[OUR] 30
OUR BABY!
บทที่ 30
ชายหนุ่มในเชิ้ตฟ้าอ่อนเนกไทสีเทาและกางเกงสแลกดำยังดูดีแม้ไม่มีเครื่องประดับเพิ่มเติม
ยิ่งมือซ้ายกำลังเสื้อสูทและกระเป๋าเอกสารยิ่งดูภูมิฐาน
มาร์คก้าวยาวๆเข้าไปในอาคาร เลี้ยวเข้าห้องทำงาน
เผลอถอนหายใจเหนื่อยหน่ายตอนเดินผ่านโต๊ะลงเวลา
เป็นอีกวันหนึ่งที่มาร์คจะต้องเดินเข้ามาในห้องทำงาน
เพื่อโดนสายตาและเสียงซุบซิบจากรอบข้างจู่โจมจนรู้สึกประสาทเสีย…
เข้าใจว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
และชอบมีการจับกลุ่มเป็นเพื่อนพ้องพวกเดียวกันเพื่อต้องการความปลอดภัยตามสัญชาติญาณมนุษย์
แต่การรวมตัวเพื่อซุบซิบนินทากับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รู้จักดีเลยสักนิด
ก็สร้างความรำคาญให้กับเขาอย่างมหาศาล
โดยเฉพาะเรื่องพวกนั้นถูกนำมาพูดและส่งผลกระทบต่อการทำงานของเขา
นั่นทำให้มาร์คหงุดหงิดขึ้นอีกเป็นสิบเท่า
...จะทำยังไงเรื่องมันถึงจะจบๆไปได้สักที...
ชายหนุ่มคิดขณะนั่งลงบนโต๊ะทำงาน
ยกเอาเอกสารใต้โต๊ะขึ้นมาวางแต่ก็เห็นดอกกุหลาบพร้อมการ์ดใบเล็กๆดูน่ารักอยู่บนนั้น...
หวืด แซก!
แฟ้มเล่มใหญ่ดันไปจนกุหลาบดอกน้อยหล่นลงถังขยะดังแฉกใหญ่
มาร์คเหลือบมองมันอย่างเฉยๆเมย ก่อนจะมีเสียงแว๊กมาจากด้านหลัง
มาร์คหันไปมองขมวดคิ้วใส่หญิงสาวสามคนที่สองคนหน้ากำลังทำตาไฟลุกโกรธเขาอย่างเต็มที่โดนมีหญิงสาวแสนคุ้นหน้าตรงกลางทำลังแสดงบทบาทนางเอกน่าสงสารจับแขนคนละข้างให้พวกเธอใจเย็น
“นายนี่ใจร้ายเกินไปแล้วนะ
ถ้าไม่ชอบก็ปฏิเสธดีๆสิยะ!”
“มาร์ค
ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหน่อยสิ อย่าให้ความหวังเขาแล้วทำร้ายอลิสแบบนี้
อลิสรักนายจริงๆนะ”
...แล้วที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือให้ความหวังตรงไหนวะ...มาร์คหันไปมองแรงจนพวกเธอนิ่งไป
เขาถอนหายใจ หมุนเก้าอี้มาหาพวกเธอ ปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น
ตอนแรกคิดจะทำตัวเฉยชาแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าอลิสจะตัดใจไปเอง
ไม่คิดว่าหญิงสาวจะไปรวบรวมกำลังพลทางสังคมมากดดันเขา
ก็งงเหมือนกันว่าอลิสไม่รู้จักเขาจริงๆหรือว่าคนอย่างมาร์คใช้สังคมมากดดันไม่ได้?
คิดจริงจังแล้วล่ะว่าถ้าไม่พูดก็คงไม่จบสินะ
“ไม่รู้ว่าเธอเล่าอะไรให้ฟังหรอกนะครับ...แต่ผมว่าผมไม่เคยให้ความหวังเธอ
เราจบกันแล้วก็คือจบครับ”
“แต่นายก็ไม่ควรใจร้ายกับเธอขนาดนี้!...”
มาร์คยกมือขึ้นเป็นปางห้ามญาติเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าเขากำลังแผดเสียง
พวกเธอชะงักมองเขาด้วยสายตาสงสัย ก็แน่ล่ะ ไม่เคยมีใครโทรหามาร์คเวลางาน แถมยังมองแล้วยิ้มเป็นอาเป๊ะขนาดนี้ยิ่งไม่เคยเห็น
มาร์ครีบรับสาย
ท่าทางกระดี๊กระด๊า มือเรียวด้านซ้ายยกขึ้นรับทำให้สาวๆตาโตมองมาร์คตาถลน
ยิ่งได้ยินบทสนทนายิ่งทำให้พวกเธออึ้งมากขึ้นไปอีก
“ครับ ที่รัก”
!!!
“ไม่เป็นไรครับ
พี่หากินข้างนอกได้ครับ ครับ รักนะครับ ดูแลตัวเองนะครับ...”
มาร์ควางสายจากแจ็คสัน
ยิ้มให้โทรศัพท์สักพักก่อนเงยหน้าขึ้นมามองสามสาวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
ทำหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างอยากถามเขา อลิสทำหน้านิ่งและได้เอ่ยถามคำถามที่ทุกคนสนใจ
“มาร์ค...คุณแต่งงานแล้วเหรอคะ”
“หืม?
คุณรู้ได้ยังไงน่ะ”ถามทั้งที่ยิ้มกระหยิ่มและรู้อยู่แก่ใจ
วันนี้มาร์คใส่แหวนแต่งงานมาด้วยเพราะแจ็คสันทักเมื่อคืนนั่นแหละ
ตอนเช้านี้เลยใส่เอาใจภรรยาตัวเล็กสักหน่อย “สองปีกว่าๆแล้วล่ะ”
“อ้าว
ก็เห็นเก็บเงียบ ก็นึกว่ายังไม่ได้แต่งงานซะอีก เอาเถอะ
ถึงยังไงเย็นนี้นายก็ห้ามปฏิเสธนะ”หัวหน้างานของพวกเขาเดินเข้ามาตบไหล่ชายหนุ่มปักๆ
ยิ้มอารมณ์ดีเสียจนน่าหมั่นไส้
“เย็นนี้เหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ
ท่านรัฐมนตรีต้องการเลี้ยงอย่างเป็นส่วนตัวน่ะ กำชับมาด้วยว่าต้องไปทุกคน
โดยเฉพาะนาย...มาร์ค ท่านดูจะชอบผลงานนายนะ
โทรไปบอกภรรยานายเลยก็ดีนะว่าคืนนี้จะกลับช้า”
“แต่...”
“ไม่ได้หรอกนะ ผู้ใหญ่เจาะจงขนาดนี้คงเลี้ยงไม่ได้แล้วล่ะ”
มาร์คมีสีหน้าหงุดหงิด
ด่าพวกคนใหญ่คนโตในใจตั้งแต่โคตรเหง้าศักราชยันคนคิดมรรยาทในสังคม
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยักหน้าเบาๆอย่างเสียไม่ได้
“ผมไม่อยู่ดึกนะ
มีคนรอผมอยู่ที่บ้าน”
“คร๊าบๆ
พ่อคนติดบ้าน รักภรรยามากสินะ มิน่า ถึงเห็นรีบกลับบ้านทุกวัน
เอามาเปิดตัวบ้างสิ”หัวหน้างานกระแซะไหล่เขา มาร์คหัวเราะในลำคอ ตอบกลับยิ้มๆ
“ไม่ล่ะครับ หวง”
หัวหน้างานหัวเราะกลั้วไปกับเขา
เรียกให้มาร์คไปเอางานกับตนเอง ชายหนุ่มเดินผ่านหน้ากลุ่มหญิงสาวไปเอาแผ่นเอกสารกับหัวหน้างานโดยมีสายตาของอลิสมองตามอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้
“มีครอบครัวแล้วก็ไม่บอก...อลิสอย่าเสียใจเลยนะจ๊ะ”
“ใช่ๆ มีผู้ชายอีกเยอะแยะ
อย่างเธอหาคนใหม่ได้สบายๆอยู่แล้วล่ะ”
ปลอบหญิงสาวที่เพิ่งอกหักหมาดๆด้วยความเห็นใจและเดินกลับไปทำงานต่อ
อลิสยังยืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตที่เธอเคยได้ครอบครองเขม็ง
มือสวยกำกระดาษรายงานแน่นจนมันยับคามือ ดวงตาสวยทอประกายแข็งกร้าวสับสน
“ฉัน...ฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอกนะ!!!”
คนตัวเล็กกำลังนั่งอยู่หน้าบ้าน
มองเมสันกำลังนั่งคลานไปกับพื้นหญ้าอ่อนนิ่ม
เจ้าตัวเล็กใช้มือเล็กๆบอบบางและตากลมแป๋วของตนสำรวจพื้นที่รอบๆด้วยความสนอกสนใจ ชุดผ้าสีดำของเมสันก็เพื่อป้องกันไม่ให้มันเปื้อนจนซักออกยากมากนัก
ถ้าเป็นสีอ่อนมันคงดูมอมแมมมากกว่าตอนนี้แน่ๆ
“มะม๊า~ ดอกไม้ๆ”
แจ็คสันมองดอกไม้ป่าเล็กจิ๋วในมือป้อมของลูกชาย
ยิ้มให้และปรบมือชื่นชม เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากพอใจและตามเก็บดอกไม้พวกนั้นต่อ
เขามองดูว่าคงไม่มีอะไรแล้วก็ก้มหน้ายีเจ้าเสื้อเจ้าปัญหาของมาร์คในกะละมังใบเล็กต่อ
คิ้วเรียวขมวดแน่นมองคราบปากกาที่ซักยังไงก็ไม่หายสักที แถมเป็นเสื้อขาวด้วย
ไม่รู้ว่าไปทำยังไงให้ปากกามันหยดใส่ขนาดนี้กัน จ้องมันจนต้องตัดใจ
ทิ้งเสื้อลงในน้ำฟอง ตั้งใจว่าจะแช่ไว้สักคืน คราบก็น่าจะหลุดออกบ้าง ล้างมือ
เหลือบไปมองเมสันที่ลุกขึ้นเดินต้วมเตี้ยมไปมาเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่ อดถามไม่ได้เมื่อแก้มกลมของลูกรักถูกดันขึ้นจนเป็นก้อนเพราะปากเล็กๆนั่นบู้บี้
“เมสันหาอะไรอยู่ครับ”
“ชู่ววว”นิ้วป้อมจิ๋วๆยกมาจุ๊ปากแบบที่แจ็คสันชอบทำเวลาอยากให้เจ้าตัวเล็กเงียบอย่างน่าเอ็นดู
คนเป็นแม่ก็พยักหน้าเออออยิ้มๆ ลุกขึ้นระมัดระวังไม่ให้ลูกน้อยอีกหนึ่งในกายไม่ให้กระทบกระเทือน
คุกเข่าเก็บกล่องซักฟอกลงตะกร้าเตรียมเอาไปเก็บให้เป็นที่เป็นทาง เทน้ำล้างผ้ารดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน
คว่ำกะละมังล้างให้สะอาด เดินกลับไปกลับมาเก็บของ กว่าจะเสร็จก็หอบแฮ่ก
ทรุดตัวนั่งบนชั้นบันได มองลูกชายที่ยังดุ๊กดิ๊กไปมาอยู่กลางสนาม เนื้อตัวมอมแมมไปหมด
“เมสัน มาหาม๊ามา”
“แป๊ปนุง”เสียงอ้อแอ้ตอบกลับมา
คนตัวขาวส่ายหน้าไปมา
เรียกอีกครั้งและคราวนี้เจ้าตัวเล็กก็ตอบรับและวิ่งเข้ามารีบๆ
ในมือเต็มไปด้วยดอกหญ้าและดอกไม้จิ๋วเล็กๆเต็มสองกำมือ แก้มใสเปื้อนดิน
ดูจะไปคลุกดินมากกว่าไปวิ่งเล่น
“เมสัน!”แจ็คสันร้องเรียกชื่อลูกเสียงตื่นเมื่อจู่ๆเจ้าก้อนกลมของเขาก็กลิ้งโคโล่หมุนตัวลงกับพื้น
ล้มแรงจนได้ยินเสียงปักใหญ่ กำลังจะลุกไปช่วยเมสันก็ยันตัวขึ้นมาก่อน
เด็กน้อยยังฉีกยิ้มสดใสแม้เนื้อตัวจะแสนมอมแมมและล้มเมื่อกี้คงจะเจ็บอยู่ไม่น้อยเลย
“ฉบายยย”
คนตัวเล็กหัวเราะ
อ้าแขนออกให้ลูกชายตัวเล็กพุ่งเข้ามากอด เมสันนั่งลงบนตักด้านหนึ่งของมะม๊า ดวงตาแป๋วไร้เดียงสามองเขาด้วยความหวัง
ยื่นดอกไม้จิ๋วช้ำบ้างหักบ้างมาให้เขา
มันดูไม่สวยงามนักแต่แจ็คสันกลับรู้สึกตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ออกมา
มืออวบลูบเส้นผมนิ่มของเจ้าลูกชาย
“ให้มะม๊าเหรอ?”
“อื้ม!”
“ขอบคุณนะครับ
คนเก่งของมะม๊า”รับดอกไม้นั่นมาพร้อมจูบหน้าปากเล็กๆด้วยความรักและเอ็นดู “แล้วทำไมถึงเก็บดอกไม้มาให้ม๊าล่ะครับ”
“ดอกไม้คู่กับเจ้าหญิง
มะม๊าเป็นเจ้าหญิง เมฉันจะเป็นเจ้าชาย”เมสันยิ้มแฉ่งเล่าความคิดของตัวเองให้แจ็คสันได้กลั้นยิ้มอยู่ในใจ
ผลที่เขาเล่าหนังสือนิทานให้เมสันฟังก่อนนอนทุกวันเริ่มแสดงออกมาแล้ว
“ถ้าม๊าเป็นเจ้าหญิง
เมสันเป็นเจ้าชาย เอ... แล้วป๊ามาร์คล่ะ?”
“ป๊ามาร์คก็เป็น...งือ”เมสันก้มหน้าคิ้วขมวดคิดอะไรบางอย่าง
พลันตาโตก็เบิกอย่างคนคิดออก เงยหน้าตอบม๊ะม๊าตัวเองเสียงใส “องครักษ์งาย! ป๊ามาร์คเป็นองครักษ์ปกป้องม๊ากับเมฉัน”
“เหรอครับ
แล้วนี่องครักษ์หายไปไหนน้า ทำไมไม่มาดูแลเจ้าชายนะ
เพราะเจ้าหญิงกำลังจะกลายร่างเป็นแม่มดจับเจ้าชายไปอาบน้ำแล้วนะ~”ดัดเสียงเจ้าเล่ห์อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้น จั้กจี๋เบาๆจนเมสันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกอดคอม๊าตัวเองเข้าไปในบ้าน
แจ็คสันใช้เวลาอาบน้ำกับเมสันนานมากเพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่เล่น
จนเขาต้องดุถึงได้หยุดเล่น ออกมาปะแป้งแต่งตัวก็ถึงเวลานอนกลางวัน
จูงมือเล็กลงไปนอนบนห้องเล็กบนชั้นสองซึ่งเป็นของห้องของเมสัน เล่านิทาน เล่าเรื่องนั่นนี่ไปเรื่อย
หันกลับมาอีกทีเด็กตัวเล็กของเขาก็หลับปุ๋ยไปแล้ว ก้มลงหอมแก้มนุ่ม
ดึงผ้าห่มห่มให้ มองและยิ้มด้วยความรัก
พอพาเจ้าตัวเล็กนอนได้
แจ็คสันก็ต้องจัดการกวาดบ้านรอบสองและเริ่มทำอาหารเย็นเตรียมไว้
พอเมสันตื่นมาจะได้ทานข้าวเลย ไม่ผิดมื้ออาหาร
...เหนื่อย...
มีแต่คำนี้เต็มหัว
แต่ก็ละเลยไม่ได้ เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่คนแล้ว มันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
แล้วตอนนี้มาท้องสองอีก ท้องก็ใหญ่ ทำงานก็ยาก เลยเหนื่อยขึ้นสองเท่า ไม่สิ...สามเท่าดีกว่า
เพราะแจ็คสันก็ยังมีอาการแพ้ท้องบ้างในบางครั้ง ภาระงานบ้านทุกอย่างมาตกที่เขาหมด
ไม่ได้มีตัวช่วยตัวหารเหมือนอย่างท้องแรกที่มีคุณพ่อคอยดูแลอยู่ข้างๆตลอด
เพราะตอนนี้มาร์คกลับไปทำงาน แถมงานยังหนักจนชายหนุ่มต้องกลับบ้านดึกดื่นเกือบทุกวัน
เลยอดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงและน้อยใจเบาๆ
“พี่มาร์คก็นะ จะบ้างานไปไหนกัน
กลับบ้านเร็วๆหน่อยก็ไม่ได้”บ่นงึมงำ
ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างรับลมให้กับลูกน้อย และเดินออกไปทำภาระวันๆหนึ่งของตัวเองให้จบไปเสียที
...ถ้าคืนนี้กลับช้าจะงอนเสียให้เข็ดเลย!..
งานเลี้ยงส่วนตัวกับรัฐมนตรีจัดอยู่ในห้องจัดเลี้ยงเล็กของโรงแรมหรูห้าดาว
หลังจากจับมือพูดคุยกับท่านรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเลี้ยงฉลอง
มาร์คที่กำลังจะย่องกลับกลับโดนท่านรัฐมนตรีรั้งตัวไว้และบังคับให้ดื่มร่วมกันจนดึกดื่นกว่าที่คิดและตอนนี้เขาก็เริ่มมึนๆเสียแล้วสิ
“เอ่อ ท่านครับ
ผมอนุญาตกลับก่อนนะครับ”
“อ้าว
ทำไมกลับเร็วนักล่ะ”
“ภรรยาผมรออยู่ที่บ้านน่ะครับ
ก่อนมาผมไม่ได้โทรไปบอกก่อน กลัวว่าเขาจะรอน่ะครับ”มาร์คใจเย็นพูดอธิบายและดีที่ท่านเข้าใจ
มาร์ครีบลุกขึ้นแต่ก็โซเซจนชนเก้าอี้ตกไปนอนบนพื้น
“ฉันว่าฉันไปส่งนายดีกว่า
นายคงไม่ไหวแล้ว”สตีฟบอก
กำลังจะลุกขึ้นแต่อลิสที่ใกล้กว่าลุกขึ้นจับแขนมาร์คและรีบเอ่ยปากบอก
“เดี๋ยวฉันไปส่งเองค่ะ
ฉันจะกลับอยู่พอดี”
“อ้าว
ทำไมคุณอลิสสารีบกลับล่ะครับ งานไม่สนุกหรือ?”ท่านรัฐมนตรีถามในขณะที่หญิงสาวฉีกยิ้มไร้เดียงสาน่าเชื่อถือตอบเสียงหวาน
“งานสนุกมากจนดิฉันไม่อยากกลับเลยค่ะท่าน
แต่ดิฉันมีธุระส่วนตัวในวันพรุ่งนี้ จำเป็นต้องกลับก่อนจริงๆค่ะ
พอดีว่าจะพาคุณมาร์คกลับด้วย เพราะบ้านทางเดียวกันค่ะ”
“อลิสคุณ...”มาร์คกำลังจะแย้งก็พอดีกับที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวออกมาก่อน
“โอ้
ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันดีๆนะครับ ผมฝากคุณมารคด้วยล่ะคุณอลิสสา ดูเขาจะเบลอนิดๆนะ”
“ได้เลยค่ะท่าน
ไปกันเถอะค่ะ มาร์ค”
“...”
ชายหนุ่มเดินตามแรงลากของหญิงสาวตัวเล็กออกมาจากห้องจัดเลี้ยง
ทันทีที่พ้นประตูมาร์คก็ดึงแขนตัวเองออก มองหน้าหญิงสาวนิ่งเสียจนอลิสรู้สึกเหมือนโดนชายหนุ่มตบซ้ำๆบนรอยแผลเดิม
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องปฏิเสธอย่างเย็นชาขนาดนี้ด้วย
“คุณเย็นชากับฉันมากเกินไปแล้วนะคะมาร์ค”
“ตอนนั้นคุณก็ใจร้ายไม่ต่างจากผมตอนนี้
อลิส”
หญิงสาวรู้ว่าชายหนุ่มพูดถึงตอนไหน
เธอยอมรับว่าตอนนั้นเธอเด็กมากจริงๆ
แต่เธอผิดหรือที่อยากจะกลับคืนมาในวันที่คิดได้
มาร์คมองใบหน้าเจ็บปวดของหญิงสาวที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำก็เกิดรู้สึกสงสารขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
“กลับกันเถอะค่ะ
เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
“ผมกลับเองได้”
“คุณดื่มเข้าไปไม่น้อยเลยนะคะ
และถึงคุณจะมีสติดี แต่ถ้าโดนเป่าคุณได้โดนยัดเข้าตารางแน่ๆ”อลิสกล่อมด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
ตอนที่พวกเขาเข้ามาโรงแรม พวกเขาเห็นด่านตำรวจตรวจคนเมาอยู่ข้างหน้าโรงแรมจริงๆ
มาร์คเดินตามหญิงสาวมาที่รถเปอร์เช่สีมุขของเธอ
มาร์คเข้าไปนั่งฝั่งผู้โดยสาร ส่วนอลิสก็เข้าไปนั่งฝั่งคนขับ
บรรยากาศภายในรถเงียบเชียบ รถคันหรูแล่นไปตามถนน
ดวงตาสวยของหญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังกอดอกหันไปมองนอกตัวรถ
“คุณแต่งงานตอนไหน”
“ปีก่อน”
“เธอคงเป็นคนที่โชคดีน่าดู
ฉันรู้จักรึเปล่าคะ? นิสัยยังไง”
“เขาแตกต่างจากคุณ
ผมบอกได้แค่นี้”
คำตอบแสนเย็นชาเดิมๆที่เคยได้รับมาตลอดเวลาหลายเดือนทำให้อลิสรู้สึกน้อยใจ
ยิ่งตอนนี้ไม่มีใคร มีแค่เขาและเธอในรถแสนเงียบเชียบ
ยิ่งทำให้เธอเรียกร้องทุกสิ่งมากขึ้นอย่างห้ามใจไม่ได้
“คุณควรให้โอกาสฉันบ้างสิคะ”
“ผมอยากให้คุณตัดใจให้ได้เร็วๆ”มาร์คกล่าว
หันมาสบตากับเธอ โชว์แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้เธอดูเต็มๆตา “คุณก็รู้ว่าผมแต่งงานแล้ว
เราไม่มีทางเป็นอย่างเดิมได้อีก”
“เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วจริงๆเหรอคะ”
“คุณก็รู้...”
แล้วรถก็กลับมาสู่สภาพเดิม
มีเพียงเสียงแอร์และเสียงเครื่องรถนั้นที่ทำให้ไม่ดูเงียบจนน่าหวาดกลัว
มาร์คถอนหายใจเบาๆ ใจลอยไปถึงที่บ้าน ห่วงแจ็คสันที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ทุกวันนี้เขาก็รู้สึกผิดจะแย่แล้วที่ปล่อยให้คนท้องดูแลลูกน้อยและดูแลบ้านเพียงคนเดียว
แม้มาร์คจะจ้างแม่บ้านมาทำงานให้ในวันอาทิตย์ แต่วันอื่นๆคนตัวเล็กของเขาก็ต้องทำเองอยู่ดี
จินยองก็ท้องแล้ว จะให้เจ๊เฟยมาดูทุกวันอีกก็ไม่ได้เพราะช่วงนี้เจ๊มีงานเป็นพยาบาลพิเศษ
ปลีกตัวมาดูแลแจ็คสันให้เขาไม่ได้เลย
เขาได้แต่ภาวนาให้โครงการนี้รีบเสร็จสิ้นเสียที
จบทั้งงาน จบทั้งคน
มาร์ครู้ว่าตัวเองใจร้ายที่ทำเย็นชาใส่อลิส
แต่เขาก็รู้ถึงนิสัยของหญิงสาวอดีตคนรักดีว่าเป็นพวกหัวรั้น ไม่ยอมรับความจริงมากขนาดไหน
เพราะเป็นคนสวยและเก่ง มีแต่คนเอ็นดูเลยกลายเป็นคนที่หยิ่งทระนงในตนเองสูง
อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่เขาทำไปขนาดนี้เธอก็ควรจะคิดได้แล้วล่ะ…มั้งนะ
ในที่สุดรถก็จอดอยู่หน้าประตูบ้านเขา
ไปในบ้านยังเปิดโล่ง มีแค่ชั้นใต้ดินที่เปิดไฟสลัวน่าจะเพราะเมสันเข้านอนแล้ว
ส่วนแจ็คสันคงรอเขาอยู่ในบ้าน มาร์คเปิดประตูลงมา หยิบกระเป๋าและเสื้อกราวลงจากรถ
หันไปหาหญิงสาวที่อ้อมเดินมาด้านหลังเพื่อจะขอบคุณ
แต่ฉับพลันทันใดก่อนเขาจะตั้งสติได้ เธอก็ดึงคอเขาลงไปสัมผัสกับริมฝีปากอาบลิปสติกสีสด
กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงตลบอบอวนประกอบกับปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายทำเอามาร์คมึนไปชั่วครู่
ปล่อยให้หญิงสาวจูบอย่างนั้น แต่พอตั้งสติได้ก็ผลักไหล่เธอออกไปเบาๆ
พวกเขาเงียบกันไปชั่วครู่
ก่อนที่อลิสจะร้องไห้และวิ่งขึ้นรถขับออกไป
เธอรู้แล้ว...รู้ทันทีที่ได้สบตาตรงๆกับเขา
.
.
ในสายตาของมาร์คไม่มีเธออยู่ในนั้นอีกแล้ว
แม้แต่เสี้ยวเดียวก็ไม่มี
.
.
เธอแพ้แล้วจริงๆ
เข็มสั้นชี้ที่เลข
10 ตามเข็มยาวที่ชี้ไปที่เลข 12 อย่างพอดิบพอดี ฟ้าด้านนอกมืดสนิท
ภายในบ้านหลังใหญ่เงียบเชียบ โทรทัศน์เครื่องใหญ่ไม่มีได้เปิดอย่างทุกวันที่ผ่านมา
แจ็คสันนั่งอยู่บนโซฟา ดวงตากลมมองหน้าจอมือสนิทที่สะท้อนภาพตัวเขาอยู่บนนั้นอย่างกำลังรอคอยใครบางคนที่ยังไม่กลับบ้าน
ทั้งที่เลยเวลากลับปกติมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว
หลังจากพาเมสันเข้านอนหลับปุ๋ยตั้งแต่สองทุ่ม
แจ็คสันก็ลงมานั่งรอมาร์คอยู่ตรงนี้ตลอด นั่งจนเมื่อยตูดไปหมดแล้วก็ไม่เห็นทีท่าว่าพ่อสามีตัวดีจะกลับมา
เขาเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ
ก้มมองดูท้องนูนของตัวเอง
ลูบไล้เบาๆพอให้ยิ้มออกมาบางๆ เวลาที่เขาหงุดหงิดมักจะลูบท้องลูกจะได้รู้สึกดีขึ้น
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงจะเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกว่ายังมีคนอยู่เคียงข้าง
นิ้วป้อมยกขึ้นมานับอายุครรภ์ เดือนนี้ก็สี่เดือนครึ่งแล้ว
ท้องนูนน้อยกว่าของเมสัน น่าจะเพราะลูกคนนี้ตัวเล็กด้วย เพราะเขาก็กินข้าวปกติ
ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการกินเหมือนตอนเมสัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สุขภาพก็ดี
ยกเว้นก็แต่ภูมิแพ้อากาศที่เพิ่มเข้ามา เจอไอฝนหรืออากาศหนาวๆหน่อยก็คัดจมูก ผื่นขึ้นตัวแล้ว
แจ็คสันได้ยินเสียงรถจากหน้าบ้าน
ลุกขึ้นเดินออกไปส่องทางหน้าต่างด้วยความสงสัย
เพราะปกติมาร์คจะเปิดประตูขี่เข้ามาเลย ไม่ได้จอดนิ่งแบบนั้น
หรี่ตามองก็เห็นเงารถแปลกตาและร่างคนตะคุ่มๆสองร่างพยุงกันออกมาจากรถ
เขาคงจะเดินออกไปรับแล้วถ้าไม่เห็นฉากสำคัญเสียก่อน
ตากลมเบิกกว้าง
ยกมือปิดปากมองอย่างไม่อยากเชื่อ...
ภาพที่ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปจูบกับหญิงสาว
.
.
ภาพที่มาร์คจูบกับผู้หญิงคนอื่น
.
.
มือเล็กกำผ้าม่านแน่น
ทั้งอกปวดหนึบรุนแรง ขาเหมือนเป็นอัมพาทไปชั่วขณะหนึ่ง
ขอบตาร้อนผ่าวก่อนที่ภาพทั้งหมดจะมัวไปเพราะน้ำตา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงจากการผิดหวังพุ่งจู่โจมหัวใจเขาจนอ่อนไหวมากกว่าปกติ
ภาพที่เห็นมันชัดเจนมากเสียจนเขาหลอกตัวเองหรือหาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ได้
...ที่กลับดึกก็เพราะแบบนี้สินะ...
...ที่ไม่ใส่แหวนก็เพราะแบบนี้ใช่หรือเปล่า...
...ที่เขาเจ็บปวดอย่างตอนนี้ก็เพราะมาร์คนอกใจเขาจริงๆน่ะเหรอ?...
.
.
.
“ตัวเล็ก...”
ทันทีที่มาร์คเปิดเข้ามาเห็นเขาร้องไห้
สีหน้าของชายหนุ่มดูตกใจมาก เสียงของโครมครามเพราะมาร์คทิ้งข้าวของลงพื้นเพื่อเดินมาหาเขา
ร่างโปร่งเดินเข้ามาจับแขนขาวแต่กลับโดนสะบัดออก ใบหน้ากลมสีเข้มขึ้นด้วยความโกรธและน้อยใจ
ดวงตากลมคลอน้ำตามีสีหน้าผิดหวังและเสียใจจนคนเห็นรู้สึกร้าวไปทั้งอก
มาร์คได้คำตอบในคำถามทันที
...แจ็คสันเห็นเขากับอลิสจูบกัน...
“มันไม่มีอะไรนะ...ไม่เอาครับ
อย่าร้องสิ”มือหยาบยกเช็ดน้ำตาจากหางตากลม แต่แจ็คสันสะบัดหน้าหนี
ส่งสายตาตัดพ้อไปให้จนชายหนุ่มชะงักนิ่ง
“...”คนตัวเล็กส่ายหน้า
ถอยหลังเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรตอนนี้ มองอีกคนด้วยความตัดพ้อ
หันหลังเดินหนีขึ้นไปบนห้อง
แต่ด้วยความรีบเร่งทำให้เท้าเล็กที่จะก้าวขึ้นขั้นบันไดที่หกพลาด
“อ่ะ!!!”
พลันร่างทั้งร่างก็ทรงตัวไม่อยู่
และร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว!!!
“แจ็คสัน!!!”
มาร์คตะโกนด้วยความตกใจ
รีบวิ่งจะไปรับแต่ก็ไม่ทัน ร่างภรรยาตัวเล็กตกกระแทกลงมาบนชั้นพักบันได
เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาจากหว่างขา ในขณะที่แจ็คสันร้องครวญครางเจ็บปวด
มือเล็กจับหน้าท้องแข็งไว้ กำเนื้อผ้าแน่น
ตากลมคลอน้ำตามองเลือดด้วยความตกใจและเสียขวัญ
“ลูก
ฮึก...พี่มาร์ค ลูก”
“ไม่เป็นไร
ลูกจะต้องไม่เป็นไร ใจเย็นๆ”มาร์คเข้ามาประคองร่างเล็กขึ้นอุ้ม รับรู้ถึงความหวั่นกลัวของคนในอ้อมแขน
เนื้อตัวสั่นระริก ร้องไห้กัดปากด้วยความเจ็บปวดและเสียขวัญ
ริมฝีปากแดงก่ำพร่ำร้องถึงเจ้าตัวเล็กในท้องตลอดเวลาที่มาร์คพาไปโรงพยาบาล
“อยู่กับม๊านะ
อยู่กับม๊าก่อนนะลูก ฮึก อย่าทิ้งม๊าไปนะ ม๊าขอโทษ ฮือ”
มาร์คมองคนด้านหลังด้วยความกังวล
เป็นห่วงและร้อนใจไม่แพ้กัน เท้าเหยียบคนเร่งสุดชีวิต ในใจก็ขอร้องกับอะไรก็ได้ในโลก
ขอให้แจ็คสันและลูกของพวกเขาไม่เป็นอันตราย
...ขอร้องล่ะ
ขอให้ทันเถอะนะ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น