[OUR] 29
OUR BABY!
บทที่ 29
มาร์คนั่งมองแผ่นกระดาษรายงานผลสเปคตรัมมานับชั่วโมงโดยไม่ได้แตะต้องอะไร
นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นในห้องทำงาน ทั้งๆที่นักวิจัยคนอื่นเดินว่อนไปมา
ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่ดีเพราะคิดว่าชายหนุ่มอู้ไม่ทำงาน นักวิจัยเกือบสิบคนที่ทำงานในโครงการนี้ส่วนมากไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน
ไม่ได้รู้จักกันมากกว่าชื่อ หน้าตาและที่ทำงานประจำของแต่ละคนเท่านั้น
“มาร์ค คุณ...”
“อย่าเพิ่งค่ะ
สตีเฟน ปล่อยให้เขาทำงานต่อไปเถอะค่ะ”อลิสเดินมาห้ามผู้ร่วมงานร่างสูงจากอเมริกาเหมือนเธอที่กำลังจะเดินไปหามาร์ค
หญิงสาวยิ้มและส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม สตีเฟนมีสีหน้าไม่พอใจ
เขาคงเข้าไปต่อว่ามาร์คเป็นแน่
“แต่เขานั่งอยู่นั่นนานมากแล้วนะ
พวกเรามีเวลาจำกัดในการทำงานชิ้นนี้ให้สมบูรณ์
เราไม่มีเวลาให้ใครเอื่อยเฉื่อยหรอกนะ”
“ฉันเข้าใจค่ะ
แต่เชื่อฉันเถอะนะคะ ปล่อยให้เขาไว้ก่อน...นะ”อลิสยิ้มอ้อนขี้เล่นให้สตีเฟนหายเครียด
ความสดใสของหญิงสาวสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องทำงานที่เคร่งขรึมให้คลายลง
ทุกคนจึงเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ
“อ่าๆ เห็นแก่อลิสหรอกนะ...เอ๊ะ”สตีเฟนหันไปมองมาร์คที่เพิ่งเริ่มขยับตัว
ชายหนุ่มหยิบปากกามาขีดๆเขียนบนกระดาษ ลุกเดินไปนั่งหน้าแล็ปท็อปเครื่องหรูใกล้ตัว
กรอกข้อมูลเข้าไปโปรแกรมคำนวณ
เสียงพิมพ์งานต๊อกแต๊กรัวจนคนที่ได้ยินต้องหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ
ไม่ถึงห้านาทีมาร์คก็ลุกขึ้นอีกครั้ง
เดินผ่านทุกคนไปรับเอกสารที่พิมพ์ออกมาจากปริ๊นเตอร์กลาง กวาดตาไล่ตรวจความถูกต้องให้แน่ใจอีกครั้งก่อนส่งไปให้ไฮด้า
หัวหน้างานชาวสหรัฐที่พอจะรู้จักกันดีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม
ใช้เวลานานหน่อย เพราะผมคิดวิธีแก้เรื่องเพราะความเข้มข้นของโซเดียมในดินที่มีความต่างของระดับพลังสูงในพื้นที่เพื่อให้เหมาะกับพลังงานสะอาดอยู่
แต่...อืม นั่นแหละ ผมพูดไม่ค่อยเข้าใจหรอก ผลในกระดาษนะครับ”
ไฮด้าก้มมองดูแผ่นกระดาษก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ตบไหล่มาร์คหนักๆ “นายนี่ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ
แค่นี้งานส่วนของนายก็เสร็จแล้วสินะ”
“เสร็จแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละครับ
งานของผมไม่มีวันเสร็จตราบใดที่โครงการยังไม่จบ”
“เฮ้อ
ดีใจนะที่นายมุ่งมั่นกับการทำงานขนาดนี้ แต่ผ่อนคลาย~ หาสาวๆมาเติมสีสันบ้างเป็นไง”
มาร์ครู้ว่าไฮด้าหมายถึงอลิสสา
จริงๆเขาก็พอจะรู้ว่าอดีตแฟนสาวเป็นที่ชื่นชอบในที่ทำงานและเธอก็แสดงตัวชัดว่าต้องการจะเข้าหาเขา
ไม่แปลกที่ทุกคนจะเชียร์กัน แถมมาร์คก็ไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครในโครงการนี้
ทุกคนเลยเข้าใจว่าเขาเป็นหนุ่มหล่อโสด
เหมาะกับอลิสสาที่เป็นคนสวยเก่งเหมือนกัน...แต่ก็นั่นแหละ...
“ผมสนใจแค่เรื่องงานน่ะ”
“นายนี่ไร้ความโรแมนติกเหมือนเดิมเลยนะ
อ้อ พักเที่ยงพอดีเลย ไปกินข้าวด้วยกันสิ”
“ผมขอตัวนะครับ
ผมห่อข้าวมาด้วยน่ะ
จะทำงานต่อเลย”ชายหนุ่มยิ้มรักษามรรยาทในการปฏิเสธอย่างอ่อนน้อม ไฮด้าก็ไม่ว่าอะไร
มาร์คเลยขอตัวเดินออกมา มองโต๊ะทำงานตัวเองที่มีร่างของอลิสและเพื่อนร่วมงานสองสามคนยืนพูดคุยกันตันทางอยู่
“มาร์คคะ
พอดีพวกเราว่าจะไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ตึกตรงข้าม...”อลิสยิ้มกว้างเอ่ยชักชวนเขาด้วยความหวัง
มีหญิงสาวผู้ร่วมงานสองคนทำท่าลุ้นๆอยู่ด้านหลัง มาร์คเหลือบมองเธอนิดหน่อย
ก่อนจะหันไปยิ้มให้หนึ่งในหญิงสาวผู้ร่วมงานและเอ่ยขอทางอย่างสุภาพ
โดยไม่สนใจแม้กระทั่งหน้าเจื่อนๆของอลิสเลย
“ขอโทษนะครับ
ขอทางหน่อยนะครับ”
ชายหนุ่มแทรกตัวไปหยิบเอากล่องห่อข้าวน่ารักที่แจ็คสันเป็นคนเตรียมไว้ให้ออกมาจากกระเป๋า
เดินผ่านพวกเธอออกไปด้านนอก พยายามไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทารอบข้าง
ยอมรับว่าหงุดหงิดที่คนพวกนั้นเอาแต่สนับสนุนให้อลิสมีเวลาเข้าหาเขาแม้กระทั่งเวลาทำงาน
มาร์คถือคติว่าเวลาทำงานคือทำงาน
ชายหนุ่มไม่ได้โง่พอที่จะรู้ว่าใครเข้ามาหาเขาด้วยเหตุใด
เขาไม่ชอบคนที่เอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงหญิงสาวอยู่ตลอด
“มาร์คคะ
รอก่อนค่ะ”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่
หยุดเดินหันมามองร่างหญิงสาวในชุดทำงานทะมัดทะแมงเดินออกมาจากห้องทำงาน
“คุณจะไปทานข้าวที่โรงอาหารเหรอคะ?
อลิสขอไปด้วยได้ไหมคะ”
“อลิส...”
“คะ?”
“คุณไม่เหนื่อยวิ่งตามผมบ้างรึไง”
“...”
แล้วมาร์คก็เดินออกมาจากตรงนั้น
รู้ตัวดีว่าที่พูดไปก็เสียมรรยาทอยู่เหมือนกัน
แต่ก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าอย่างอลิสสาแค่นั้นไม่กระเทือนอะไรหรอก
อาจจะเงิบไปชั่วเวลาหนึ่ง ไม่ถึงชั่วโมงก็จะกลับมาตามวอแวเขาได้อีกเหมือนเดิม
...ยุ่งยากชะมัด...
เสียงมือถือในกระเป๋าดังขึ้น
มาร์คหยิบมันขึ้นมาดูก่อนยิ้มกว้าง กดรับสายศรีภรรยาสุดที่รัก
“คร๊าบบบบ
ตัวเล็ก~~~~”
‘พี่กินข้าวยัง?...อ่า เมสัน
ทักทายป๊ะป๊าหน่อยเร็ว// ป๊ะ~ป๊า~~~~~
เมฉันกินก้าววววว’เจ้าลูกชายเล่นตะโกนใส่ลำโพงซะเต็มที่ ทำเอามาร์คสะดุ้ง
“ครับ เมสัน
ป๊ะป๊าก็กำลังจะกินข้าวเลย ฝากจุ๊บมะม๊าแทนป๊ะป๊าหน่อยเร็ว”
‘ม๊ะม๊า จุ๊บๆๆๆ’
มาร์คหัวเราะ
ได้ยินเสียงงุ๊งงิ๊งของสองแม่ลูกจากปลายสายแล้วแสนจะชุ่มชื่นหัวใจ
สอบถามอาการแพ้ท้อง โล่งใจที่วันนี้แจ็คสันสบายดี ไม่ได้แพ้ท้องอะไรมากมาย ส่วนเมสันก็เป็นเด็กเลี้ยงง่ายเหมือนเดิม
ก่อนวางสายแจ็คสันฝากซื้อเค้กครีมร้านประจำเข้าไปด้วย ชายหนุ่มเก็บมือถือลง
เปิดกล่องข้าวเริ่มทานคำแรกลงไป ก่อนจะคายออกมาแทบไม่ทัน มือเรียวปิดปากไอแค่กๆ
รสหวานน้ำตาลบาดลิ้นยังคลุ้งอยู่ในปาก
...นี่ตอนทำกับข้าวรถน้ำตาลอ้อยพลิกคว่ำใช่ไหม?
มันถึงได้หวานบาดได้ขนาดนี้...
และมาร์คก็ได้รู้วาแจ็คสันไม่ได้ไม่แพ้ท้องหรอก
แต่เป็นเพราะแพ้แล้วเอามาลงกับอาหารมากกว่า ทุกอย่างที่ทำเลยออกมาหวานขนาดนี้
นึกห่วงอาหารของเมสันขึ้นมาตงิดๆ แต่เมื่อกี้โทรไปเจ้าตัวเล็กก็ไม่ได้บ่นอะไร สงสัยอาหารเด็กเลยไม่ได้ปรุงสินะ...
...เย็นนี้คงต้องซื้อกับข้าวเข้าบ้านแล้วล่ะ...
“เฮ้อ!!!”
“เอ้า
ถอนหายใจอะไรอยู่ล่ะพ่อคนเก่ง”
แทคยอนเดินยิ้มร่าเข้ามาหาเขา
ถือวิสาสะนั่งบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม จิ๊กไก่ป๊อปชิ้นหนึ่งเข้าปาก
มาร์คกำลังจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน
“แค่กๆ!! นี่มันไก่หรือน้ำตาลเชื่อม โคตรหวานเลย”
“ไก่ชุบน้ำตาลมั้งครับ”มาร์คยักไหล่กวนๆ
ปิดตลับกลับเข้าที่เดิม
วางแผนไว้ในใจว่าจะทิ้งก่อนเข้าบ้านไม่ให้คนตัวเล็กน้อยใจที่เขาไม่กินข้าวของตัวเอง
“แล้ว...ว่ายังไงล่ะ
ได้ยินแว่วๆว่าโดนหญิงไล่ตามจีบเหรอ”แทคยอนเปรยถามยิ้มๆ มาร์คชะงัก
กลอกตาเบื่อหน่าย
“นี่ข่าวมันไปถึงไหนเนี่ย”
“ไม่ถึงไหนหรอก
ฉันก็แค่บังเอิญ (เผือก) ไปรู้มา...ว่าแต่
นี่นายไม่ได้บอกพวกนั้นเหรอว่าแต่งงานแล้ว?”แทคยอนถามตรงๆ
มองมือด้านซ้ายของมาร์คที่ไม่ปรากฏแหวนแต่งงาน
แต่เอาจริงๆอาชีพแบบพวกเขาก็ไม่ควรใส่เครื่องประดับใดๆ
ก็ไม่แปลกที่มาร์คจะไม่ใส่มันติดตัว
“ผมคิดว่ามันไม่สำคัญ”
“มันก็ไม่สำคัญหรอก
ถ้าในกรณีที่นายไม่ได้มีคนตามติดแบบผู้หญิงคนนั้น บอกไปเถอะ นายจะได้ทำงานง่ายขึ้น
ไม่ต้องหงุดหงิดเรื่องเพื่อนร่วมงานอีก รึมันเป็นเรื่องลับขนาดนั้นกันล่ะ?”
มาร์คมองหน้ารุ่นพี่
ถอนหายใจหน่อยๆ
เขาก็แค่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรที่จะป่าวประกาศบอกคนนั้นคนนี้ว่าแต่งงานมีลูกแล้ว
ยิ่งกับกลุ่มคนที่ทำงานด้วยกันไม่น่าจะถึงปียิ่งไม่เห็นความจำเป็นจะต้องบอก
แต่ก็จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องลับอะไร บอกไปอาจจะดีกว่า
“ผมจะหาโอกาสบอกแล้วกัน...แล้ว...ตอนไหนพี่จะแต่งงานสักที...”
“ไอ้เด็กนี่
ฉันอุตส่าห์ไม่พูดถึงแล้ว”ชายหนุ่มผิวคร้ามทำหน้าดุ
“ก็คงเลื่อนไปจนกว่าแบมแบมจะดูแลตัวเองได้ล่ะมั้ง จะแต่งตอนนี้ก็ติดเลี้ยงเด็กอีก
วุ่นวาย ให้โอกาสเหมาะๆก่อนดีกว่า”
“พี่นี่ความอดทนเป็นเลิศนะ”
“ใครจะไปความอดทนต่ำเหมือนนายบ้าง”
แต่จนแล้วจนรอดมาร์คก็ยังไม่ได้บอกอะไรใครเรื่องสถานะทางครอบครัว
จะให้ไปประกาศโต้งๆมันก็ไม่ใช่ความ แล้วเรื่องแบบนี้ปกติก็ไม่มีใครถามอยู่แล้วด้วย
คนรอบข้างก็ยังซุบซิบน่ารำคาญเหมือนเดิม มีเรื่องดีอย่างเดียวในช่วงบ่ายคืออลิสติดงานอ่านสเปกตรัมอยู่อีกแล็ป
เลยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขาไม่ได้ ทันทีที่จัดการงานของวันนี้เสร็จ
มาร์คก็เก็บของเข้ากระเป๋าเตรียมตัวจะกลับบ้าน
แต่พอลุกขึ้นก็โดนร่างสูงใหญ่ของสตีฟมาขวางทางไว้ก่อน
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองนิ่งๆ
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?
ร้านอาหารชั้นล่างแล้วกัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”สตีฟเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มกว้าง
ท่าทางจริงจังขึงขังถูกแทนที่ด้วยความขี้เล่นสไตล์อเมริกันแท้ๆ
“ขอโทษครับ
ผมต้องรีบกลับบ้าน”
“เฮ้
อย่าเก็บตัวนักเลยน่า”
“ถ้าเป็นเรื่องของคุณอลิสสา
ผมกับเธอจบกันแล้วล่ะครับ พวกเราไม่มีทางจะกลับมาคบกันได้อีก
คุณจะจีบก็ตามสบาย”มาร์คพูดตัดบท
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายคนนี้ต้องการจะพูดอะไรกับเขา ถึงจะไม่ดูใส่ใจ
แต่เขาก็ใช่คนโง่ที่จะดูคนไม่ออก สตีฟดูแปลกใจที่เขาเดาทางตัวเองถูก
แต่ก็ขยับยิ้มกว้างพอใจในนาทีถัดมา
“ไม่เสียดายหน่อยเหรอ
เธอสวยแล้วก็เก่งมากเลยนะ”สตีฟถามเพื่อลองใจอีกครั้ง
“คุณเห็นผมเสียดายเธอเหรอ?”
“...”ชายหนุ่มชาวอเมริกันถึงกับอึ้งและส่ายหัว
“นายนี่ขวานผ่าซากจริงๆ ถ้าฉันเป็นอลิสคงร้องไห้แน่ๆ”
“เธอควรชินได้แล้วล่ะครับ”มารคตอบไม่ใส่ใจ
พับเสื้อนอกพาดแขนถือกระเป๋าเตรียมเดินออกไป
“งั้น...นายจะช่วยฉันจีบเธอได้ไหม?”
มาร์คชะงักเท้า
หันไปมองสตีฟอย่างครุ่นคิด ในหัวกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่างคร่าวๆ...
“ถ้าคุณทำให้เธอเลิกวุ่นวายกับผมได้...”มาร์คตอบ
“ผมจะเป็นที่ปรึกษาให้คุณ”
รถ R8 แล่นเข้ามาในบ้านบนเนินเขาห่างไกลผู้คน
รถกระป๋องคนเล็กยังจอดอยู่ที่เดิม ไฟในบ้านเปิดสว่าง แจ็คสันและเมสันคงอยู่ในนั้น
ฟ้าเริ่มจะสลัวมืดๆแล้ว มาร์ครีบเก็บของ
ถือถุงกับข้าวและเค้กปอนด์ใหญ่เดินเปิดเข้าไปในบ้าน
บ้านชั้นล่างหรี่ไฟพอให้สลัวๆทุกดวง
ได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังออกมาเบาๆจากห้องนั่งเล่น มาร์คเอาของเข้าไปเก็บในห้องครัวก่อนวกกลับมาทางเดิม
ทีวีจอยักษ์ฉายรายการเพลงแสดงเอ็มวีใหม่เปิดเสียงไม่ดังนักเพราะเจ้าตัวเล็กในชุดผ้าอ่อนบางกำลังนอนหลับปุ๊ยอยู่บนที่นอนบนพื้น
ส่วนคนเป็นแม่ก็นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา
“พี่มาร์คกลับมาแล้วเหรอ?”
แจ็คสันผงกหัวขึ้นจากโซฟาทักเขาเบาๆ
ริมฝีปากอิ่มแดงยิ้มกว้างเห็นฟันกระต่ายน่ารัก ดวงตากลมหยิบหยี
ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงสามส่วนใส่สบายลุกขึ้นนั่ง ยกแขนสองข้างออกมาข้างหน้า
“กอดหน่อยๆ”
“วันนี้แปลกจัง
ทำไมอ้อนพี่ล่ะ”
แจ็คสันหุบยิ้มฉับพร้อมทำหน้าบูดใส่คนเป็นสามี
ลดแขนลงไปกอดอกแสดงท่าทางงอนเต็มที่
“กอดไม่ได้ก็ไม่กอด”
“โอ๋ๆ
ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย มากอดกัน”
มาร์คแอบหัวเราะกับกริยาแสนน่ารัก
เดินเข้าไปกอดร่างนิ่มไว้จนแทบจมอก จมูกโด่งสูดดมกลิ่นหอมละมุนจากเรือนผมนุ่มลื่น
มือโอบรัดเอวประคองหลังคนท้องอย่างทะนุถนอมกลัวว่าจะกอดแรงจนกระเทือนถึงลูก
คนในอ้อมกอดก็ใช่จะอยู่นิ่งงุ๊งงิ๊งเป็นลูกแมวซุกอ้อนหัวเราะคิกคัก
ดูมีความสุขที่มีคนมากอดแน่นๆแบบนี้
“กินข้าวเย็นรึยัง?”
“กินแล้ว
เมสันกินแล้วก็หลับปุ๊ยไปเลย”
“แล้วลูกจะไม่งอแงเหรอ
นอนเย็นแบบนี้”มาร์คถามอย่างนึกเป็นห่วง
เพราะนอนคาบเกี่ยวกลางวันกลางคืนแบบนี้ปกติเขาถือว่าไม่ให้เด็กนอน
“อืม
ก็คิดเหมือนกัน แต่สงสารอ่ะ เมสันดูง่วงมากๆเลย
อุตส่าห์พาเล่นเลโก้หันมาอีกทีคอพับน้ำลายยืดแล้วอ่ะ”คนตัวเล็กบรรยายออกมาซะน่ารักเจือไปด้วยความเอ็นดู
ตากลมมองไปเจ้าตัวเล็กบนฟูกนอน กำลังจะลุกขึ้นจากโซฟาก็โดนวงแขนแข็งแรงรวบเอวรั้งเอาไว้ก่อน
ใบหน้ากลมหันมาเป็นเชิงถาม
เบิกตาโตตกใจนิดหน่อยตอนมาร์คเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
ผิวแก้มนิ่มถูกจมูกโด่งๆวุ่นวายทั้งไล้ทั้งดม จั๊กจี๋หัวเราะในลำคอ ตีไหล่แข็งเบาๆให้หยุดล้อเล่น
มาร์คก็หยุดและเลื่อนริมฝีปากมาวางแนบบนกลีบเนื้อนิ่มแดงจัดของอีกคนแทน ดวงตากลมประสานกับดวงตาสวยที่ทอประกายเอ็นดูและรักใคร่
เล่นเอาซะคนถูกจ้องเขินจนแก้มขาวซับสีเรื่อ แจ็คสันเม้มปากเล็กน้อย หลุบตาลงสูดกลิ่นเย็นๆจากตัวคนรุกราน
มือป้อมยึดเสื้อเชิ้ตขาวไว้ เผยอริมฝีปากอนุญาตให้มาร์คเข้ามาหยอกล้อกับโพรงปากอุ่นชื้น
ลิ้นเรียวกวาดต้อนลิ้นเล็ก ป้อนจูบอ่อนโยนให้อย่างไม่รู้เบื่อ สื่อความคิดถึงให้คนในอ้อมกอดได้รับรู้
“งือออ แง๊งงงง!!!”
ทั้งสองสะดุ้งออกจากกัน
เป็นแจ็คสันที่คืนสติได้ก่อน มือป้อมดันมาร์คออก
ลุกไปอุ้มเมสันที่สะดุ้งตื่นเพื่อปลอบประโลม มาร์คนั่งมองดูแจ็คสันแจ็คสันวางเมสันบนไหล่
มือป้อมลูบหลังบอบบางนั่นอย่างต้องการจะทำให้หายตื่นกลัว
“เมสัน
นี่มะม๊านะ ไม่เอาไม่ร้องสิครับคนเก่ง โอ๋ๆ”คนตัวเล็กเดินกลับมาหามาร์ค
ชี้ให้เมสันดูว่ามีใครเพิ่งกลับมาถึง “ป๊าก็กลับบ้านแล้ว ให้ป๊าอุ้มเนอะ”
มาร์ครับเจ้าตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอด
มือหยาบลูบเปลือกตาช้ำอ่อนชุ่มน้ำตาเบาๆ เมสันร้องไห้อึกๆในลำคอ
ดวงตากลมแป๊วคลอน้ำตามองมาร์ค มือเล็กๆกำเสื้อคนเป็นพ่อไว้แน่น เอาน้ำมูกน้ำตาเช็ดเสื้อมาร์คจนเปียกไปหมด
“ป๊ะ...ฮึก ปะป๊า
ฮึก”
“ไม่ต้องกลัว
ป๊าม๊าอยู่นี่แล้ว ไม่เอาไม่ร้องนะครับ”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักแต่ก็ยังก้มหน้าสะอื้นเบาๆบนไหล่ผู้เป็นพ่อ
สงบลงแล้วแต่ดูไม่สดชื่นเหมือนเคย แจ็คสันเลยอุ้มเมสันขึ้นพาไปเดินเล่นหลังบ้าน ชี้ชวนเด็กน้อยมองนั่นนี่เบนความสนใจ
ในขณะที่มาร์คก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเปื้อนน้ำมูกน้ำตาออก
จนเสร็จก็ยังไม่เห็นวี่แววของสองแม่ลูก จะออกไปดูด้วยความเป็นห่วงแจ็คสันก็เดินเข้ามาพอดี
ดวงตากลมมองเขาแล้วเหล่ไปทางก้อนกลมนุ่มในมือที่ตอนนี้คอพับคออ่อนสลบคาไหล่มาม๊าของเจ้าตัวแน่นิ่งไปแล้ว
“หลับแล้วเหรอ”
“อืม...เดี๋ยวผมพาลูกไปนอนเบาะก่อนดีกว่า
แล้วค่อยพาไปด้านบนพร้อมกัน”
มาร์คพยักหน้าเห็นด้วย
มองตามคนตัวเล็กเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ส่วนตัวเองก็เดินเข้าห้องครัวไปหาอะไรกิน
เปิดตู้เย็นดูก็เห็นแต่พวกขนมนมเนยเต็มตู้ ฉวยเอาน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมา หาจานช้อนส้อมมาใส่กับข้าวถุงกินเป็นมื้อเย็น
เก้าอี้ตัวข้างหน้าเขาถูกเลื่อนออกตามด้วยร่างของคนตัวขาวนั่งประจำที่
ตากลมๆจ้องมองเขาแต่ไม่พูดอะไรจนมาร์ครู้สึกแปลกๆ
...หน้าพี่มีอะไรติดหรือเปล่า
ทำไมเมียพี่มองจัง...
“มีอะไรหรือเปล่าตัวเล็ก”ในที่สุดก็ถามออกไป
หลังจากนั่งรออีกคนพูดจนจะกินข้าวหมดจะหมดจานแล้ว แจ็คสันยิ้มและส่ายหน้า
ท้าวคางมองเขานิ่งๆ มาร์คก็ถึงกับไปไม่ถูก ปกติเขาต้องเข้าไปนัวเนียอีกคนเอง แต่ตอนนี้กลายเป็นแจ็คสันที่มานั่งเฝ้าเขาแทน
...ท้องนี้แปลกๆนะครับตัวเล็ก...
ก็ได้แต่คิด
ลองพูดออกไปล่ะเรื่องยาว นอกจากจะแพ้ท้องกินขนมหวาน อาหารรสหวานๆแล้ว
แจ็คสันยังดูขี้อ้อน ขี้งอน ขี้เอาแต่ใจ งุ๊งงิ๊งโลกสีชมพูจนมาร์คทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนอะไรที่ทำแล้วไม่โดนโกรธก็โดน
อะไรที่ทำแล้วโดนโกรธตอนนี้ก็กลายเป็นชอบ (แต่ไอ้เรื่องบนเตียงนั่นถ้าไม่สมยอมก็มีสิทธิ์โดนบาทาได้ในทุกๆกรณี)
อย่างเช่นตอนนี้...
“พี่มาร์ค
แหวนแต่งงานพี่อยู่ไหน”
ชายหนุ่มแทบจะสำลักข้าวเมื่อเจอคำถามไม่ได้คาดคิด
เงยหน้ามองใบหน้ากลมมนที่เริ่มก่อเค้าความไม่พอใจ มาร์คกลืนน้ำลายดังอึก
ในหัวคิดไปถึงกล่องแหวนแต่งงานที่อยู่ในชั้นโต๊ะทำงาน เขาถอดออกตลอดเวลาทำงาน จนหลังๆเริ่มไม่ใส่เพราะมันกระทบต่อพวกอุปกรณ์จำพวกอ่อนไหวต่อโลหะทั้งหลาย
แจ็คสันก็ไม่เคยว่า
“คือ...พี่ถอดออกตอนทำงาน...”
“ก็รู้ไง
แต่ทำไมทำงานเสร็จแล้วไม่ใส่”
...ชิบหาย
องค์นางพญาลงเมียกู...
“พี่จำเป็นต้องถอดบ่อย
พี่ก็เลยไม่ได้ใส่ไงครับ ตัวเล็กก็ไม่เคยว่าพี่นี่”
“ไม่ว่าแต่ไม่พอใจไม่ได้เหรอ”แจ็คสันยังคงวนพูดถึงเรื่องเดิม
ปากอิ่มแบะออกน้อยๆ ดวงตากลมเริ่มขุ่นขวางเวลาไม่พอใจ มาร์ครีบกลืนน้ำลายดังอึก
ลุกขึ้นอ้อมโต๊ะไปคุกเข่าอยู่ข้างๆคนท้องที่ไม่ยอมมองหน้าเขา เอื้อมมือไปยึดมือป้อมไว้บีบคลึงเบาๆเรียกให้แจ็คสันหันมามองพลางยิ้มหวานเอาใจ
“ได้สิครับ
ตัวเล็กไม่พอใจได้ พี่ก็ผิดที่ไม่ใส่ ต่อไปนี้พี่จะพยายามใส่ตลอดนะ
แต่เวลาทำงานพี่ต้องถอดออก เข้าใจพี่นะครับ”
“...”แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่คิ้วเรียวที่คลายออกนั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับมาร์ค
แจ็คสันลุกขึ้นเดินไปหยิบคัสตาร์ทนมในตู้เย็นออกมานั่ง
มาร์คก็ได้แต่มองตาปริบๆว่าคนตัวเล็กจะทำอะไรอีก แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
นอกจากเปิดฝาถ้วยจิ้มช้อนพลาสติกและจ้วงกินอย่างเอร็ดอร่อย...
“ไปกินข้าวสิ
มานั่งจ้องผมแบบนี้ทำไมล่ะ”
อย่าหันมาทั้งที่คาบช้อนแบบนั้นสิครับ
มันน่ารักจนทำร้ายหัวใจพี่เลยนะ T^T
มาร์คกลับไปกินข้าวให้เสร็จพอดีกับที่แจ็คสันกินคัสตาร์ทเกลี้ยงถ้วย
จัดการจานใช้แล้วเสร็จ มาร์คก็ชวนแจ็คสันออกไปเดินเล่นหน้าบ้าน ไม่กล้าไปไกลเพราะไม่อยากให้เมสันอยู่ในบ้านคนเดียว
มือป้อมจับปีกหมวกที่มาร์ควางโป๊ะลงบนหัวกลมทันทีที่เดินออกมานอกบ้าน
ตกใจนิดหน่อยเพราะคิดว่าเป็นพวกแมลงหรืออะไรจำพวกนั้น
“ใส่ไว้...เดี๋ยวภูมิแพ้ขึ้น”
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็อมยิ้มพอใจกับการใส่ใจของคู่ชีวิต
มาร์คกระชับมือป้อมพาเดินลงไปเล่นในสนามหญ้าที่เปิดไฟหรี่ไว้รอบๆกันพวกแมลงหรือสัตว์อื่นๆ
ท้องฟ้าในคืนเดือนมืดกระจ่างใสมองเห็นกลุ่มดาวเล็กๆระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
แม้แต่แสงไฟในเมืองใหญ่ยังไม่สามารถบดบังความงดงามนั้นได้จากที่ตรงนี้
ลมกลางคืนเย็นสบายพาดผ่านพวกเขาไปช้าๆ
ประกอบกับความชื้นจากป่าก็ทำให้อากาศร้อนๆเย็นสดชื่นได้ในพริบตา
เสียงจิ้งหรีดร้องจากที่ไกลๆไม่ให้บรรยากาศดูมืดมิดวังเวง แต่กลับละมุนอบอุ่นเพราะมีฝ่ามือของคนข้างกายประกบแนบชิดไว้ให้อุ่นใจ
“ดีไหม?”
“ดีสิ
อากาศดีมากๆเลย เสียดายว่าเมสันหลับแล้ว ลูกคงชอบอากาศแบบนี้”
“มันชื้นนะ
ไม่ดีเท่าไหร่หรอก...ไปนั่งชิงช้ากัน”
มาร์คยึดมือป้อมพาเดินไปนั่งบนชิงช้าไม้หน้าบ้าน
โยกเบาๆในขณะที่หัวกลมก็ซบอยู่บนไหล่ มือกระชับโอบกันแนบแน่นจนเปียกเหงื่อ แต่ไม่คิดจะปล่อยมือหรอก
อยู่แบบนี้ก็อุ่นดี...
“งานช่วงนี้หนักเหรอ?”จู่ๆแจ็คสันก็ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
เงยหน้าส่งสายตาแป๊วๆมาให้มาร์คด้วยความห่วงใย
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”นิ้วเรียวเกลี่ยหน้าม้านุ่ม
ถามด้วยความสงสัย มีอะไรที่ชี้ว่าเขาเครียดงั้นเหรอ?
“ก็พี่ดูเครียดๆ...คิ้วงี้ขมวดกันแน่นเลย”แจ็คสันทำคิ้วขมวดเลียนแบบให้ดูท่าทางแสนน่ารักน่าชัง
มาร์คหัวเราะก้มลงหอมแก้มนุ่ม กระชับร่างเล็กเข้ามาโอบกอด
“นิดหน่อย
แต่ไม่มีอะไรสำคัญหรอก...พี่รักแจ็คสันนะครับ”
“ฮะฮะ
ทำไมถึงบอกล่ะ?”คนตัวเล็กมุดหน้าออกมาถาม ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มสดใส แค่เห็นแจ็คสันยิ้มมาร์คก็ชาร์คพลังได้เต็มที่
เรื่องวุ่นวายต่างๆกลายเป็นเรื่องเล็กหมดแค่มีคนตรงหน้าอยู่ข้างๆเขาแบบนี้
...แจ็คสันคือพระอาทิตย์และแหล่งพลังงานของมาร์ค…
“ก็แค่อยากบอกน่ะ”
พระอาทิตย์ของมาร์คหัวเราะคิก
ยื่นหน้าจุ๊บปากบางเบาๆ กระซิบคำรักกลับคืน
“อืม...ผมก็รักพี่ครับ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น