[ตำหนักอี๋เจีย] 12
ตำหนักร้อนบำเรอรัก
12
เมฆาเคลื่อนคล้อยสีเทาทะมึนทึบ
แสงอาทิตย์สลัวหมองหม่นทั่วมุมเมือง อากาศเย็นแห้งแล้ง
ทั้งที่เวลานี้เป็นเวลากลางวันย่ำบ่าย มันควรจะอบอุ่นขึ้นมาสักนิด
แต่วันนี้แปลกที่หนาวเย็นตลอดทั้งวัน
อากาศจะเป็นอย่างไรแต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป
เสียงจอกแจกจอแจข้างนอกกำแพงก็ยังคงลอดมาให้ได้ยินสม่ำเสมออย่างทุกวัน
ดวงตากลมจดจ้องอยู่ที่ปลายกระบี่ในมือที่เริ่มสั่นไหว
ปลายนิ้วสั่นระริกแต่ยังจับมันไว้มั่น จมูกรั้นสูดลมหายใจเข้าลึก
พลิกกระบี่แหวกสายลมส่งเสียงสั่นสะเทือนน่าครั่นคร้าม
เจียเอ๋อค่อยๆพาร่างกลับมาท่ายืนสงบ
“แฮ่ก...แฮ่ก...”หน้าอกยกขึ้นลงหอบสั่นไหว
หรี่ตามองมือด้านที่จับกระบี่สั่นระริกไม่ยอมหยุดด้วยความเหนื่อยล้า
ปล่อยหยดเหงื่อข้างขมับไหลลงไปอย่างไม่ใส่ใจ หลับตาถอนหายใจเข้าออกตั้งสมาธิ พลันก็ได้ยินเสียงใบไม้ขยับไหวอยู่ไกลออกไป
ตากลมลืมขึ้นหันไปมองทางต้นเสียง
ชักสีหน้าหงุดหงิดแวบหนึ่งและกลับมาทำหน้าเรียบเฉย
เก็บกระบี่ลงปลอกไม่สนใจมนุษย์ชั้นสูงบนทางเดินนั้น
“มาเอ้อระเหยลอยชายอยู่แถวนี้
เผื่อข้าเผลอฟาดกระบี่ใส่ท่านเกรงเดี๋ยวจะตายก่อนประลองจริง”
“คนจะตายนั่นเจ้าหรือข้ากันแน่”
“ท่านสิ”
อี๋เอินหัวเราะหึเยาะเย้ยในลำคอเป็นคำตอบ
เจียเอ๋อสะบัดหน้าทำหน้าหงุดหงิดมองชายหนุ่มเจ้าเมืองผู้มีรอยยิ้มบางๆประดับใบหน้า
พลันแก้มก็เห่อร้อนรีบก้มหน้าหลบสายตาเอ็นดูนั้น มือขาวแสร้งจัดเสื้อผ้า
หลุดนิ่วหน้าออกมาเสี้ยววินาที
“อย่าให้บาดเจ็บก่อนประลองกับข้าแล้วกันนะ สนมน้อย”
“ท่านนี่มัน!!!...”
ปากแดงอิ่มกำลังจะบริภาษเสียงดังก็หุบเงียบ
เมื่อหันไปก็ไม่เจอใครอีกแล้วนอกจากความว่างเปล่า
จมูกรั้นถอนหายใจกับความไปเร็วมาเร็วของชายหนุ่ม ยกมือขึ้นมามองรอยแดงของด้ามดาบบนฝ่ามือขาว
ยิ่งตรงปลายด้ามยิ่งกดลึกเสียเลือดซิบ ดีที่เมื่อครู่อี๋เอินไม่ทันเห็น
ไม่อย่างนั้นคงโดนเยาะเย้ยอีกเป็นแน่แท้ อุตส่าห์หาที่เงียบๆฝึกซ้อมกระบวนท่าใหม่
ก็ยังโดนเจอตัวอีกจนได้ แต่จะว่าไปก็ไม่แปลก ก็ตำหนักนี้เป็นของอี๋เอิน
เจ้าตัวย่อมรู้จักพื้นที่ดีอยู่แล้ว
กำลังจากเดินขึ้นจากสวนก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างจากหางตา
ก้มมองดูให้แน่ใจ หันซ้ายขวาว่ามีใครมาลืมไว้หรือไม่
ก่อนจะก้มตัวเก็บขวดยาเล็กๆและผ้าขาวบนพื้นทางเดินขึ้นมาจ้องมองด้วยความสงสัย
“ของใครกัน?”
ไม่ทันจะได้คิดใคร่ครวญ
ภาพของอี๋เอินก็ปรากฏแทรกชัดขึ้นมาในความคิด
เจียเอ๋อรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดแปลกๆออกจากสมอง
แม้แก้มจะร้อนผ่าวนำหน้าไปแล้วก็ตาม ยืนจ้องมองมันอีกสักพัก
แล้วเผลอยิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
‘อย่าให้บาดเจ็บก่อนประลองกับข้าแล้วกัน’
“หึ คนปากแข็ง”
นายหญิงน้อยแห่งตำเลี่ยงหรงนั่งอยู่บนระเบียงชานพักเงยหน้ามองเกล็ดกิมะเบาบางร่วงหล่นลงมาช้าๆด้วยแววตาเหม่อลอย
โต๊ะน้อยข้างตัวมีทั้งน้ำชาและขนมหน้าหนาวสีสวยแต่เหมยหลินก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก
แค่ชาดื่มเป็นบางครั้งและลอบถอนหายใจเป็นบางขณะ
“ท่านหญิง เข้าไปข้างในเถอะค่ะ
เดี๋ยวไม่สบายได้นะเจ้าคะ
“อีกสักพักนะ”
นางกำนัลมองหน้ากันเลิกลักไม่รู้จะทำอย่างไร
หิมะเริ่มตกแล้ว พวกนางกลัวนายหญิงจะไม่สบายแล้วพวกนางจะโดนต่อว่าและทำโทษเอาได้
ขณะที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีก็มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งแอบเดินเข้ามาเงียบๆทางด้านหลัง
เขายิ้มและทำสัญลักษณ์มือให้พวกนางออกไป
แม้จะลังเลใจแต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงคำสั่งของชนชั้นสูงกว่าได้
พวกนางค่อยๆย่องออกไปให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่เคลื่อนกายเข้ามาใกล้เหมยหลินมากขึ้น
“มาเงียบๆมีอะไรหรือท่านเฟิงจี”
“รู้ตัวเร็วตลอดเลยนะท่านเหมยหลิน”หมอหลวงประจำตำหนักกลั้วหัวเราะ
เดินไปยืนข้างกายหญิงสาวที่ยังมองบรรยากาศเงียบๆ
“คิดว่าข้าเป็นใครกัน...แล้วมีเรื่องอะไรหรือ”
“พรุ่งนี้แล้วสินะ”
เหมยหลินเงียบไป เข้าใจถึงความหมายที่ชายหนุ่มต้องการจะสื่อดี...
พรุ่งนี้เป็นวันประลองของอี๋เอินและเจียเอ๋อ
มันเป็นการประลองที่ไม่รู้ว่าควรให้กำลังใจฝั่งไหนดี เพราะไม่ว่าฝั่งไหนจะชนะ
สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยความความเจ็บปวด หากอี๋เอินชนะเจียเอ๋อก็จะเจ็บปวดเพราะขาดอิสระตลอดกาล
หากเจียเอ๋อชนะอี๋เอินเองก็เจ็บปวดเพราะสูญเสียเจียเอ๋อไปเช่นเดียวกัน...
“ท่านพี่นี่โง่จริงๆ”
จู่ๆเหมยหลินก็โพล่งออกมาทำเอาเฟิงจีหลุดหัวเราะ
“ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ
ถ้าท่านอี๋ได้ฟังคงเสียใจเป็นแน่”
“ท่านเฟิงจีก็คิดเหมือนกันใช่ไหม เรื่องง่ายแท้ๆ
ไปเติมกฎนู่นนี่ให้ยุ่งยากแถมเจ็บช้ำกันทั้งสองฝ่ายทำไมกัน”หญิงสาวดูหัวเสียเมื่อพูดถึงเรื่องนี่
ท่าทางนิ่งๆเมื่อครู่คือคิดมาตลอดเวลาสินะ
“ข้าไม่เคยเห็นท่านสนับสนุนใครเท่านี้
ถูกใจอะไรเจียเอ๋ออย่างนั้นหรือ?”เฟิงจีถามยิ้มๆ
เป็นรอยยิ้มที่เหมยหลินไม่เคยชอบเลย เพราะดูไม่ออกว่าชายคนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร
หรือกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“เพราะเจียเอ๋อเป็นลูกหมาน่าแกล้ง”เหมยหลินสรุปออกมาเป็นประโยคเดียวก่อนอธิบายเพิ่ม
“คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมด ใสซื่อแต่ก็กล้าแข็ง...แต่จริงๆแล้ว
ท่านพี่รักใครข้าก็รักเขาด้วยนั่นแหละ เพียงแต่ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงไม่เข้าตา
ข้าเลยไม่ชอบก็แค่นั้นเอง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านอี๋เอินรักเจียเอ๋อ?
ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยพูดเลยนะ”เฟิงจีกลั้วหัวเราะเจ้าเล่ห์
ในขณะเหมยหลินส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
“ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกว่าท่านพี่โง่รึ”
เฟิงจีลอบถอนหายใจ เดินเข้าไปใกล้ระเบียง
ยกฝ่ามือรับเกล็ดน้ำแข็งอ่อนใสจากฟากฟ้า
ทันทีที่เจออุณหภูมิร่างกายมนุษย์ก็ละลายกลายเป็นน้ำภายในพริบตาเดียว
“ทุกคนล้วนมีเหตุผลกันทั้งนั้น”เขาหันหน้ากลับมายิ้มให้นายหญิงน้อย
“ข้าว่า...เราอย่าเพิ่งตัดสินอะไรดีกว่า พรุ่งนี้พวกเขาจะเป็นคนเลือกเอง”
เหมยหลินพยักหน้าเห็นด้วย
ทอดสายตามองหิมะทับถบบนพื้นดินเทินสูงขึ้นเรื่อยๆจนสวนสวยกลายเป็นสีขาวโพลน
“เจ็บทุกทาง...ขอให้พวกเขาเลือกทางที่เจ็บน้อยที่สุดก็แล้วกันนะ”
ในที่สุดวันประลองก็มาถึง
เจียเอ๋อลืมตาตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมในการประลองที่จะตัดสินชีวิตเขาทั้งชีวิต
ฟ้าข้างนอกยังสลัวมืด
ชายหนุ่มลุกขึ้นมาเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเรียกขวัญกำลังใจถือเป็นฤกษ์ยามว่าเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก
เข้าไปชำระร่างกายในห้องอาบน้ำที่ออกไปจุดไฟอิงเตาถ่านเองเพราะไม่อยากรบกวนนางกำนัล
น้ำอุ่นๆในยามเช้าแบบนี้เป็นผลดีต่อการไหลเวียนโลหิต
แน่นอนว่าการไหลเวียนของกระแสพลังในร่างก็จะสมดุลมากยิ่งขึ้น
ควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น แถมหัวสมองปลอดโปร่งเพราะนอนหลับเพียงพอ
เจียเอ๋อว่าเขาพร้อมในการประลองครั้งนี้แล้ว
ลุกจากอ่างน้ำหาเสื้อคลุมมาคลุมป้องกันความหนาวเย็น
กระโดดเหยงๆออกไปแต่งตัวด้านในห้อง
มือขาวลูบเสื้อผ้าที่เขาขอร้องให้ซูหนิงตามคืนมาให้
เสื้อผ้าตัวที่เขาใส่เมื่อวันแรกที่เข้ามา ดีใจที่มันยังไม่หายไปไหน
สวมใส่พวกมันจัดอย่างประณีตบรรจง
รวบเส้นผมยาวสีเข้มขึ้นรัดแน่นให้มั่นใจว่าจะไม่ตกลงมาเป็นอุปสรรค์ในยามออกดาบ
หมุนตัวไปมาให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปหยิบกระบี่คู่ใจซึ่งถูกส่งมาให้โดยเกาลูนเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ
เจียเอ๋อเดินออกไปจากห้อง
ลมหนาวกระหน่ำพัดเสียจนฟันกระทบกันกึกๆ
เร่งดำเนินลมปราณในร่างรักษาความอบอุ่นของร่างกาย ความหนาวไม่มีผลต่อเขา
เพราะการฝึกบนยอดเขาหิมะนั่นทำให้เคยชินความหนาวเหน็บนี้และรู้วิธีจัดการมันอย่างดี
เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีม่วงเข้ม
ดูแล้ววันนี้หิมะไม่น่าจะตกแต่อาจจะมืดสลัวทั้งวัน ไฟคบเพลิงตามทางถูกดับลงไปแล้ว
พวกนายทหารก็ประจำจุดเดิมๆ เดินผ่านพวกเขาไปด้วยความเกรงๆ
จะหลุดหัวเราะบ้างก็ตอนเห็นบางคนหลับซะเนียน
ไม่รู้สิ่งใดนำพาเขาให้มายืนอยู่หน้าห้องเล็กท้ายตำหนักได้
เจียเอ๋อมองบานประตูที่ยังปิดแน่น
ยอมรับว่ายังรู้สึกสั่นเกรงเล็กๆ เพราะหากจะพูดในความรู้สึกเขา ห้องนี้ก็เปรียบเสมือนคุกที่คุมขังเขาไว้
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่มีเพียงความหงอยเหงาจากการอยู่ตัวคนเดียว
ศักดิ์ศรีที่โดนทำลายจนย่อยยับในคืนนั้น ความรวดร้าว ความทรมานแสนสาหัส
ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นอะไรที่เขาไม่คิดอยากจะจำแต่ก็อดนึกถึงไม่ได้
ในเมื่อความเลวร้ายเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยบางอย่างที่เขาอยากจะจดจำเอาไว้
ความอบอุ่นของฝ่ามือหยาบที่มักจะลูบศีรษะเขาเวลาหลับ
เพลงขลุ่ยแสนไพเราะที่เขาคนนั้นเป่าปลุกเขา
เสียงหัวเราะรอยยิ้มของเขาคนนั้นเวลาที่เจียเอ๋อทำหน้างอนหรือทำอะไรโก๊ะๆให้เห็น ความเร่าร้อนวาบหวามที่เขาคนนั้นมอบให้เกือบทุกค่ำคืน...
อ่า...ข้อสุดท้ายนั่นไม่อยากจะจำเท่าไหร่หรอกนะ...ก็แค่ลืมไม่ลง
มือขาวลูบใบหน้าร้อนๆของตัวเอง
กัดริมฝีปากขณะยกกลอนประตูออกเพื่อเข้าไปภายใน ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม
เตียงแข็งๆหลังเดิม โต๊ะติดหน้าต่างตัวเดิม แม้แต่กล่องสี่เหลี่ยมบนหัวเตียงนั่นก็ยังสภาพเดิม
เจียเอ๋อเดินเข้าไปหยิบกล่องขลุ่ยขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง
เปิดกล่องมองดูเลาขลุ่ยที่เป็นเพื่อนเขามาตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้
ลูบมันด้วยความหวงแหน ยกมันขึ้นจรดริมฝีปากเป่าลมบรรเลงเพลงตามความรู้สึกตนเอง
ห้วงความทรงจำในตำหนักเลี่ยงหรงถูกขัดกล่อมและเปล่งออกมาเป็นบทเพลงขลุ่ยทำนองช้าเศร้า
แฝงเร้นไปด้วยมวลอบอุ่นละมุนละไม แม้จะทุกข์ในตอนนั้นแต่ก็มานั่งขำในตอนนี้
ความเหงาหงอยในตอนนั้นแต่มานั่งยิ้มและหัวเราะเล็กๆในวันนี้
ภาพเหตุการณ์ขมขื่นแต่ก็หวานล้ำสะเทือนกระเพื่อมหัวใจให้ไหวเอน
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ทุกข์ทรมานแต่ก็ยังหลงใหลชื่นชม
จนบางครั้งก็เมามัวเสียลืมความจริงว่าที่ตัวเองยืนอยู่นั้นไม่ใช่ที่ที่ตนควรจะอยู่
เช่นเขาที่หลงมีความสุขกับความอบอุ่นเล็กๆของอี๋เอิน
จนบางครั้งบางคราวก็ลืมว่าตนไร้ซึ่งอิสรภาพอย่างที่มนุษย์ผู้หนึ่งควรได้รับ...แต่มันก็แค่ชั่วคราว
เพราะตอนนี้เขาหลงใหลกับกลิ่นหอมหวานของอิสระที่อยู่บนมือของอี๋เอินเสียจนไม่คิดถึงสิ่งใดอีก
แม้จะไม่รู้ว่าจะเป็นความลวงของโลกกลวงๆใบนี้อีกหรือไม่ แต่เขาก็จะพุ่งทะยาน
พยายามคว้ามันมาด้วยสองมือนี้ แม้จะต้องเสียใจอีกครั้งก็ตาม...
ท่วงทำนองสุดท้ายหายไปพร้อมกับสายลมแผ่วๆที่โพยพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง
ดวงตากลมปิดลงและเปิดขึ้น รู้สึกถึงกลิ่นหอมอันคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ
มือขาววางขลุ่ยลงในกล่อง
ลุกขึ้นหันไปจ้องมองคนที่ยืนพิงบานประตูห้องที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อครู่
“การสอดแนมเป็นนิสัยของเจ้าเมืองฉีรึอย่างไร”
“หึ อย่าหลงตัวเองไป
ข้าแค่เดินผ่านมาแล้วได้ยินเสียงขลุ่ยตั้งแต่เช้ามืดเลยแปลกใจก็เท่านั้น”อี๋เอินยิ้มมุมปากตอบโต้
ร่างงดงามอยู่ในชุดทะมัดทะแมง เส้นผมเก็บเรียบร้อยอย่างที่ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นัก
ก็ทุกครั้งอี๋เอินจะอยู่ในชุดสบายๆและผมปล่อยยาว
ดูท่าแล้วการประลองครั้งนี้เขาคงจะชนะไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่ออีกคนดูเอาจริงขนาดนี้
“ข้าไม่ยอมแพ้ท่านหรอกนะ”เจียเอ๋อเอ่ยจริงจัง
หน้ามองตรงขึงขัง ดวงตากลมทาประกายแน่วแน่ไม่หวั่นไหวแม้รู้ว่ายากจะชนะก็ตาม
“ข้าก็ไม่ออมมือให้เจ้าเช่นกัน”อี๋เอินก็ไม่แพ้กัน
รอบนี้เขาเอาจริงและไม่ยอมอ่อนให้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นเจียเอ๋อก็ตาม หากเขาแพ้
เจียเอ๋อจะวิ่งหายไปอย่างที่ไม่สามารถรั้งไว้และทวงกลับคืนได้อีก...
ช่วงเวลาสายใกล้เที่ยง พระอาทิตย์ก็ค่อยๆแง้มออกจากหมู่เมฆครึ้มสาดแสงอบอุ่นให้กับสถานที่ประลอง...
พื้นที่ว่างโล่งของลานหินเหมาะสำหรับการประลองยุทธที่ไม่รู้ว่าแต่ละฝ่ายจะงัดอะไรออกมาสู้
แต่เพราะเป็นการประลองที่ไม่ต้องการให้ใครเสียชีวิต
กติกาจึงถูกเปลี่ยนจากสู้ให้ชนะ เป็นปลดผ้าให้ชนะ
แต่ไม่ใช่ปลดเสื้อผ้าโป้เปลือยจำพวกนั้นหรอก
ก็แค่ผืนผ้าสีแดงมัดรอบแขนขวาก็เท่านั้นเอง...
ยังไม่ถึงเวลาประลองแต่สักขีพยานกลับเข้ามาลานประลองเยอะแยะมากมายไปหมด
เริ่มตั้งแต่เหมยหลิน ท่านหญิงน้อยแห่งตำหนักเลี่ยงหรง เฟิงจี
หมอหลวงและสหายคนสนิทของอี๋เอิน ซูหนิงหัวหน้านางสนม พวกข้าราชการผู้ใกล้ชิด ยังไม่รวมพวกทหารองครักษ์และนางกำนัลที่ตามติดพวกคนเหล่านี้มาอีก
เจียเอ๋อมาถึงลานประลองก่อน
เขามองคนรอบข้างแล้วก็อดประหม่าไม่ได้ ทั้งที่คิดว่าจะได้ประลองตัวต่อตัวเงียบๆแท้ๆ
มาเยอะขนาดนี้เขาก็ทำตัวไม่ถูกน่ะสิ กลัวจะไปทำท่านอี๋เอินบาดเจ็บแล้วจะโดนโทษหนักเอา
(ถ้าสองต่อสองต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนอี๋เอินก็ไม่สั่งทำโทษเขาหรอก เขาเชื่อ)
อี๋เอินที่เดินทางมาถึงเป็นคนที่สองก็คงคิดเหมือนกัน จึงสั่งให้คนอื่นยกเว้น
เหมยหลิน เฟิงจีและซูหนิงออกจากลานประลองไปให้หมด
ลานประลองเงียบสงบอีกครั้ง
อี๋เอินหลับตาทำสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้าม มือเรียวกำปลอกกระบี่งดงามไว้กับตัว
กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่คู่ใจและเขาไม่ค่อยนำออกมาใช้หากไม่ใช่เป็นงานสำคัญ
แล้วการประลองเดิมพันอิสรภาพสนมน้อยแบบครั้งนี้สำคัญหรือ?...อย่างน้อยก็สำคัญกับใจของอี๋เอินก็แล้วกัน
เจ้าเมืองฉีสูดลมหายใจเข้าออก ปรับระดับลมปราณในร่างกายให้คงที่ มีสติแน่วแน่
การจะต่อสู้ได้ดี สิ่งแรกที่มีคือสติ มันเป็นสิ่งที่อี๋เอินถูกพร่ำสอนตลอดมา
เจียเอ๋อขยับร่างกายอยู่อีกฟากฝั่ง
กระโดดเตะต่อยขยับกล้ามเนื้อยืดหยุ่นก่อนลงสนามจริง พื้นฐานร่างกายของเขาเป็นสิ่งสำคัญในการออกกระบวนท่า
เพลงดาบเปี่ยมไปด้วยพลังคือความสามารถที่เขาภูมิใจมาตลอด
แม้มันจะถูกตอบโต้กลับโดยอี๋เอินได้ทั้งหมดก็ตาม
แต่รอบนี้เขามั่นใจ...มั่นใจว่ารอบนี้เขาไม่มีทางแพ้ชายหนุ่มง่ายๆแน่
ไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะขาดลอย แต่ต้องกระชากผ้าแดงของอี๋เอินให้ขาดให้ได้เท่านั้น
เป้าหมายของเจียเอ๋อคือผ้าแดง
ผ้าของอี๋เอินจะต้องขาดก่อนผ้าบนแขนเขาจะโดนกระชากออกไปพร้อมอิสรภาพที่จะไม่ได้หวนคืน...
“เอาล่ะ วันนี้ข้าจะเป็นกรรมการให้ แต่ก่อนอื่น
พวกเจ้าช่วยมายืนอยู่ในเขตก่อนได้ไหม แล้วข้าจะเป็นคนบอกกติกา”
“พูดมากน่าเฟิงจี”เจียเอ๋อหยอกล้อกับหมอหลวงผู้รับงานเสริมทั่วราชอาณาจักร
“ประเดี๋ยวก็ปรับแพ้เสียหรอก...เอาล่ะ
เงื่อนไขง่ายๆเลย คือพวกเจ้าจะทำวิธีไหนก็ได้เพื่อชิงผ้าแดงบนแขนอีกฝ่ายมาให้ได้
ใครทำขาดได้ก่อน คนนั้นชนะ...และหากท่านอี๋เอินชนะ
เจียเอ๋อจะต้องเป็นสนมอยู่ในตำหนักเลี่ยงหรงต่อไปเหมือนเดิม แต่หากเจียเอ๋อชนะ
เจียเอ๋อจะได้รับอิสรภาพ หนี้ทั้งหมดของตระกูลหวังจะถูกยกเว้น
ไม่มีพันธะใดต่อกันอีก...เดิมพันสูงเหมือนกันนะนี่”
อี๋เอินหันไปทำตาดุใส่สหายคนสนิทที่พอไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะพูดมากชะมัด
คนกำลังเครียดแท้ๆ
“ไม่ต้องมาทำสายตาดุใส่ข้า
กลับไปจ้องมองคู่ต่อสู้ของเจ้าโน่น เอาล่ะ...ข้าจะเริ่มล่ะนะ...”
เจียเอ๋อและอี๋เอินหันมาจ้องหน้ากัน
มือแต่ละฝ่ายจับด้ามกระบี่แน่น มือเล็กบนด้ามดาบแอบสั่นระริก
ยามที่ได้เผชิญหน้ากับอี๋เอิน ผู้ที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยเอาชนะได้
เขายอมรับว่าหวั่นกลัว แต่ด้วยใจที่กล้าแข็ง ไม่ว่าอย่างไรใจก็จะสู้ไม่ยอมแพ้
สายลมหยุดพัด ใบไม้นิ่งไม่ไหวเอน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับตกอยู่ภายใต้มือครอบที่มองไม่เห็น
เพียงชั่วครู่และระเบิดออกกลายเป็นพายุโถมกระหน่ำ ร่างทั้งสองพุ่งเข้าหากัน
อี๋ใช้ความเร็วที่มากกว่าเข้าประชัดตัว
มือแกร่งตวัดดาบเข้าทางขวาหมายจะตัดผ้าแดงบนต้นแขนนั่นออก แต่เจียเอ๋อรู้ตัวทันก้าวถอยหลัง
ทำให้แทนที่จะเป็นผ้าแดงก็กลายเป็นแขนเสื้อที่โดนเฉือน
มือขาวอาศัยจังหวะอีกฝ่ายเข้าใกล้เริดปลายดาบขึ้นแต่ก็ไม่ทันอี๋เอินที่ยกมือขึ้นกดมือขาวด้านนั้นลงอย่างแรงด้วยพลังลมปราณในร่างจนร่างเล็กแทบจะร้องออกมาเพราะข้อมือปวดระบมร้าว
สูดลมหายใจย่อตัวเตะเข้าที่ข้างลำตัวชายหนุ่ม แม้อี๋จะกระโดดสูงหลบได้แต่ก็สร้างช่องว่างให้เจียเอ๋อได้หายใจหายคอและเริ่มตั้งกระบวนท่าจู่โจมทันที
อี๋เอินมองกระบวนท่าแปลกประหลาดนั้นก็ได้แต่ยิ้มในใจ
ท่าของน้องสาวเขา...นี่แอบไปสอนกันจนได้ขนาดนี้ในเวลาไม่เท่าไหร่ต้องขอชม
แต่จะใช้กับเขาได้ไหมนั่นอีกเรื่อง เพราะจุดอ่อนของเจียเอ๋อคือพื้นฐานทางดาบไม่แน่น
จึงทำให้เขาเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆจนชนะได้ตลอด แต่เจ้าตัวคงรู้จากเหมยหลินแล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้เลยปิดจุดอ่อนนั้นได้เกือบหมด...ก็แค่เกือบ...
เจียเอ๋อมองเห็นประกายในแววตาสวยแล้วเกิดหน้าชา
ไอ้อาการไม่ยี่หระแบบนั้นทำเอาเขาฉุนกึก มือกำกระบี่แน่น ร้องในลำคอขู่คำราม
อัดลมปราณเข้าเหล็กบางไร้ชีวิตในมือ ย่อกระชับพุ่งฟาดกระบี่แกร่งในมือเฉียงลง
อี๋เอินถอยหลังหลบ พลันก็ต้องรีบยกกระบี่ต้านเพลงกระบี่ที่วกกลับมาอีกครั้ง
แม้จะแปลกใจกับวิถีการต่อสู้ที่เปลี่ยนไปแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับตัวเขาอยู่แล้ว
เจียเอ๋อรุกไล่ฟาดฟันอี๋เอินไม่ยอมให้ชายหนุ่มได้ตอบโต้กลับ
ใช้ความได้เปรียบด้านพละกำลังประกอบกับกระบวนเพลงดาบต่อเนื่องสร้างความได้เปรียบ
แม้จะดูมั่วซั่วไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้อี๋เอินได้เริ่มรุกจู่โจม
เพราะเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะต้านฝีมือของอีกฝ่ายได้นานขนาดไหน
“ทำได้เท่านี่เหรอ...”
ริมฝีปากเรียวกระซิบถาม
เจียเอ๋อขบกรามแน่นระงับความโกรธที่ใกล้จะพวยพุ่งให้เสียสมาธิ
อี๋เอินกำลังปั่นหัวเขา และเขาต้องไม่โง่เล่นตามเกมนี้
ข่มใจฟาดกระบี่หนักๆจนเกราะอี๋เอินลดลงจากที่กล้าแข็งมาตลอด ปรายยิ้มหวานกว้างส่งให้อีกคนที่ถึงกับชะงักเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้
“ไม่รู้สิ”
ชิ้ง!
อี๋เอินรบดึงสติลากกระบี่หยุดด้านคมปลาบทรงพลังไว้ได้ทัน
ดวงตาสวยจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตขณะที่ทั้งสองยังยื้อยุดอย่างไม่มีใครยอมใคร
เป็นอี๋เอินที่รูดกระบี่ส่งเสียงหวีดหูกระเทือนไปทั้งสนาม
เจียเอ๋อหลุดร้องเสียงดังผละตัวออกไปอย่างแรง หูอื้อมึนงงไปชั่วขณะ ร้องเฮ้ยใหญ่เมื่อมือเรียวพุ่งเข้ามาหมายจะกระชากผ้าแดงของเขาไป
พลิกตัวม้วนหลังหลบได้ทันควัน
พอตั้งตัวได้ก็ส่งสายตาดุวาบให้ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มบางติดใบหน้า
“จะไหวหรือ...ข้าจะรุกล่ะนะ”
เจียเอ๋อกัดฟันเครียดไม่น้อย
เขาทิ้งโอกาสรุกอี๋เอินจนต้องกลับมาเป็นฝ่ายป้องกันที่ไม่ถนัดเลยแบบนี้
...แต่ไม่หรอก...
อี๋เอินหายตัวไปโผล่ออกมาอีกทีก็ด้านหน้าเจียเอ๋อที่ยกกระบี่กันได้ทัน
ผลักร่างชายหนุ่มออกแต่ไม่ทันได้เตรียมพร้อมอะไรก็โดนเพลงดาบมังกรร้อยหัวฟาดเข้าให้ไม่ยั้ง
กระบี่ในมือสั่นระริกส่งเสียงหวีดเสียดหู กัดฟันต้านทานส่งลมปราณช่วยประคองมือสั่นระริกไม่ให้ดาบหลุดมือไปได้
รอจวบจนดาบสุดท้ายก็เป็นโอกาสให้ตวัดดาบกลับคืน อี๋เอินคงไม่คิดว่าเขาจะมีแรงโต้กลับ
เลยทำให้การออกดาบครั้งนี้ปลายเกี่ยวเสื้อนอกบริเวณอกขาดยาวครึ่งช่วงแขน
แม้ไม่ได้โดนเนื้อหนังมังสาแค่ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจจากคนรอบข้าง
อี๋เอินกระโดดออกไปตั้งหลัก มองดูเสื้อตัวเองนิ่งๆ
กระชากมันออกให้เหลือเพียงเสื้อตัวใน ดวงตาสวยเปรยขึ้นมามองเขานิ่งเงียบประดุจกระแสน้ำลึก
ไม่แสดงอารมณ์ ลึกลับและน่าหวั่นกลัว
...อี๋เอาจริงแล้ว...
“มหาสมุทรสิบก้าวย่าง...”
จู่ๆชายหนุ่มก็เอ่ยประโยคสั้นๆขึ้นมา
และพริบตาเดียวนั้นที่เจียเอ๋อเห็นภาพลวงตา ราวกับมีสายน้ำผุดพุ่งออกจากร่างชายหนุ่มอาบเอ่อล้นให้ทั้งสนามประลองกลายเป็นผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
กระพริบตาพรึบเดียวภาพนั้นก็หายไปเหลือเพียงอี๋เอินที่ยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น
ดาบชี้ลงพื้นช่องโหว่เยอะเสียจนเจียเอ๋อตกใจ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะเห็นอี๋เอินเปิดช่องโหว่เยอะขนาดนี้
ด้วยความมุทะลุดุดันก็กระโจนเข้าไปไม่สนอะไรทั้งสิ้น
ได้ยินเสียงเหมยหลินตะโกนจากที่ไกลๆ
‘ระวัง!’
ไม่ทันแล้ว...เจียเอ๋อเข้าใกล้ตัวอี๋เอินแล้ว
ไม่ทันที่มือขาวจะเริ่มยกกระบี่ขึ้นสู้ ความเจ็บแปลบก็แล่นร้าวขึ้นมาจากข้อมือ
กล้ามเนื้อแขนเหมือนถูกหิมะแช่แข็งขยับเขยื้อนไม่ได้ ตากลมสั่นระริกมองร่างที่ยังยืนนิ่งอยู่...ไม่สิ...เคลื่อนที่เร็วจนมองเป็นภาพติดตาต่างหาก...
รีบลากตัวเองกลับมา
นับว่าอี๋เอินใจดีที่แค่เตือนเขาในรอบแรกไม่ได้ลงมือตัดสิน
ทั้งที่จริงที่เขากระโจนเข้าไปเมื่อครู่ก็เหมือนแมงเม่าโง่ๆกระโจนเข้ากองไฟ
มือซ้ายจับมือขวาที่สั่นระริก ปวดร้าวเกร็งแน่น
แม้จะไล่ลมปราณก็ไม่สามารถเยียวยาได้ทันที
...แขนขวาเขาใช้ต่อสู้ไม่ได้แล้ว...
เจียเอ๋อกัดฟันคิ้วขมวดแน่นมองอี๋เอินตาไม่กระพริบ
เข้าใจสิ่งที่เหมยหลินเคยบอกเอาไว้แล้วว่า
ท่าลับตำหนักเลี่ยงหรงไม่เน้นความเสียหาย แต่เน้นความเฉียบคมและจุดเดียวถึงตาย...
สูดลมหายใจเข้าออกรอบรวบสติแล่นปัญญาให้เปิดกว้าง
ลองขยับเท้าดูเพื่อดูปฏิกิริยาอีกคนและก็ได้รู้... ก้าวแต่ละก้าวเหมือนเหยียบลงแผ่นน้ำกว้าง
ก้าวทีก็กระเพื่อมสายน้ำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน
หากวู่วามกระโจนเข้าไปหรือเข้าไปใกล้อี๋เอินก็จะรู้และชิงลงมือก่อนในทันที
เขารู้อยู่แล้วว่าประสาทสัมผัสของอี๋ไวจนน่ากลัว
และเขาไม่อาจจะทันเทียบได้ แต่ก็ไม่คิดว่าห่างไกลตัวเองขนาดนี้
...นี่หรือว่าเขาจะหลีกพ้นชะตากรรมนี้ไม่พ้นจริงๆ...
กำลังจะคิดห่อเหี่ยวใจ ความเจ็บแปลกเบาๆที่มือซ้ายก็เปิดปัญญาของเจียเอ๋ออีกครั้ง
...ไม่สิ เขายังไม่หมดหนทาง...
.
.
.
อี๋เอินยืนนิ่ง แม้ข้างนอกจะดูสงบนิ่งแต่ภายในกลับกำลังงานกันอย่างอลหม่าน
‘มหาสมุทรสิบก้าวย่าง’ เป็นกระบวนท่าลับของตำหนักเลี่ยงหรงตั้งแต่ยุคก่อตั้งตระกูลต้วน
เขาต้องฝึกทั้งบู้และหมุนให้ถึงขั้นสูงสุดจึงจะสามารถใช้ท่านี้ได้
เพราะหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ท่านี้จะไม่สมบูรณ์
กว่าจะฝึกได้ก็เล่นเอาลากเลือดเหมือนกัน
สิ่งที่ต้องมีลำดับแรกคือสมาธิเกือบถึงขั้นเข้าญาณ แต่ต้องไม่ให้เข้าญาณ กล่าวคือ
ยิ่งเข้าใกล้จุดกายทิพย์มากเท่าไหร่
ประสาทสัมผัสของร่างกายก็จะยิ่งไวขึ้นเป็นทวีคูณ
เล็กน้อยแค่ผีเสื้อขยับปีกก็สามรถล่วงรู้ได้
และต้องประกอบด้วยฝีมือทางดาบที่นอกจากจะต้องใช้ดาบเป็นแล้วก็ต้องว่องไวพอจะไม่ให้คู่ต่อสู้รู้สึกตัวด้วย
แอบใจหายนิดๆที่จะต้องใช้ท่านี้กับเจียเอ๋อ
แต่เพื่อความมั่นใจว่าจะต้องชนะ เขาก็จำต้องใช้ไม้แข็งกันหน่อย
งัดไม้ตายออกมาขนาดนี้หากจะแพ้ก็นับว่าเป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตมา...
ตาสวยมองตามร่างเล็กที่จ้องมองเขานิ่ง
แม้ไม่ได้สบตาก็รู้ว่าในดวงตานั้นประกายห้าวหาญ
...เป็นเด็กที่ไม่เคยคิดยอมแพ้สิ่งใดเลยจริง...
พลันก็ต้องแปลกใจเมื่อเจียเอ๋อเริ่มขยับตัว
และวิ่งเข้ามาดื้อๆ ไม่มีเล่ห์ไม่มีกลใดๆ
มือขวาที่เขาทำลายจุดข้อมือแล้วยกดาบขึ้นด้วยความเร็วและแรงที่น้อยกว่าเมื่อครู่
ดูดิ้นรนสมเป็นเจียเอ๋อ แต่ดวงตานั้นทำให้เขาเคลือบแคลง มันดูมั่นใจ มีสติไม่ได้เต็มไปด้วยความโกรธหรือบ้าบิ่นอย่างทุกครั้ง
เผลอใจลอยเสียจนขาดสมาธิ
ยกกระบี่ขึ้นตั้งรับดาบที่กำลังจะฟาดลงมาที่กลางอก แต่ก็เหมือนเรื่องล้อเล่นของฟ้า
เจียเอ๋อฉีกยิ้มกว้าง โยนกระบี่ในมือตนเองทิ้ง ทุ่มกายลงมาอย่างแรงไม่กลัวว่าคมกระบี่จะเฉือนลำคอตนเองขาด
กลายเป็นอี๋เอินเองที่ตะลึงเบี่ยงดาบหลบ
วงแขนยาวโอบเข้ามารองรับร่างเล็กนั้นไว้ด้วยสัญชาติญาณที่เหนือกว่าสมองกำหนด
ความห่วงใยตีตื้นขึ้นเหนือความอยากเอาชนะและทิฐิทั้งหมดทั้งมวล เป็นเพียงชั่ววินาทีที่อี๋เอินเป็นคนโง่
.
.
.
ลานประลองเงียบเชียบปล่อยให้เสียงกระบี่กระทบพื้นดังก้องกังวานประกอบเสียงแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้
ร่างสองร่างโอบกอดกันกลางลานประลอง
ร่างสูงกว่านิ่งเงียบ ก้มหน้ามองดูใบหน้ามนที่ซบอยู่บนอกตน
แผ่นหลังกว้างที่มือเขาประคองอยู่กระเพื่อมสั่นนิดๆ
หากดูผ่านก็เหมือนเจียเอ๋อกำลังร้องไห้ แต่ไม่หรอก...ร่างเล็กในอ้อมกอดเขากำลังหัวเราะเสียงแผ่ว...
เพราะมือด้านซ้ายของเจียเอ๋อกำลังกำผ้าแดงของอี๋เอินไว้แน่น
.
.
.
“ข้าชนะ”
การประลองจบไปแล้ว...
เจียเอ๋อหัวเราะแผ่วๆเผยรอยยิ้มกว้างสดใส
ก้มลงเก็บกระบี่เข้าฝักและวิ่งออกไปจากตำหนัก
...ไม่มีแม้แต่คำเอ่ยลา…
ทหารที่คุมอยู่ข้างนอกแตกตื่นตกใจรีบเข้ามาถามเหมยหลินว่าให้จับร่างเล็กนั้นไว้หรือไม่
แต่หญิงสาวก็เพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เงยหน้ามองเฟิงจีที่เดินเข้าไปหาร่างสูงสง่าที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
แม้จะห่างไกลขนาดนี้ ความเศร้าโศกก็แผ่กลิ่นกำญาณเสียจนน้ำตาของนางเอ่อล้นพ้นดวงตา
“มันจบแล้วล่ะ ท่านอี๋”
“...ข้ารู้...”
“แพ้ง่ายจังนะ
ข้านึกว่าท่านจะเอาจริงกว่านี้เสียอีก”
“ข้าเอาจริงแล้วเฟิงจี”ชายหนุ่มตอบ ดวงตาสวยเหม่อมองผ้าสีแดงที่ตกอยู่ไม่ไกล
“แต่ข้าทำร้ายเขาไม่ได้...ข้ารักเขามากไป...รัก
จนทำร้ายไม่ลง”
หมอหลวงประจำตำหนักยิ้มบาง ตบบ่าสง่านั้นหนักๆให้กำลังใจ
“ในที่สุดก็รู้ตัวแล้วสินะ”
.
.
.
ใช่...อี๋เอินรู้แล้ว...
รู้แล้วว่าที่ผ่านมาเขารักเจียเอ๋อ
รักมาก แต่ก็โง่เง่าจนไม่รู้แม้กระทั่งใจตนเอง
โง่ จนเผลอตัวทำร้ายคนที่ตนเองรักอย่างไม่ใยดี
เหยียบย่ำทำลายศักดิ์ศรีและคุณค่าเสียจนไม่น่าให้อภัย
และนี่...คือผลกรรมที่เขาได้ทำสิ่งเลวร้ายไว้กับเจียเอ๋อ
.
.
.
เป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและต้องทนเฝ้าคิดถึงสิ่งที่ทำหล่นหายไป
อย่างไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของความทุกข์ระทมนี้จะจบลงเมื่อใด...
TBC or END?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น