขึ้นจนชักกลัวใจตัวเอง
“มาแล้ววว อร่อยน้า”คนตัวป้อมนั่งลงข้างเขาพลางคะยั้นคะยอให้กินสิ่งที่ตนหามา
“ป้อนหน่อย”
“อ่า...”เด็กนั่นหน้าแดงระเรื่อ ตากลมหลุกหลิกบ่นเสียงอ้อมแอ้ม มันเป็นปฏิกิริยาที่มาร์คไม่คิดว่าจะได้เจอจากแจ็คสัน “มือก็มี กินเองดิ”
“ฉันเขียนงานอยู่...ป้อนหน่อย”
แจ็คสันยู่ปากน้อยๆ หยิบมะม่วงซีกหนึ่งจ่อปากชายหนุ่ม มาร์คยิ้มเจ้าเล่ห์อ้าปากกัดมะม่วงถือโอกาสงับนิ้วป้อมเบาๆ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าร่างจากปลายนิ้ว เด็กน้อยสะดุ้งยึดมือคืน ส่งสายตาค้อนทั้งที่แก้มกลมแดงก่ำ ใจเล็กๆสั่นระรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ
“น้ำตรงนี้น้อยแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”มาร์คถามเบี่ยงประเด็นไปถึงแม่น้ำสายย่อมตรงหน้าพวกเขา
“ช่วงนี้น้ำไม่เยอะหรอก ต้องมาช่วงหน้าฝนที่นี่จะมีน้ำนองเต็มเลย แล้วมันจะมีพวกโขลงช้างเดินออกมากินน้ำตรงนี้ มันสวยมากๆเลยนะ”แจ็คสันชี้ไปที่ตลิ่งฝั่งตรงข้าม แววตาเป็นประกาย ลืมเรื่องโกรธเคืองเขาเมื่อกี้ไปสิ้นเชิง
มาร์คเงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มและจดข้อมูลลงไป เงยหน้ามามองใบหน้ากลมในระยะประชิดแล้วรู้สึกลมหายใจติดขัดขึ้นมากะทันหัน แจ็คสันขยับตัวเข้ามาชิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตากลมมองสมุดจดในมือเขาด้วยความสนใจ ยิ่งร่างป้อมเข้ามาใกล้กลิ่นหอมก็ตามมาปั่นป่วนหัวใจเขาให้เต้นแรง ยกมือดีดหน้าผากมนแบบไม่เบาแรง ให้เด็กนั่นถอยออกไปก่อนเขาจะตบะแตกไปเสียก่อน ทำหน้าดุกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นดัง
“ใครให้มาเงียบๆ”
“งือ ก็คุณเงียบไปนี่ ผมก็เลยสงสัยว่าคุณกำลังทำอะไรไง นั่นคืองานของคุณเหรอ?”มือป้อมกุมหน้าผากแบะปากยู่นิดๆ
“นี่แหละงานของฉัน แค่มาสำรวจเบื้องต้น เดี๋ยวก็จะมีกลุ่มใหญ่มาสำรวจวิจัยกันจริงจัง”
“ทำไมต้องสำรวจล่ะ?”
“ถ้าไม่สำรวจ จะรู้ได้ยังไงว่าประเทศเราเหลือป่าอยู่เท่าไหร่? ถ้ารัฐไม่รู้ว่ามี กลัวจะได้โดนพวกนายทุนกับชาวบ้านตัดไม้จนภูเขาหัวโกร๋น”
“น่ากลัวชะมัด”เด็กตัวป้อมยู่ปากและลุกเดินออกไป มาร์คก้มหน้าสนใจสมุดจนกระทั่งได้ยินเสียงแหวกน้ำอยู่ใกล้ๆ เงยหน้ามองก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยถามเสียงสั่น
“นายทำอะไร”
“อาบน้ำสิ คิดว่าผมลงมาหาปลารึไงล่ะ”
แจ็คสันยังคงตอบยวนยี แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มที่หายไป มาร์ครู้สึกลำคอแห้งผากเมื่อเห็นผิวเนื้อขาวหยวกค่อยๆจมลงในแม่น้ำจนถึงระดับสะโพก แผ่นหลังขาวเนียน ไหล่กว้าง แขนเล็กๆนั่นมีมัดกล้ามอย่างที่เห็นมาตลอด เป็นผู้ชายตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับทำให้ผู้ชายด้วยกันอย่างเขาใจสั่นได้ รู้สึกเสียดายนิดๆที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเร็วกว่านี้
แจ็คสันก้มดำผุดดำว่ายเล่นอย่างสนุกสนาน เส้นผมสีเข้มเปียกลู่รับใบหน้าน่ามอง ร่างกายขาวพราวหยดน้ำไหลลงตามง่ามแขน เผลอคิดอกุศลคิดไปถึงว่าถ้าหยดน้ำนั่นไหลลงไปง่ามขามันจะ...
...ชิบหาย มึงลามกเกินไปแล้วมาร์คต้วน!...
สะบัดศีรษะเรียกสติ แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองสติก็ถูกพรากหายไปอีกครั้ง ร่างขาวกลับมานั่งบนฝั่งตื้นๆถูทำความสะอาดร่างกาย น้ำใสแจ๋วมองเห็นส่วนเว้าสวนโค้งได้แบบเต็มตา มาร์คก็เพิ่งสังเกตว่าสะโพกเด็กนั่นงอนงามอวบอั๋นขนาดผู้หญิงยังอาย แถมยังมายกขาถูสบู่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกว่าที่ทำอยู่นั่นมันกำลังปลุกเสือโหยในกายชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว...
แจ็คสันหันมาตามเสียงน้ำกระเพื่อม แล้วก็ต้องรีบหันหน้ากลับไปทางเดิม ใบหน้าเห่อร้อนแทบไหม้ ภาพเมื่อครู่ยังติดตา
...มาร์คเปลือยท่อนบนกำลังเดินลงน้ำ...
ทั้งที่พวกคนในหมู่บ้านก็เปลือยบนเดินกันทั้งนั้น แต่ทำไมพอเห็นชายหนุ่มชาวกรุงคนนี้ทำบ้างแล้วรู้สึกหายใจติดขัดแบบนี้ อาจจะเพราะรูปร่าง ผิวขาวและลอนหน้าท้องสวยนั่นก็ได้ แต่แจ็คสันคนนี้ก็มีนะ เยอะกว่าด้วย ว่าแล้วก็ก้มลงลูบหน้าท้องตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ…
“คิดอะไรอยู่”
เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูฉุดความคิดทั้งหมดให้กลับคืนสู่ความจริง คนตัวเล็กสะดุ้งตื่นตกใจ ท้องหดเกร็งกลั้นหายใจ ทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ล่อแหลม เม้มปากแน่นก้มมองมือเรียวที่วางแปะลงบนสะโพกตน
“ขะ...เข้ามาใกลทำไมเล่า!”
“ก็มาอาบน้ำด้วย”
...อาบก็อาบไปดิเบียดเข้ามาใกล้ทำไม!...
แจ็คสันขยับตัวอึดอัดเพราะลมหายใจร้อนแถมซอกคอกำลังลามเรื่อยไปหลังคอ เขากำลังทำตัวไม่ถูก รู้ว่ากำลังโดนแกล้ง แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟังสมองเอาเสียเลย ขยับตัวไม่ได้ ปล่อยให้ชายหนุ่มลูบไล้ร่างกายตัวเองต่อไปอย่างย่ามใจ
“ผิวนายนุ่มจัง ปีนเขาทุกวันจริงเหรอ”
“อะ ไอ้โรคจิต!!”
มือเรียวที่เริ่มลูบเข้าต้นขาขาวสร้างความตระหนก รีบปัดมือนั้นออกพลิกตัวกลับด้วยความตกใจ เท้าใต้น้ำสะดุดขอบสันดิน หงายหลังล้มหวืดน้ำกระจายเป็นวงกว้าง มาร์คกระพริบตาปริบๆ ตั้งสติพักหนึ่งและหลุดหัวเราะเสียงดัง
แจ็คสันกระวีกระวาดตะกายขึ้นเหนือน้ำ ไอสำลักน้ำโขลกๆหน้าดำหน้าแดง ช้อนสายตามองชายหนุ่มด้วยความขุ่นเคือง มือเล็กหอบสายน้ำสาดใส่มาร์คเต็มแรง คนที่ไม่ตั้งตัวโดนน้ำสาดก็ล้มโครมไม่เป็นท่า กลายเป็นแจ็คสันที่หัวเราะสะใจแทน
มาร์คส่ายหน้าเอือมๆทั้งที่ตัวเปียกโชก ลุกขึ้นโยนผ้าขนหนูบนฝั่งคลุมหัวกลมพอดิบพอดี
“อาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปย่างปลาให้หน่อยนะ”
“ทำไมต้องทำให้ไอ้โรคจิตอย่างมาร์คด้วย เฮ้ย เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งถอดกางเกงนะเว้ย!!”เด็กแสบรีบโวยวาย มือป้อมปิดหน้าแต่ก็ยังแหวกนิ้วด้วยความสนใจ กระโดดเหยงๆขึ้นฝั่งไปอย่างว่าง่าย มาร์คหัวเราะในลำคอละมือจากกางเกง อาบน้ำทั้งอย่างนั้น
...ใครเขาจะโป๊อาบน้ำต่อหน้าคนอื่นอย่างเด็กบ้านั่นบ้างล่ะ…
มาร์คเดินเช็ดผมเข้าไปหาเด็กตัวป้อมหน้ากองไฟ ใบหน้ากลมๆหันมามองเขาแล้วเสตาหลบ ผิวแก้มแดงเรื่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังอาย
“มีอะไรกินบ้าง”
“มีตามมีตามเกิด”
“ฉันถามดีๆนะ”
“ปลาย่าง เห็ดย่างกับมะม่วงเมื่อตอนเย็น”แจ็คสันตอบห้วนๆ ไม่ยอมพูดดีๆกับมาร์คเสียที สงสัยยังโกรธเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่ มาร์ครับจานปลามาแกะเนื้อปลากิน เหลือบตามองแจ็คสันกำลังก้มหน้าก้มตากัดมะม่วงเงียบๆแล้วเกิดคำถามในใจ
“นายเคยมีแฟนไหม?”
“แค่กๆๆ มาร์คถามอะไรเนี่ย!”
...หน้าแดงแบบนั้นไม่เคยมีแหงๆ…
“ตกลงว่าไม่มี?”
“ก็...ไม่มี...ไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นหรอก แค่ขะเอาตัวรอดในแต่ละวันก็พอทนแล้ว พวกเราต้องหาของป่ากินเอง ยิ่งผมไม่มีครอบครัว ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก”
“เหรอ…แล้วนาย...เหงาไหม?”
มือป้อมชะงักปากเม้มแน่น เพียงฉากหนึ่งที่มาร์คมองเห็นแววตากลมไหววูบผ่านประกายกองไฟ
มันดู...เหว่ว้า...
“ผมไปนอนนะ”
มาร์คมองตามแจ็คสันเดินเข้าเต็นท์ไปก่อน ก้มหน้ามองปลาในจาน ไหว้ขออภัยที่กินเหลือทิ้ง เดินตรวจตรารอบพื้นที่พักแน่ใจว่าไม่มีสัตว์ร้ายใกล้ๆ ขุดดินดับไฟไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ ตรวจดูไฟตะเกียงให้แน่ใจว่ามีไส้เหลือส่องแสงตลอดทั้งคืน มุดเข้าเต็นท์มองร่างเล็กที่นอนคุดคู้ห่มผ้าอยู่ฝั่งหนึ่ง เต็นท์ขนาดไม่ใหญ่นักทำให้ทั้งสองต้องเบียดตัวเองเข้าชิด แผ่นหลังติดกัน ช่วยไม่ได้ที่มาร์คจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงและเสียงลมหายใจไม่สม่ำเสมอบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มยังไม่หลับ
“แจ็คสัน…”
“...”
“ฉันรู้ว่านายยังไม่นอน”
“...”
“...”
“เฮ้ย!”แจ็คสันร้องเหวอกระพริบตาเบิกกว้างตกใจ ตัวถูกรวบเข้าไปกอดในอ้อมแขนแกร่ง เม้มปากแน่นเผลอกลั้นหายใจ สะบัดตัวดิ้นแต่ยิ่งดิ้นมาร์คก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นจนแผ่นหลังแนบชิดหน้าอกอีกฝ่าย ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจ...เต้นแรง
“หนาว...ขอกอดหน่อยนะ”
...คนโกหก…
แจ็คสันคิดหมั่นไส้ แต่ถึงอย่างนั้นก็นิ่งให้อีกฝ่ายได้โอบกอดตนอย่างว่าง่าย เพราะอ้อมกอดนี้ให้สิ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัส ความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใคร ความอบอุ่นที่ทั้งร่างกายและจิตใจโหยหามาตลอด เด็กหนุ่มกัดปากชั่งใจชั่วครู่ ขยับตัวพลิกกายเข้าซุกอกแน่น มือเล็กเกาะเกี่ยวเอวชายหนุ่ม หัวกลมๆซุกไซร้ราวกับเด็กเล็กกำลังอ่อนแม่ หลับตาพริ้มยิ้มน้อยๆอย่างสุขใจ มาร์คมองใบหน้าหวานหลับตาพริ้มแล้วยิ้มเอ็นดู มองจนแน่ใจว่าแจ็คสันหลับไปแล้วถึงกล้าก้มจูบหน้าผากมนแผ่วเบา
“ฝันดีครับ เด็กน้อย”
ในที่สุดวันสุดท้ายก็มาถึง…
มาร์คตื่นมาตั้งแต่หัวค่ำเพื่อเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ที่นอนหมอนมุ้งจัดเก็บเรียบร้อยเข้าที่เดิมของมันก่อนเขามา ยกกล้องขึ้นมาตรวจภาพ แล้วก็ได้พบความจริงว่ากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นเป็นภาพของเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กแสบที่เจอกันครั้งแรกก็โยนหินจนหางคิ้วแตกเสียแล้ว คิดไปแล้วก็นึกขำ ยกมือขึ้นลูบแผลตกสะเก็ด ไม่นานรอยแผลนี้ก็จะเลือนหายไปช้าๆ...
ก๊อกๆ
เสียงเคาะหน้าต่างดังตอนเช้ามืด ครั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้ตกใจ แต่ยิ้มกว้างเดินไปเปิดรับเด็กหนุ่มหน้าแป้นแล้นตรงหน้าอย่างเต็มใจ
“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
“เอาสิ…”
.
.
.
.
“มาร์คก็ยังช้าเหมือนเดิม”แจ็คสันหัวเราะเยาะเขาทันทีที่ชายหนุ่มปีนขึ้นมาทันเจ้าเด็กลิง มีคนที่ไหนปีนต้นไม้เก่งแบบนี้บ้าง...
“ก็ฉันไม่ใช่ลิงเหมือนนาย”
“พูดไปเหอะ ผมโดนจนชินแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”หัวเราะร่าเริงจนนกบนต้นไม้ร้องแกว๊กๆตื่นกระพือปีกหนีถึงได้ปิดปากฉับ
คราวนี้ทั้งคู่เลือกนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ใกล้โคนต้นเพื่อทานนำ้หนักไม่ให้นั่งๆอยู่แล้วหักโครม ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้บรรยากาศเย็นๆรอบข้างโอบล้อมพวกเขาไว้ แจ็คสันสะดุ้งเล็กๆเม้มปากก้มหน้า มือเล็กกระชับประสานมือเรียวที่เข้าทาบทับ ความอบอุ่นถูกส่งผ่านฝ่ามือ เช่นเดียวกับความรู้สึกพิเศษที่ยังไม่มีใครพูดมันออกมา
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว…
แม้จะสวยงาม น่ามหัศจรรย์ แต่ครั้งนี้ทั้งคู่มองดูมันด้วยความเศร้าสร้อย…
เพราะวันนี้คือวันที่พวกเขาต้องจากกันไป…
มาร์คไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไหม เช่นเดียวกับแจ็คสันที่ไม่รู้จะได้ออกจากหมู่บ้านตอนไหน ไม่มีใครรู้เรื่องราวในวันข้างหน้า รู้แค่ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ด้วยกัน และในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า มาร์คต้องกลับไปที่ที่ตนจากมา…
“แจ็คสัน…”
“หืม?…”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปชิด มองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตทอประกายเศร้าสร้อย ทาบทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มแดงที่มัดใจเขาตั้งแต่แรกเห็น ไม่รุกเร้า ไม่แทรกสอด เพียงแค่แตะเพื่อประสานใจเชื่อมโยงความรู้สึกของกันและกันโดยไม่ต้องมีคำพูดใด
จูบแรกและจูบลา
คนในหมู่บ้านรวมตัวกันส่งชายหนุ่มต่างบ้านต่างเมืองที่ต้องกลับในวันนี้แล้วอย่างอบอุ่น พิธีสู่ขวัญเล็กๆถูกจัดให้มาร์คที่น้อมไหว้ด้วยความขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจ คนที่นี่เป็นมิตรและน่ารักมากจริงๆ เมื่อถึงเวลาสายๆชายหนุ่มก็เริ่มเดินทางโดยมีแจ็คสันช่วยยกของไปช่วย
ระหว่างทางทั้งสองก็ยังคงไม่พูดอะไรกัน มีเพียงมือคู่เดิมที่เกี่ยวประสานกันไว้ตลอดทาง
วันนี้แจ็คสันอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวมอๆกับกางเกงยีนสามส่วน เส้นผมสีดำยังคงดูน่ารัก มีเพียงใบหน้ากลมเกลี้ยงที่ค่อนข้างจะเศร้าหมอง แต่เมื่อใดที่หันไป เด็กนั่นก็จะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็ฝืนทนเหลือเกิน
ถึงที่นัดแล้ว แต่กระบะคันเก่่ายังไม่มา มาร์คนั่งบนขอนไม้ข้างๆคนตัวเล็กที่ก้มหน้าเล่นนิ้วตัวเองอยู่ ดีที่แดดไม่แรงเลยไม่ต้องหลบแดดไปไหน
“คุณจะไม่ได้กลับมาอีกเหรอ?”
“ฉันไม่แน่ใจ…”มาร์คตอบตามจริง เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้านายของเขาจะส่งเขามาอีกหรือจะปล่อยให้หน่วยอื่นที่มีึความสามารถมากกว่าเข้ามาสำรวจต่อ
“...เหรอ…เราจะไม่ได้เจอกันแล้วเหรอ”
มาร์คไม่ตอบคำถามนั้น มือกระชับหัวกลมซบลงมาบนไหล่ ลูบเส้นผมนิ่มรอเวลาที่ต้องจากกัน อยากให้เวลายืดออกไปอีกนิด สักนิดก็ยังดี
ในที่สุดรถกระบะสีสนิมก็แล่นมาจอดเทียบท่า คุณลุงคนเดิมเดินเข้ามากอดเขา ตบหลังแปะๆ หอบเอาสัมภาระขึ้นไปบนรถ ปล่อยให้มาร์คและแจ็คสันได้ล่ำลากันตามสะดวก
มือป้อมจับมือเรียวขึ้นมากุมแน่น เงยหน้าฉีกยิ้มสดใสให้เหมือนเคย แม้ดวงตานั้นจะอ่อนแสงและเคลือบน้ำใสๆอย่างคนกลั้นนำ้ตาขนาดไหนก็ตาม
“โชคดีนะครับ”
มาร์คยืนมองอีกคนนิ่ง ในใจกำลังว้าวุ่นเพราะเวลาเหลืออีกไม่มาก เขาอยากจะบอก อยากจะพูดคำๆนั้นให้อีกคนได้รับรู้ แต่พอเห็นใบหน้าหวานที่กำลังบิดเบี้ยวเพราะกำลังกลั้นน้ำตานั้นก็ได้แต่กลืนคำนั้นลงคอ คำหนึ่งคำ คำสั้นๆที่ไม่กล้าจะบอกออกไป…
“นายก็อย่าซนมากนักล่ะ”
“อืม...เข้าใจแล้ว”เด็กหนุ่มตอบรับเสียงแผ่ว อวัยวะในอกบีบแน่นวูบโหวง รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ฟังคำที่อยากจะฟัง แต่ก็ฝืนฉีกยิ้ม โบกมือให้ชายหนุ่ม
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณนะ...แจ็คสัน”
มาร์คยิ้ม พิจมองใบหน้านั้นสักครู่แล้วตัดใจเดินขึ้นรถไป เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มสตาร์ทรถขับเคลื่อนพายานภาหนะสี่ล้อและชายหนุ่มออกไปช้าๆ
แจ็คสันยังยืนอยู่ที่เดิม มองรถกระบะจากทางด้านหลังเหม่อๆ ก้มหน้าปล่อยหยดน้ำตาใสๆลงรดพื้นดิน ไม่สามารถฝืนทนได้อีกต่อไป มือป้อมปาดน้ำตาทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะอื้นร้องไห้ หัวใจบีบรัด รู้สึกอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากำลังเสียใจที่ไม่สามารถรักษาความรู้สึกล้ำค่าของตัวเองไว้ได้นานกว่านี้ เด็กหนุ่มผู้เหงาหงอยกำลังทรมานจากมวลความอบอุ่นนั้นที่เข้ามาเติมเต็มเขาและต้องจากไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน แค่คิดว่าต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนเดิมอีกครั้งก็รู้สึกโหวงเหวงแล้ว
เพราะมาร์ค...เพราะไอ้คนนิสัยไม่ดีคนนั้นเลย…
.
.
.
.
.
.
.
“แจ็คสัน…”
ร่างเล็กสะดุ้งตกใจ ร่างทั้งร่างจมลงในอ้อมกอดแสนอบอุ่นในเวลาที่คิดว่าสัมผัสนี้กำลังจะไกลออกไป หัวใจดวงน้อยเต้นรัวฟูฟ่องแล้วก็แฟบหงอยเมื่อคิดว่าชายหนุ่มอาจจะแค่ลืมอะไรบางอย่างเลยกลับมา
“คุณกลับมาทำไม”
“ฉันลืมของเอาไว้”
...คิดไว้ไม่มีผิด...คนตัวเล็กกลับมาหงอยเศร้าเหมือนเดิม นึกโกรธเคืองชายหนุ่มที่ให้ความหวังเขาซำ้แล้วซ้ำเล่า และทำร้ายเขาด้วยความอบอุ่นนั้นอย่างเลือดเย็น
“ลิืมของก็รีบกลับไปเอาสิ จะมากอดผมทำไม”
“ก็ของที่ฉันลืมอยู่กับนาย”
“เอ้า! อยู่กับผม นี่คุณคิดว่าผมขโมยของคุณไปรึไง”ชักฉุนขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
“ใช่นายขโมยหัวใจฉันไป…ฉันก็เลยมาตามมันกลับคืน”
แก้มกลมแดงก่ำ หัวใจเต้นรัวแรง มองดวงตาสวยทอประกายอบอุ่นหวานเชื่อมแต่ก็จริงจังเสียจนไม่คิดว่ามาร์คกำลังเล่นละครโกหกหลอกลวง ชายหนุ่มรัดเอวเล็กจับใบหน้ากลมมนมอบจูบอ่อนหวานอีกครั้ง ก่อนเอ่ยคำที่เขาคิดไว้แล้วก่อนจะกระโจนลงจากรถกระบะ เพียงเพื่อกลับมาถามด้วยความหวัง...
“ไปกับฉันไหม? กลับไปด้วยกัน…”
แจ็คสันนิ่งเงียบไปจนมาร์คเริ่มใจแป้ว ยิ่งมือป้อมผลักอกเขาออกใจก็แทบจะแหลกสลาย
“ทำไม…”
“ไปขอลุงศรกับป้าวิสาก่อนสิ”
“ฮะ…?”
“ถึงผมจะไม่มีพ่อแม่ แต่ผมก็มีผู้ปกครองนะครับ…”
นั่นแหละมาร์คถึงรู้ว่าโดนเด็กแสบหลอกให้ใจแป้วเสียแล้ว เขาหัวเราะและเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองคนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยว
...แสบนักนะ...
“แล้วถ้าฉันขอได้?”
แจ็คสันยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปใกล้และโอบกอดชายหนุ่มไว้เช่นเดียวกับที่มาร์คเคยทำกับตนเอง เอ่ยกระซิบคำตอบสั้นๆแต่อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
“อืม...แล้วผมจะไปกับคุณ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น