[ตำหนักอี๋เจีย] 13 END
ตำหนักร้อนบำเรอรัก
13
ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว...
ทุกอย่างหมุนวนเดินไปอีกครั้ง
อี๋เอินเงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอกสารทางราชการ
มองกลีบบอบบางของต้นท้อร่อนลอยปลิวตกเข้ามาในห้องทำงาน บ้างก็ตกอยู่บนพื้น
บ้างก็ปลิวตกบนเอกสารที่กำลังจะจรดปากกาขนนกลงไป น่ารำคาญไปบ้างแต่ชายหนุ่มก็เลือกจะเปิดบานหน้าต่างไว้
อากาศวันนี้เย็นพอสบายตัวไม่หนาวมากหรือร้อนจนเหงื่อออก
ดวงตาสวยไล่มองข้อความบนกระดาษคำสั่งเร่งด่วนจากเมืองหลวงแล้วถอนหายใจ
คิ้วหนาขมวดติดกัน เครียดกับเนื้อสารที่เพิ่งอ่านจบ
ทางใต้กำลังก่อเค้าวุ่นวายเพราะการกบฏจากเผ่าคนเถื่อน
มีสารมาว่าให้เมืองทุกเมืองรักษาความปลอดภัยให้รัดกุม...
แค่นี้เมืองเขาก็วุ่นวายไม่พอหรือยังไง?
อี๋เอินถอนหายใจเฮือกใหญ่
ช่วงนี้บ้านเมืองชักจะไม่สบสุขเหมือนเก่า มีโจรชุมเยอะขึ้น
แต่ไม่ได้มาจากพวกชาวบ้านหรอก เป็นพวกคนต่างถิ่นที่เข้ามาแล้วไม่รู้กฎเกณฑ์บ้านเมือง
ยังไม่มีอิทธิพลแค่เช้ามาทำความวุ่นวาย จัดการไม่ยากเท่าไหร่
แต่ไอ้พวกที่เขาห่วงคืออำนาจเก่าต่างหาก
เบื้องหลังพวกตระกูลผู้ดีทั้งหลายก็มีแต่ความโสมม
ต่อหน้าก็ขึ้นตรงต่อเขาแต่พอลับหลังก็ปลิ้นปล้อนหลอกลวงประชาชน
คนพวกนั้นน่าโดนโบยให้หลังลายจริงๆ
“เอ้าๆ หัวคิ้วจะรวมกันแล้ว ท่านเจ้าเมือง”
“หุบปากของเจ้าแล้วมาช่วยข้าทำเอกสารพวกนี้ให้เสร็จจะดีกว่า”
เฟิงจีหัวเราะ
เดินเข้ามาใกล้สหายสูงศักดิ์ที่นั่งทำงานหัวฟูอยู่ท่ามกลางกองเอกสารมากมาย ใบหน้าหล่อเหลาดูคร่ำเคร่งและซูบโซมกว่าที่เห็นเมื่อสามเดือนก่อนอยู่โข
ก็ไม่อยากตัดสินหรอกนะ แต่ตั้งแต่เจียเอ๋อเป็นอิสระพ้นจากตำหนักไป
อี๋เอินก็ไม่เป็นท่านอี๋คนเดิมอีกต่อไป
บุรุษหนุ่มผู้สง่างาม เงียบสงบและใจเย็น
กลับกลายเป็นคนคร่ำเคร่งและเย็นชา ราวกับชีวิตชีวาของอี๋เอินหายไปพร้อมกับอดีตสนมหนุ่มผู้นั้น
“เจ้าดูโทรมลงเยอะเลยนะ อี๋”
“...ข้ารู้”
“ไม่หาคนดูแลเจ้าสักคนล่ะหืม?
อายุเจ้าก็ถึงวัยแล้วนะ”
มือที่กำลังจับปากกาขนนกหยุดชะงักจนหมึกดำละเลงกว้างทั่วหน้ากระดาษ
อี๋เอินเปรยตามองอีกคนดุๆ ส่งสายตาเตือนไม่ให้อีกคนพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก
มือเรียวเสยเส้นผมยาวรุงรังประใบหน้าแต่ก็ไม่คิดจะรวบมันขึ้น
อี๋เอินปล่อยตัวเองมากจริงๆ
เฟิงจีมองมือที่จับปากกาเขียนต่ออย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้าไม่ได้จับดาบมานานเท่าไหร่แล้วอี๋”
“ข้าไม่ว่างฝึกหรอก งานข้ารัดตัวเกินไป”
“ข้ออ้างของเจ้าอาจโกหกตัวเองได้
แต่มันโกหกข้าไม่ได้หรอกอี๋...ถ้าคิดถึงขนาดนั้นก็ไปตามเขากลับมาสิ
จะมามัวนั่งทุกข์แบบนี้ทำไม”
อี๋ถอนลมหายใจหนักหน่วง วางปากกาลงเก็บเอกสาร
วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำงานต่อแล้ว เป็นเพราะสหายจอมจุ้นของเขาแท้ๆ
ลุกขึ้นจากเก้าอี้บิดกายคลายกล้ามเนื้อ เดินไปหยุดมองต้นดอกท้อใกล้บานหน้าต่าง
และหากมองลงไปด้านล่างก็จะเจอกับห้องเล็กท้ายตำหนัก
ห้องที่รวมความทรงจำของเขาและใครคนนั้นที่จากไปเต็มไปหมด
“เขาชนะและควรได้รับรางวัล
ข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก จะให้ข้าผิดสัญญาอย่างนั้นหรือ”
“มันก็ใช่...แล้วเจ้าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันล่ะ?”
คำตอบของคำถามช่างเงียบงัน
เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้
ความทุกข์ระทมเพราะความคะนึงหาใครบางคนที่ไม่มีสิทธิ์ทวงกลับคืน
ยิ่งนับวันยิ่งฝังรากลึกจนไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อไหร่บาดแผลนี้จะหายไปจากใจ
“เสียดายที่เขาไม่รอจนเห็นดอกท้อต้นนี้บาน...”
เฟิงจีถอนหายใจ
ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องสหายผู้ยังติดลึกกับคนที่ทำหลุดมือไป
เขาคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ในเมื่ออี๋เอินไม่มีความกล้าจะเอากลับคืนเอง และเขาก็คงเป็นเพียงคนนอกที่ได้แต่มองว่าละครมหรสพแสนเจ็บปวดใจนี้จะจบลงอย่างไร
หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของละครเรื่องนี้จริงๆ...
เจ้าเมืองฉียิ้มน้อยๆมองกลีบดอกท้อดอกหนึ่งที่ร่วงตกลงมาบนฝ่ามือ
เขายกขึ้นมามองและอดเทียบสีของมันไม่ได้ว่าช่างเหมือนกับริมฝีปากของใครคนนั้น
จรดริมฝีปากลงบนกลีบนุ่มอ่อนสีสวยแผ่วเบา
ลมแรงสายหนุ่มพัดผ่านมากระชากกลีบดอกไม้กลีบน้อยลอยละลิ่วไปกับสายลมอย่างไม่มีวันได้กลับคืน
ชายหนุ่มมองตามมันไปและหัวเราะขื่นขมในลำคอ
...เขานี่มันน่าสมเพชจริงๆ...
อี๋เอินเดินกลับไปตามทางเลียบสวนหลวง เหม่อมองดูพรรณไม้หายากแข่งกันเบ่งชูสีสันงดงามบานสะพรั่งไปทั้งสวนยิ้มๆ
พวกนางกำนัลในชุดสีสันสวยงามตามฤดูกาลกำลังเด็กดอกไม้งดงามบางดอกลงตะกร้าเพื่อนำไปประดับในตำหนัก
แน่นอนว่ารวมไปถึงห้องนางสนมด้วย...
“ข้าขอช่อหนึ่งสิ”
เอ่ยปากกับนางกำนัลผู้หนึ่งที่ตกใจจนเกือบทำตะกร้าหล่น
นางรีบโค้งศีรษะลงทำความเคารพเขา แก้มแดงก่ำไม่รู้ว่าเขินหรือกลัว อี๋ย้ำความต้องการอีกรอบ
นางถึงจัดดอกไม้ช่อหนึ่งยื่นให้ อี๋รับมันมาและเดินต่อไป
ยกขึ้นสูดดมกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้แรกแย้ม
“สวัสดียามสายค่ะท่านอี๋เอิน”
“อ้าว ซูหนิง นั่นเจ้ากำลังจะเอาแจกันนั่นไปไว้ไหน”
หัวหน้านางสนมของตำหนักเลี่ยงหรงยิ้มสง่าและตอบรับเสียงใส
“ไปเก็บเจ้าค่ะ แจกันนี้ข้าเพิ่งได้รับมาใหม่จากพวกพ่อค้าเร่
เห็นว่างดงามดีเลยซื้อมาเผื่อไว้ใช้”
“เช่นนั้นข้าขอ”
“ใส่ดอกไม้นั่นหรือเจ้าคะ
เดี๋ยวซูหนิงจะจัดให้เจ้าค่ะ”
นางทำหน้าฉงนเมื่อเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์ส่ายหน้า
“ข้าจัดการเอง”
.
.
.
อี๋เอินเดินหอบดอกไม้และแจกันเดินมาตามทางเดินยาวของห้องเหล่านางสนม
แต่วันนี้เขามิได้มาหาใคร
ชายหนุ่มแค่เดินผ่านเพื่อไปถึงห้องเล็กๆไร้ความน่าสนใจตรงท้ายตำหนัก
ห้องที่เคยเป็นของเจียเอ๋อ นับแต่วันที่เจียเอ๋อไป
เขาก็สั่งให้นางกำนัลเข้ามาทำความสะอาดที่นี่ ห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งใดออกไป
จากนั้นก็ปิดตายห้องนี้มาโดยตลอด หยุดยืนมองบานประตูครู่หนึ่งและผลักมันเข้าไป
สูดกลิ่นอายที่แทบไม่เหลืออยู่ของใครคนนั้น วางแจกันบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง จัดดอกไม้ช่อเล็กๆใส่ไว้วางมองมัน
ลุกขึ้นเดินไปรอบห้องเล็กนี้
ไม่แปลกที่เจียเอ๋อจะบ่นเพราะที่นี่เล็กแคบและไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ตาสวยเหลือบไปมองกล่องขลุ่ยบนหัวเตียงเล็ก
มือเรียวลูบฝุ่นละอองบนกล่องไม้ออก ยกมันขึ้นมานั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดิม
ขลุ่ยเลาเดิมที่เคยมอบให้เจียเอ๋อยังนอนอยู่ในผ้าบุสีเข้ม
ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ไม่ปรากฏทิวทัศน์ใดๆยกเว้นกำแพงและท้องฟ้าใสเพียงบางส่วน
ยกจรดริมฝีปาก หลับตาลงใฝ่ฝันจินตนาการถึงคนที่อยู่แสนไกล
ภาพลวงตาแห่งความรักและความเกลียดชังยังปรากฏชัด
ฉันที่เป็นคนจูงมือเธอไปสู่ภาพเหล่านั้นกำลังทุกข์ทรมาน
ฉันที่อยู่ตรงนี้
กับเธอที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
ฉันจะรอเธอ... แต่หากไม่เจอ
เราก็คงไม่ใช่คู่กัน
ฉันพึ่งรู้ว่าเธอคือลิขิตที่ฟ้าส่งมาให้
คือภาพความจริงของความรู้สึก
เธอก้าวเข้ามาโลกที่เต็มไปด้วยหิมะธารน้ำแข็งอันแสนเย็นชาของฉัน
บุกรุกเข้ามาและทำให้มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากตัวเธอ
มือเรียววางขลุ่ยลงที่เดิม
เงยหน้ากลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตา หัวเราะให้กับความอ่อนแอของตนเอง
...จะเก่งกล้าจากไหน
สุดท้ายก็แพ้สิ่งที่เรียกว่าความรักจริงๆ...
ตะวันตกดิน ท้องฟ้าก็พลันมืดมิด วันนี้เป็นคืนกระจ่างไร้เมฆ
เห็นดวงจันทร์กลมโตเต็มดวงแจ่มชัด
พวกนางกำนัลและนางสนมเปิดหน้าต่างออกชมความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนกันใหญ่เพราะไม่อาจออกมาจากห้องได้ในตอนกลางคืน
พวกทหารเฝ้ายามกันแน่นหนาเพราะความวุ่นวายของเมืองหลวงอาจส่งผลกระทบถึงเมืองฉีตอนไหนก็ได้
อี๋เอินในชุดฮั่นฟูสีน้ำเงินเข้มเตรียมตัวเข้านอนเดินมานั่งอยู่หน้าต่างบานใหญ่
เงยหน้าชื่นชมจันทราดวงใหญ่ส่องแสงละมุนปกคลุมไปทั้งแผ่นดิน
แม้จะไม่สว่างเทียบเท่าดวงอาทิตย์ร้อนแรงแต่ก็เป็นแสงเย็นย่ำสบายตา ผืนนภาสีเข้มยิ่งทำให้ดวงจันทร์คืนนี้งดงามกว่าวันไหนๆ
ห้องนอนกว้างใหญ่หรูหราไปด้วยทองคำและของหายากล้ำค่าแห่งนื้คือห้องส่วนตัวของเขา
ส่วนใหญ่เป็นของที่ตกทอดมารุ่นต่อรุ่นและได้รับเป็นของบรรณาการจากชนผู้สวามิภักดิ์
อี๋เอินไม่ชอบแสวงหาของมีค่า จึงไม่ขวนขวายจะได้มันมาเหมือนเจ้าเมืองคนอื่นๆ แม้แต่หญิงงามชั้นฟ้าเขาก็ไม่สนจะแย่งชิง
หลายต่อหลายบทเรียนควรสร้างบทเรียนให้คนที่ได้ยินมัน
มากนักที่เมืองแข็งแกร่งทั้งหลายจะล่มสลายเพราะหญิงงาม
นอกจากดาบ เพลงขลุ่ยเพราะๆ
ก็เป็นความเงียบสงบของยามค่ำคืนนี่แหละที่เป็นของโปรดเขา
มือเรียวยกชาร้อนขึ้นมาจิบ หลับตารับรสละมุนลิ้น
หยิบเอาเลาขลุ่ยที่หยิบยืมมาจากห้องเล็กท้ายตำหนักขึ้นมาขับกล่อมเสียงเพลงแว่วหวานแฝงความคะนึงหาใครบางคนอีกครั้ง
หนึ่งความรักกับหนึ่งช่วงเวลา
หนึ่งดอกไม้บานและหมู่เมฆก้อนหนึ่ง
ในภาพแห่งความลวงนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือความรัก
หนึ่งฝั่นละอองและหนึ่งช่วงบรรลุ
หนึ่งแสงดาวตกและตัวเธอ
กลับมาได้ไหม ความรักนั้น
ฉันจะทะนุถนอมมันไว้ในฝ่ามือ
ยิ่งฉันกอดแน่นมากเท่าไหร่
ความรักและความโลภก็มากขึ้นเท่านั้น
ต้องรักจนปวดใจตาย
ในมือซ้ายนั้นกำหัวใจว่างเปล่า
ส่วนมือขวาฉันกำความหลงใหล
สองมือเข้าลึกไปถึงหัวใจ
ความหวั่นไหวและความทุกข์กำลังจารึกลงในใจ
ไม่ยอมรับโชคชะตานี้ได้ไหม...
ถ้าได้...ฉันจะขอเปลี่ยนมันเพื่อได้เธอกลับมา
ดวงตาสวยกระชากลืมมองเสียงเอะอะวุ่นวายด้านนอก
เสียงลั่นระฆังบอกเหตุร้ายเป็นสัญญาณว่ามีผู้บุกรุกล่วงล้ำเข้ามาในเขตตำหนัก
ชายหนุ่มวางขลุ่ยนั้นลงบนกล่อง
หยิบกระบีเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างอีกบานมองสถานการณ์อย่างใจเย็น
“มันไปทางนั้นแล้ว จับมันไว้!”
“มันกำลังตรงไปห้องท่านอี๋เอิน!!!”
เมื่อแน่ชัดแล้วว่าผู้รุกมีเป้าหมายอยู่ที่เขา
และคงมาเพียงคนเดียวก็ระบายยิ้มพราย ไม่มากนักหรอกที่จะมีใครกล้าบุกรุกเข้าเขตตำหนักของเขาด้วยตัวคนเดียว
ไม่เก่งมากก็ต้องโง่มากแน่ๆ...
หลับตาเปิดสัมผัสจนสูงสุด
ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางระเบียงทางเดินด้านซ้าย
นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ขณะเปิดประตูออกไป เปิดตามองผู้บุกรุกที่วิ่งหนีพวกทหารมาทางเขา
แต่เพียงสบตา เวลาก็ถูกแช่แข็ง
ร่างผู้บุกรุกแสนอุกอาจนั่นป้ำเป๋อขนาดหยุดตัวเองไม่ได้
สองเท้าเล็กพยายามจะหยุดวิ่งด้วยใบหน้าเหวอหวาดูไม่เป็นพิษเป็นภัย
และชนร่างอี๋ที่ยืนนิ่งอยู่เข้าให้เต็มๆ ส่งเสียงร้องครางเจ็บเบาๆในลำคอ
ในขณะที่คนโดนชนโอบกระชับเอวเล็กท่ามกลางความตื่นตระหนกของพวกทหารที่วิ่งตามมาอย่างกลัวว่านายตัวจะเกิดอันตราย
ความรู้สึกทุกอย่างกำลังระเบิดพวยพุ่งออกมาจนเกินระงับไหว
มือเรียวปล่อยกระบี่ลงกับพื้น โอบรัดร่างเล็กนั่นเข้าชิดกาย
จับใบหน้ากลมมนเชิดขึ้นประกบริมฝีปากเข้ากับกลีบดอกท้อสีสดที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดแนบแน่น
“อื้ม!!”ร่างเล็กกว่าทุบบนหลังเขาหนักๆครั้งหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทัน
แต่พอโดนรุกมากเข้าก็คลายมือลูบขึ้นคล้องคอชายหนุ่มผู้เหนือคนทั้งแผ่นดินไว้แน่น
เอียงใบหน้ารับจูบอย่างเต็มใจ จุมพิตร้อนบดขยี้เรียวปากอิ่มเอิบให้ช้ำแดง ส่งเรียวลิ้นเล็กหยอกเอินลิ้นเรียวที่เข้ามาดูดรัดฟันกันในโพรงปากนุ่ม
ซึมซับความคิดถึงผ่านทางรสสัมผัสหวามเสียจนร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบ
มือเรียวโอบกอดร่างนั้นเข้ามาชิดจนแทบสนิทลงไปเป็นเนื้อเดียวในขณะที่อ้อมแขนเล็กก็โอบรับลำคอแกร่งไว้แน่นไม่ต่างกัน
นายทหารรวมถึงผู้คนที่แตกตื่นออกมาเพราะเสียงเอะอะเมื่อครู่ถึงกับนิ่งค้างกลืนน้ำลายลงคอมองภาพองค์เหนือหัวกับผู้บุกรุกกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเร่าร้อนสร้างโลกส่วนตัวสีชมพูไม่สนใจสายตานับร้อยของคนในตำหนักด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
จากอึ้งค้างกลายเป็นจ้องตาแทบถลนอ้าปากพะงาบๆมองมือเรียวของอี๋เอินที่เริ่มเลื้อยปลดผ้าคลุมเอวผู้บุกรุกออก
...คือ เข้าห้องดีกว่าไหมท่าน...
“อะแฮ่ม”ในที่สุดก็มีผู้กล้ากระแอมไอเตือนสติเสียงดัง
คนนั้นก็ไม่ใช้ใครอื่น ก็ท่านเฟิงจีที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ข้างๆกันก็คือท่านหญิงของตำหนักผู้กำลังปิดปากทำหน้าสมใจ...เอ่อ
รื่นเริง...อ่า...เอาเถอะ
ท่านหญิงดูจะพอใจเอามากๆจนน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างๆท่านเฟิงจีนั่นล่ะ
อี๋เอินเหลือบตามองเฟิงจีอย่างไม่พอใจเพราะกระแอมไอขัดจังหวะ
ในขณะที่เจียเอ๋อมุดหน้าลงกับอกแกร่งอย่างเพิ่งนึกอายสายตาประชาชี
แล้วท่านเจ้าเมืองฉีก็ทำในสิ่งที่ทำให้หญิงสาวในตำหนักกรีดร้องเพราะความอิจฉา
เพราะจู่ๆท่านชายก็โอบรอบสะโพกแน่นอุ้มร่างเล็กนั้นลอยเหนือพื้นบังคับให้เรียวขาเล็กจับเกาะอยู่บนสะโพก
ช้อนก้นอุ้มเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ส่งเสียงคำสั่งก้อนเป็นอันจบความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างง่ายดาย
“พรุ่งนี้ข้าไม่ออกว่าความ
หากมีเหตุด่วนให้เหมยหลินออกหน้าแทน ห้ามใครเข้ามาในห้องข้า หากมีอะไรข้าจะเรียกใช้เอง”
สิ้นคำก็ปิดประตูฉับ จบเรื่องไปเสียง่ายๆ
เหมยหลินบิดกายเขินอายราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง มือไม้ระทวยข่วนเฟิงจีที่หัวเราะเป็นคนโรคจิตอยู่ข้างๆ
ส่วนคนอื่นๆก็ค่อยๆเก็บสติและพากันทยอยออกไป
แล้วก็ต้องรีบจรลีหายไปเมื่อเสียงในห้องเริ่มดังออกมาจนคนฟังหน้าร้อนผ่าวหาที่หลบภัยตามๆกัน
อี๋เอินอุ้มร่างเจียเอ๋อเข้ามาในห้อง
วางอีกคนไว้บนเตียงหลังใหญ่และลุกขึ้นคร่อม พินิจมองคนที่ไม่คิดว่าจะได้กลับคืนมาในอ้อมกอดด้วยแววตารักใคร่
เสียจนคนถูกมองเขินอายแก้มแดงปลั่งยกมือขึ้นปิดแก้มกลมของตนไว้
“ปิดทำไม ข้าอยากเห็นหน้าเจ้านะ”
“มันน่าอาย มันต้องแดงจนน่าอายมากแน่ๆ”
อี๋เอินส่ายหน้า
จับมือเล็กออกสอดประสานนิ้วกดมือเล็กกร้านไว้บนฟูกนอน
ไล่สายตามองร่างนั้นทีละส่วนด้วยความคิดถึง
ผิวขาวนวลเนียนออกคล้ำแดดขึ้นนิดหน่อยแต่ยังนับว่าขาวกระจ่างมากอยู่ดี
เรือนผมยาวถูกตัดสั้นประบ่าดูแปลกตาแต่ก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใบหน้ากลมหวานอ่อนละมุนขึ้นและน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม
คิ้วเรียวเหนือดวงตากลมโตทอประกายวาววับ จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม
ทุกสิ่งไม่เปลี่ยนไปเลย
มีแต่สีหน้าดูมีความสุขของเจียเอ๋อเท่านั้นที่เพิ่มมาให้เห็น
“หายไปไหนมา”
“เรื่องมันยาว”
“ไม่เป็นไร...ข้าดีใจนะ ที่เจ้ายอมกลับมา”
ชายหนุ่มเกลี่ยผิวแก้มอ่อนบาง
จุมพิตริมฝีปากเอิบอิ่มแผ่วเบา ผละออกมาจ้องมองด้วยสายตารักใคร่
ลูบนิ้วไปที่ข้างลำคอขาว และก้มลงจุมพิตสั้นๆอีกครั้ง
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โดนกระทำเช่นนี้ทำให้เจียเอ๋ออายจนแทบระเบิดตัวเองออกมาเป็นไอร้อน
นี่อี๋เอินจะรู้ไหมว่าสายตาของตัวเองตอนนี้เป็นพิษเป็นภัยแก่เขาขนาดไหน
“ท่านจะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าข้ากลับมาเพราะอะไร”
“เจ้าคิดถึงข้า”
“หลงตัวเองไปหน่อยไหมท่านอี๋...คิกๆ”เสียงหัวเราะแหลมสูงนั้นช่างดูมีความสุขแม้กระทั่งคนได้ยินก็ยังเผลอยิ้มตาม
“ข้าก็แค่...เหงาๆ ก็เลยมาวิ่งเล่นในตำหนักให้ท่านจับเล่นๆ”
เจียเอ๋อลอยหน้าลอยหน้าตอบ
ผิดกับอี๋เอินที่พอฟังคำแถลงของคนใต้ร่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งที่ประโยคนั้นออกจะกวนประสาทชวนให้เขกกะโหลกคนฉอเลาะ
แต่พอออกมาจากปากคนที่รักกลับทำให้เขามีความสุขมากเสียขนาดนี้
อี๋เอินกดจูบบนหน้าผากมนแผ่วเบา
“ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปไหนอีกแล้ว เจียเอ๋อ”
“หึ มันก็แล้วแต่ท่านว่าจะรั้งข้าไว้ด้วยวิธีไหน”
“แล้วถ้าข้ารั้งเจ้าไว้ด้วยหัวใจ...เจ้าจะยอมอยู่กับข้ารึเปล่าล่ะ?”
“ลมปากหรือจะสู้การกระทำ”เจียเอ๋อหัวเราะร่วนทั้งใบหน้ายังแดงก่ำ
สะดุ้งวาบมองร่างสูงสง่าที่สอดตัวเข้ามาชิด มือเรียวโอบสะโพกเข้าไว้
มืออีกด้านก็ลูบไล้จนบางสิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในร่าง
“เช่นนั้นข้าก็จะรักเจ้า
จนกว่าข้าจะแน่ใจว่าเจ้าจะไม่หนีข้าไปอีก”
“หึ เจ้าเมืองลามก”มือเล็กเปะข้างใบหน้าหล่อเหลา
ผงกศีรษะขึ้นประทับจูบอ่อนหวานเบาๆแล้วผละออกมา อี๋เงียบไปพักหนึ่ง หัวเราะในลำคอและมองคนช่างยั่วด้วยแววตาแสนเจ้าเล่ห์
“ก็ในเมื่อเจ้าน่ารักขนาดนี้
จะให้ข้าทนไหวได้หรือ?”
“ใครบอกให้ท่านทนกันล่ะ”เจียเอ๋อตอบกลับเผยรอยยิ้มยั่วเย้าให้ชายหนุ่มที่ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นด้วยจุมพิตร้อนและมือเรียวที่เริ่มล้วงเข้าใต้ฮั่นฝูไหมตัวบาง
ผ้าคลุมสะเอวที่ถูกปลดออกตั้งแต่นอกห้องเอื้อให้ชายหนุ่มได้รุกล้ำร่างกายขาวได้ง่ายขึ้น
ทั้งสองประกบจูบกันแนบแน่นไม่เหลือพื้นที่อากาศได้แทรกผ่าน ลิ้นเรียวรุกต้อนดูดกลืนความหอมหวานอย่างตะกละตะกราม
มือเล็กเกาะกุมบ่าแข็งลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์หวามของชายหนุ่มให้ลุกโชน
อี๋เอินผละจูบออก ก้มมองใบหน้ากลมขึ้นสีระเรื่อด้วยอารมณ์ที่โดนปลุกปั่น
ริมฝีปากอิ่มหอบเผยอครางเสียงเบา เอียงใบหน้าให้ชายหนุ่มได้ฝังเขี้ยวและรอยจูบบนลำคอขาวผ่อง
เรียวขายกขึ้นถูไถกับสะโพกสอบราวกับกลั่นแกล้ง
ในที่สุดฮั่นฝูตัวบางก็ถูกปลดออกจากเรือนร่างเย้ายวน
ดวงตาสวยจ้องมองด้วยความหลงใหล อี๋เอินลากมือลงมาเล่นกับแผ่นอกแน่น
ไล่ปลายนิ้วสัมผัสยอดอกนุ่มสีสด ครอบริมฝีปากดูดดุดมันเล่นจนมันแข็งตึงต้านลิ้น
เจียเอ๋อครางเสียงแผ่ว ไล่นิ้วเข้าลูบเรือนผมยาว เชิดหน้าครางเสียวซ่านไปทั่วเรือนกาย
อดสะท้านไม่ได้เมื่อมือหยาบเริ่มลุกล้ำลงไปด้านล่างกอบกุมส่วนกลางลำตัวที่ตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อครู่ไว้และเริ่มรูดขึ้นลงช่วยระบายอารมณ์ให้
“อ๊ะ อะ อี๋ ฮ้า ข้าจะเสร็จ อื้อ!”เจียเอ๋อร้องห้ามเสียงพร่า ดวงตาหม่นมัวไปด้วยราคะ
กลิ่นหอมติดเรือนกายขาวฟุ้งกระจายจนรู้สึกมัวเมา จมูกโด่งไล่ละไปตามลำคอกดจูบฝังรอยแดงเอาไว้ประทับตราว่าเจียเอ๋อเป็นของของตน
ดวงตาสวยเหลือบขึ้นมองเจียเอ๋อที่ตกอยู่ใต้อารมณ์หวาม ลอบยิ้มมุมปากกดจูบบนหน้าท้อง
เจียเอ๋อสะดุ้งเบิกตาโตมองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าครอบครองแกนกายตน
“อย่า...มันสกปรก”
“ชู่ว”ชายหนุ่มส่งเสียงเตือน
เลื่อนปลายนิ้วเข้าไปเล่นในโพรงปากนุ่มเป็นเชิงให้หยุดเสียงและปล่อยมันไปตามอารมณ์
ลิ้นเล็กเลียนิ้วเรียวในโพรงปากระงับความเขินเก้อ ยิ่งอารมณ์พุ่งสูงยิ่งดูดดุนหนักขึ้นเร่งเร้าให้เจียเอ๋อใกล้แตะความฝันขึ้นทุกที
“อื้อ!” แต่พลันก็ต้องหยุดชะงัก
ส่งเสียงร้องขัดใจ มองชายหนุ่มปล่อยเขาให้ลอยค้างเติ่งอยู่ในจุดที่ยากจะทนไหว
ขาเพรียวด้านที่ถูกตราประทับถูกจับตั้งขึ้น ดวงตาสวยหยุดมองรอบประทับตราของตนเอง
ก้มหน้าจูบบนรอยแผลเป็นนั้นเบาๆ นิ้วเรียวลูบปากช่องทางรักที่ยังปิดแน่นหยอกล้อและดุดดันนิ้วเข้าไปทีละนิด
ถึงจะเคยๆมาแล้วแต่ยังไงเจียเอ๋อก็ห่างหายจะเรื่องแบบนี้นาน
ยิ่งนิ้วเรียวดันลึกร่างเล็กก็ยิ่งสะท้านระริก
ส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดออกมาอยู่เนืองๆจนชายหนุ่มชักกังวล
“เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“อื้อ...ข้าเจ็บ ฮะ แต่ไม่เป็นไร
ข้าเชื่อ...ว่าท่านจะถนอมข้าได้”เจียเอ๋อฉีกรอยยิ้มกว้างแสดงความจริงใจในคำพูด
อวัยวะในอกด้านซ้ายของชายหนุ่มเต้นรัวกระหน่ำปิติต่อคำพูดนั้น ก้มลงจุมพิตขอบคุณสั้นๆ
ยิ้มมีความสุขเพราะได้รับความเชื่อใจจากคนที่รัก ดันนิ้วเข้าช่องทางแคบแสนบีบรัด
จากหนึ่งเป็นสองและสามตามลำดับ เบิกทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่อยากให้การร่วมรักครั้งนี้รุนแรงและทำให้เจียเอ๋อต้องบาดเจ็บอย่างที่ผ่านมา
“ข้าเข้าไปนะ”บอกให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อม
เจียเอ๋อมองลำใหญ่แล้วก็แอบกลืนน้ำลายอึก กี่ครั้งๆก็ไม่เคยจะชินได้เลยจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าสั้นๆอนุญาตให้ชายหนุ่มรุกล้ำร่างกายตนเองได้
อี๋จับสะโพกนุ่มไว้ค่อยๆประคองตัวตนแทรกผ่านเข้าไปในช่องทาง
ผนังเนื้อหยุ่นโอบรอบขมิบรัดจนแทบจะขยับไม่ได้ เจียเอ๋อหลับตาปี๋เชิดหน้าครางเจ็บ
นิ้วเล็กบนบ่ากว้างจิกรั้งระบายจนเลือดซิบ แต่อี๋ไม่ได้สนใจจะกล่าวโทษ
โอบสะโพกอวบไว้และดันร่างกายเข้าไปจนสุดลำ เจียเอ๋อครางแผ่วจุกเสียดในช่องท้อง
ดวงตากลมคลอน้ำตามองอ้อนวอนอี๋ไม่ให้กระทำรุนแรง
ประสบการณ์ที่ผ่านมายังฝังแน่นในความทรงจำ
อี๋รู้ถึงความหวาดกลัวนั้นและไม่อยากให้เจียเอ๋อต้องกังวล
ชายหนุ่มกดจูบบนหน้าผากชื้นเหงื่อเพื่อปลอบโยน
ในขณะที่สะโพกสอบเริ่มขยับช้าๆให้อีกฝ่ายได้ปรับตัว นิ้วเรียวสอดนิ้วประสานแน่นดั่งคำมั่นว่าจะไม่ให้อีกคนเจ็บปวดอีก
เจียเอ๋อเริ่มผ่อนคลายและเริ่มเล่นบทเพลงรักของพวกเขาด้วยจังหวะหวานล้ำ
สะโพกสอบร่อนเข้าหาอีกคนเชื่องช้าแต่หนักหน่วง ส่วนผนังเนื้อนุ่มก็ตอดรัดเป็นจังหวะหวามแน่นหนัด
ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว อุณหภูมิของเกมรักเริ่มพุ่งสูง
เสียงต้นขาแกร่งและเนินเนื้อนุ่มกระทบกันดังสะท้อนในห้องกว้าง
ขาเตียงแข็งแรงยังโยกคลอนตามแรงกระทำ
เสียงหวานแหบพร่าครางหวานดังอย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน
ในนาทีนี้พวกเขามีกันเพียงแค่สอง
ถ่ายทอดความรู้สึกลึกซึ้งผ่านทางร่างกายที่สอดประสาน
“ฮ่า อี๋ ข้าจะเสร็จ ฮ้า”เจียเอ๋อหวีดร้องรุนแรงขึ้นเมื่อตนใกล้ถึงจุดปลดปล่อย
มือเรียวที่กอบกุมอยู่บนแก่นกายเล็กเร่งรัดรูดรัวเร็วจนในที่สุดก็ปล่อยหยาดน้ำขุ่นเปรอะหน้าท้องและเชิงกรานสวย
เจียเอ๋อหอบเหนื่อยอ่อนก่อนจะร้องเสียงหลงเพราะร่างกายถูกจับลุกขึ้นโดยไม่ให้ตั้งตัว
อี๋จับร่างเล็กขึ้นนั่งคร่อมตัวเอง มือด้านหนึ่งจับสะโพกอวบอิ่มไว้จับบังคับให้ขยับขึ้นลงสานต่อกิจกรรมเร่าร้อนต่อไม่ให้เสียจังหวะ
แก้มกลมแดงวาบ แม้จะเขินอายแต่ก็ไม่ขัดขืนยามที่ต้องควบคุมเกมรักนี้เอง
มือเล็กทาบลงที่หน้าท้องเป็นลอนแข็งแรงของท่านเจ้าเมือง
ก้มหน้าดันตัวเองขึ้นลงด้วยจังหวะติดๆขัดๆเพราะความเก้อเขิน ยิ่งมาอยู่ด้านบนยิ่งเห็นสายตาอี๋ที่มองตนก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ก้มหน้างุดๆขยับสะโพกขึ้นลงเพื่อให้จบๆไปเสีย แต่ไฉนเลยสมองจะเทียบเท่าความต้องการใต้จิตใจ
ในที่สุดร่างเล็กก็ลืมผิดชอบชั่วดี เคลื่อนกายเข้าออกให้ลำใหญ่กระแทกเข้ามาในร่างตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครางหวีดรู้สึกดีทุกครั้งที่ขยับตัวไปโดนจุดอ่อนไหวในร่างกาย ดวงตาโตฉ่ำวาวน้ำตาเปี่ยมไปด้วยกามอารมณ์
ท่าทางยั่วยวนเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มตกสู่ห้วงความหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ขยับสะโพกกระแทกตอบรับเข้าหาช่องทางตอดรัด
“อ๋า เจียเอ๋อ ข้ารักเจ้า ฮ่า ข้ารักเจ้า”
“อื้อ! ยะ อย่าเพิ่ง อ๋า”
ชายหนุ่มพลิกร่างขาวลงบนฟูกอีกครั้ง
จับเรียวขาขึ้นพาดบนไหล่กระทั้งจังหวะรัวแรงปล่อยอารมณ์ทุกอย่างให้ระเบิดออกมา ถอนตัวออกเกือบสุดสอดประสานเข้าลึกฉีดพ่นน้ำอุ่นร้อนเข้าจองพื้นที่ในช่องทางฉ่ำรัก
เจียเอ๋อกระตุกร่างรับความปราณนาเข้ามาเต็มช่องทาง
นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าครั้งนี้อี๋จะปล่อยออกมามากกว่าครั้งไหนๆ กำลังจะเงยหน้าต่อว่าก็ลืมว่าจะต้องพูดอะไรเมื่อโดยคนเห็นแก่ได้ประกบริมฝีปากจูบดูดดื่มจนริมฝีปากอิ่มแตกช้ำ
“ข้ารักเจ้าเจียเอ๋อ”กระซิบบอกเสียงหวานย้ำเตือนให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกของตน
จ้องมองดวงตากลมที่เสหลบเขินอาย
“อืม...ข้าได้ยินแล้ว”
“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าคิดอย่างไร”
เจียเอ๋อไม่ตอบในทันที
ขยับกายดันสะโพกสอบให้ถอนสมอออกไป ก้มมองน้ำขาวขุ่นที่ไหลย้อนลงมาตามง่ามขา
นิ้วป้อมลูบมันขึ้นมาปาดไปบนริมฝีปากเรียวสวยของคนที่ยังอึ้งค้างอยู่
ลอบยิ้มแสนซุกซนขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักแกร่งกระกบจูบดูดดื่มพัวพันไม่มีใครยอมใคร
จนอารมณ์ที่เพิ่งดับไปเริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง มือเรียวที่โอบสะโพกนิ่มเริ่มไม่อยู่เฉย
ฟอนเฟ้นเนื้อแน่นนุ่มมือเข้าใกล้ช่องทางฉ่ำ
และก็ต้องละออกเพราะโดนเจียเอ๋อตีมือเข้าให้ ตากลมดุวาบแสนงอน
“ท่านนี่ลามกจริงๆเลย เพิ่งเสร็จไปไม่ใช่รึไง”
“กับเจ้าเท่าไหร่ข้าก็ไม่พอหรอก”อี๋เอินตอบรับหน้าตายจนกลายเป็นคนท้วงที่หน้าแดงเอง
“ตอบข้าสิ”
“หึ
ให้ทำขนาดนี้ถ้าท่านเดาไม่ได้ก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์เจ้าเมืองหรอก”
“เจียเอ๋อ”ชายหนุ่มส่งเสียงอ้อน
ทำหน้าน่าสงสารอย่างที่ไม่เคยหลุดมาดให้ใครได้ขนาดนี้ เจียเอ๋อมองแล้วหลุดหัวเราะ
โถมร่างลงไปชิดกระซิบคำนั้นข้างใบหู เพียงแผ่วเบาแต่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหัวใจ
“ข้าก็รักท่าน อี๋เอิน”
ฟ้าสางรุ่งอรุณ พระอาทิตย์ดวงโตโผล่พ้นขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าตะวันออก
เสียงนกน้อยบินร่อนอยู่ด้านนอก และเสียงเพลงขลุ่ยแว่นหวานใกล้ตัว เรียกให้ร่างที่ยังนิทราใต้ผ้าห่มผืนหนาลืมตากระพริบปรือ
เจียเอ๋อยกมือขยี้ตา เหลียวหาเจ้าของเสียงขลุ่ยซึ่งเป็นคนเดียวกับที่โอบกอดเขาตลอดทั้งคืน
“อืม...ท่านกำลังทำอะไร”ส่งเสียงแหบพร่าถาม
หรี่ตาปรืออย่างคนยังไม่อยากตื่นดี
อี๋เอินหันมามองร่างเล็กบนเตียงและยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของคนรัก
เพลียขนาดนั้นยังจะลุกขึ้นมาอ้อนเขาได้อีกนะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ติดหน้าต่างกลับไปนั่งบนฟูก
ลูบเส้นผมนุ่มฟูของเจียเอ๋อที่ขยับศีรษะถูอ้อนราวกับลูกสุนัขตัวเล็กๆแสนเชื่องแม้ตาจะยังปิดแน่นอยู่ก็ตาม
“เป่าขลุ่ย ฟังไหม?”แม้จะถามแต่ก็ไม่หยุดฟังคำตอบของเจียเอ๋อ
ชายหนุ่มจรดขลุ่ยเป่าท่วงทำนองเพลงเดิมแต่คราวนี้กลับหวานละมุนชวนให้คนฟังรู้สึกอบอุ่นชวนไว้วางใจ
สามีภรรยา 7
ชาตินั้นคงเป็นเพียงแค่ตำนาน
7 วัน 7 เดือนนั่นคงต้องรออีก 1 ศตวรรษ
เธอคือท้องฟ้า ผืนดิน สายลม และแสงแดด
เธอคือกบฏที่ทำให้ใจฉันปั่นป่วนมันไปทุกฤดู
หนึ่งความรักกับหนึ่งช่วงเวลา
หนึ่งดอกไม้บานและหมู่เมฆก้อนหนึ่ง
ในภาพแห่งความฝันและแดนหิมะของฉัน
สิ่งนั้นคือรักที่คอยรั้งหัวใจ
กลับมาได้ไหม ความรักนั้น
ฉันจะทะนุถนอมมันไว้ในฝ่ามือด้วยใจจริง
สุดที่รัก ความรักของฉัน
ฉันจะถนอมเธอไว้มิให้จากไปไหนไกล
“หวานเชียว จะเอาไว้เป่าให้สนมผู้ใดฟังล่ะ”เอ่ยถามเหน็บแนม
ส่งเสียงต่อต้านในลำคอขยับตัวหนีริมฝีปากร้อนที่กดจูบข้างซอกคอหอม ลมหายใจร้อนรุกเรื่อยขึ้นมาถึงใบหูนิ่มแดง
อ้าปากขบเบาๆก็สยิวไปทั่วร่างแล้ว ยิ่งเสียงทุ้มกระเซ้าตอบยิ่งเขินขึ้นเป็นทวีคูณ
“ข้าให้สนมน้อยฟังผู้เดียว”
“หึ คนปลิ้นปล้อน...หยุดลวนลามข้าได้แล้ว
ร่างกายข้าช้ำไปหมดแล้วเพราะท่าน”เจียเอ๋อร้องห้ามมือเรียวที่เริ่มลูบไปตามง่ามขาเขาอีกแล้วอย่างหงุดหงิดใจ
เมื่อคืนทำเอาเขาสลบไปคาอกนี่ไม่พอหรือไงกัน
อี๋เอินไม่ฟังคำห้ามปรามนั้น
สอดมือเข้าใต้ต้นขาอวบอัดลูบไล้สัมผัสรอบขรุขระบนผิวเนื้อเนียนละเอียด
บังคับจับร่างเล็กนอนหงายลงบนฟูก แยกเรียวขาออกมองตราประทับของตนเองด้วยความรู้สึกผิด
“ตอนนั้นเจ้าคงเจ็บมากแน่ๆ”
“หึ
ลองโดนเหล็กร้อนๆทาบผิวสิแล้วท่านรู้ว่ามันเจ็บขนาดไหน”เจียเอ๋อหัวเราะหึในลำคอ
นึกโกรธเคืองอีกคนขึ้นมาเสียดื้อๆ พอคิดย้อนไปแล้วเขาโดนอี๋ทำร้ายมามากต่อมากแ ต่ก็ยังไปตกหลุมรักคนแบบนี้ได้อีก
บ้าบอชะมัด...
“ขอโทษ”
ถ้อยคำสั้นๆแต่ออกมาจากใจจริงๆทำให้เจียเอ๋อต้องหันกลับมามองร่างสง่า
ถอนหายใจยิ้มๆ ประคองร่างลุกขึ้นมาจับใบหน้าหล่อเหลาเข้ามามองตา
“ไม่เป็นไรหรอก...จริงๆแล้วท่านควรขอบคุณรอยแผลเป็นนี่นะ
เพราะถ้าไม่มีมัน ข้าคงไม่กลับมาหาท่านแน่ๆ”
ดวงตาของอี๋แสดงความไม่เข้าใจ เจียเอ๋อยิ้มและอธิบายต่อ
“รอยประทับนี่ทำให้ข้าลืมท่านไม่ได้...ทุกครั้งที่เห็นข้าก็จะนึกถึงหน้าท่าน
ทุกสิ่งที่อย่างที่ท่านทำกับข้า ไม่ว่าจะร้ายหรือว่าดี
จะให้ข้าหนีท่านไปจนสุดบู๊ลิ้มข้าก็ไม่สามารถจะลืมท่านได้ ข้าถึงได้กลับมา
เพราะข้าเพิ่งรู้ตัว...ว่าข้าเป็นของของท่าน ทั้งตัวและหัวใจ”
“ขอบคุณนะเจียเอ๋อ...ขอบคุณที่กลับมาเคียงข้างข้า”
“ใครว่าข้าจะอยู่กับท่าน”ร่างเล็กบอกหน้าตาย
ขยับตัวลงไปนั่งขอบเตียง หยิบเสื้อตัวเองขึ้นมาสวมหันหลังให้เจ้าเมืองฉีที่เริ่มตามอารมณ์อีกคนไม่ทัน
“พันธะทรัพย์สินระหว่างท่านกับข้าไม่มีอีกแล้ว
ข้าเป็นอิสระและข้าก็ไม่อยากอุดอู้อยู่กับที่ๆเดียว ข้าอยากท่องยุทธภพ
ตามหาแหล่งเพลงดาบชั้นเลิศ อ้อ หาที่เที่ยวดื่มสุราด้วย”ใบหน้ากลมหันกลับมามองอี๋เอินที่ยังนิ่งเงียบอยู่
“ฉะนั้น ข้าถึงได้บอกยังไงล่ะ ว่าแล้วแต่ว่าท่านจะรั้งข้าไว้ด้วยวิธีไหน”
“...”
“ไม่รู้สินะ...ถ้าเช่นนั้นก็ขอลา”มือขาวกำลังจะสวมเสื้อต่อก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆร่างก็โดนผลักลงไปนอนกับพื้นฟูกโดยมีร่างสูงสง่าเข้าทาบทับ
มือเรียวกระชากเสื้อเขาออก
กำลังจะต่อว่าว่าถึงจะข่มขืนหรือกักขังก็รั้งเขาไว้ไม่ได้
ก็ต้องเงียบปากไปเมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาจริงจังของอี๋เอิน
“ช่วยข้าทำงานสิ”
“หืม?”
“ตอนนี้มีโจรชุกชุมทุกหนแห่ง
บ้านเมืองเรากำลังต้องการยอดฝีมือเช่นเจ้า...อยู่กับข้า
ช่วยปราบพวกนั้นร่วมกับข้า...นั่นคือข้าเสนอที่ข้าจะรั้งเจ้าไว้เจียเอ๋อ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าข้าจะยอมตกลง”
“เจ้าจะต้องตกลง”
เจียเอ๋อแบะปากหมั่นไส้ความมั่นหน้าของเจ้าเมืองฉี
แต่ก็ยอมรับว่าชายหนุ่มเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่อง มองคนออกอย่างทะลุขาดจริงๆ
“หึ ท่านเดาถูก...ข้าตกลง”
อี๋เอินยิ้มกริ่ม
มองร่างขาวที่เสหน้าหลบแสร้งทำไม่พอใจแต่ริมฝีปากกลับอมยิ้มหัวเราะคิกคัก
ท่าทางแสนซุกซนนั่นเป็นด้านที่ชายหนุ่มก็เพิ่งได้เห็น
และยิ่งทำให้เขาหลงใหลเจียเอ๋อมากขึ้นไปอีก
“แต่ก่อนช่วยงานข้า
ข้าว่าเจ้าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกเยอะ เมื่อคืนแค่สามรอบเจ้าก็สลบเหมือดแล้ว”
“นั่นมันคนละเรื่อง!
อย่ามาเหมารวมข้าว่าอ่อนแอนะ! ครั้งแรกท่านก็อ่อนโยนอยู่หรอก
แต่พอหลังๆท่านก็เอาแต่กระแทกใส่ข้าจนช้ำไปหมด”เจียเอ๋อว่าร้องฟึดฟัด บังอาจมาว่าเขาอ่อนแอ
ลองโดนหนักๆขนาดเมื่อคืนสิ จะมีใครอยู่รอดเกินสามครั้งบ้าง
เป็นสนมร่างน้อยๆคงได้ช้ำในตายแน่ๆ
เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมอี๋เอินถึงไม่ค่อยมีสัมพันธ์กับนางสนมอื่น ก็ท่านเจ้าเมืองเล่นบ้าพลังหักโหมเสียขนาดนั้น
ใครมันจะรับไหวกัน
อี๋หัวเราะไม่ไดโกรธเคืองเพราะโดนต่อว่า
รู้สึกมีความสุขจนสามารถยิ้มและหัวเราะได้ทั้งวัน
คงเป็นเพราะได้ตัวสร้างความสุขกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้งเป็นแน่ พลันก็เกิดความคิดเจ้าเล่ห์
โถมกายเข้าทาบทับร่างเล็กที่สะดุ้งเฮือกช้อนตามองเขาอย่างไม่วางใจ
“แล้วเช้านี้ให้โอกาสข้าแก้ตัวได้ไหมล่ะ”
“ข้าหิวข้าว”
“กว่าโรงครัวจะทำอาหารเสร็จก็อีกสองยาม
เรามีเวลาเหลืออีกเยอะ”
“ในหัวท่านมีแต่เรื่องอย่างนี้หรืออย่างไรกัน...เฮ้อ”เจียเอ๋อถอนหายใจ
ยกแขนกอดลำคอแกร่ง เผยรอยยิ้มยั่วยวนแสนซุกซน “ตามใจท่าน แต่อย่าให้ข้าสลบก็พอ”
“หึ เจ้าก็รู้ว่าข้าหยุดตัวเองไม่ได้หรอก
ยิ่งกับคนช่างยั่วเช่นเจ้าด้วยแล้ว”
“ก็อย่าทำแรงสิ...”เจียเอ๋ออ้อมแอ้มตอบ
“ข้าก็หิวข้าวเหมือนกันนะ อย่าทำรุนแรงจนข้าสลบล่ะ ท่านอี๋เอิน เจียเอ๋อผู้นี้อยากทานข้าวบ้าง
ไม่ได้อยากทานลำไผ่ท่านทั้งวันหรอกนะ มันไม่อิ่ม”อ้อนเสียงหวาน
ดวงตาทอประกายแวววับซุกซน ยั่วยวนจนอี๋เอินได้ยินเสียงตบะตัวเองขาดข้างในหัว...
“เจ้ายั่วข้าเองนะ เจียเอ๋อ...”
แล้วเหล่านางสนมผู้มีหน้าที่ยกสำรับอาหารมาให้ในยามเช้า
ก็ต้องยืนหน้าแดงฟังเสียงครางหวานและเสียงเตียงโยกอยู่หน้าห้องนานกว่าครึ่งชั่วยาม...
-จบบริบูรณ์-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น