[TTM] 01

TWINS & TWINS
MATCH
_______1_______

ห้องบรรยายคณะบริหารธุรกิจไม่เคยเงียบเหงาแต่ก็ไม่ได้โหวกเหวกวุ่นวาย เพียงแค่วันนี้เป็นวันพิเศษ เสียงดังที่สุดในตอนนี้เลยเป็นเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆอย่างไม่คุ้นจะได้ยินบ่อยนัก ภายในห้องบรรยายทรงรูปเกือกม้ามีนักศึกษาหลายคนนั่งอยู่กระจายตามที่นั่งเกือบห้าสิบคน ทุกคนต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเอง เพื่อพิจารณาและดูเอกสารในมือที่ได้รับแจกจากหน้าห้องเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมเพื่อออกฝึกงานในปีสุดท้ายนี้ ก่อนที่อาจารย์ประจำคณะจะเข้ามาบรรยายถึงกฎระเบียบและให้คำแนะนำอีกครั้ง

หนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นมีร่างหนึ่งที่กำลังหันซ้ายหันขวาอย่างต้องการคนช่วยแนะนะ ใบหน้าคมหวานมีสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย จมูกโด่งปลายรั้นทำให้ดูน่ารักและดูดื้อดึง ดวงตากลมโตวาวใสราวกับลูกปัดมองไปยังเพื่อนด้านข้าง ริมฝีปากอิ่มแดงเม้มแน่นอย่างนึกลังเลใจว่าจะถามดีไหม สุดท้ายมือขาวก็ยกขึ้นยีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มไว้หน้าม้ายาวปิดคิ้วเรียวเข้มของตัวเองจนผิดรูปไปเล็กน้อย

แจ็คสัน หวัง ก็เป็นแค่นักศึกษาปีสุดท้ายที่กำลังสับสนและเลือกบริษัทเข้าฝึกงานไม่ได้ เขาไม่ได้มีเกรดเลิศเลอ กิจกรรมก็ไม่โดดเด่นไปมากกว่าเพื่อนฝูงจึงเลือกมากไม่ได้ อ่านจากเอกสารพวกนี้ก็พอจะรู้ว่าพวกเขามีเวลาไม่มากในการเลือกบริษัทและส่งใบขอเข้าฝึกงาน กว่าบริษัทเหล่านั้นจะตอบกลับแล้วต้องรีบส่งให้คณะดำเนินการอีก คิดเรื่องกระจิบยิบย่อยนั้นก็ปวดหัวจะบ้าแล้ว ยิ่งเป็นพวกไม่ชอบคิดอะไรมากอยู่

เงยหน้ามองอาจารย์รุ่นป้าเดินนวยนาดขึ้นบนเวที แสงไปในห้องหรี่ลงเป็นโอกาสให้แจ็คสันเอนหลังผ่อนคลายมองรายละเอียดบนหน้าจอนิ่งๆ เขาเปิดอัดเสียงไว้ด้วยในกรณีที่อาจจะฟังตกหล่นหรือหลับไปกลางคัน จู่ๆโทรศัพท์เขาก็แผดเสียงเตือน มือขาวรีบตะครุบมันขึ้นมาปิดเสียง ใจเต้นตึกตักแทบจะหลุดออกจากอก ก้มศีรษะขอโทษอาจารย์หน้าห้องที่ทำเสียบรรยากาศ ดีที่ไม่โดนว่าอะไรมาก มีแต่สายตาตำหนิจากเพื่อนร่วมคณะเสียมากกว่าที่ทำเอาแจ็คสันหน้าชาเบาๆ

หลังตั้งสติได้แล้วก็ยกมันขึ้นมาดู เบิกตากว้าง นึกโทษตัวเองที่ลืมวันสำคัญแบบนี้ไปได้ ดีว่าเขาไม่ได้สัญญาอะไรไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้โกยอ้าวหนีออกจากห้องประชุมไปตั้งแต่บรรยายยังไม่เสร็จ ก็คนๆนั้นเวลาหงุดหงิดอย่างกับพวกผู้หญิง...แต่จะว่ามากไม่ได้หรอก เกรงจะเข้าตัวเองสักข้อ...

แจ็คสันตั้งสติฟังได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หาวหวอด ในหัวคิดเรื่อยไปถึงเรื่องอื่น ลอยละล่องไปไกลเสียจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนทุกคนลุกจากที่นั่ง รีบเก็บเอกสารลงกระเป๋าเน่าใบเดิม ลุกขึ้นเดินตามทุกคนออกไป ต่างคนต่างแยกไปตามทางของตัวเอง เขาที่ไม่รู้จะไปไหนต่อก็เลยตั้งใจจะเดินกลับบ้าน พอดีกับมีมวลสารร่างใหญ่พุ่งเข้ามาโอบไหล่เขาอย่างแรง

“เฮ้ย! ไปเล่นบาสกัน”

แจ็คสันส่ายหน้ายิ้มๆ ปฏิเสธเพื่อนคณะคนละสายที่ทำหน้าสงสัยใส่เขา

“โทษทีว่ะ วันนี้พี่กลับบ้าน”

“เดี๋ยวนะ มึงมีพี่ด้วยเหรอ”

“พี่สองวิน่ะมึง” มันร้องอ๋อทันที

“ที่เป็นตากล้องอ่ะนะ? กลับมาแล้วเหรอ?”

“อืม กลับมาวันนี้ กูเลยจะรีบกลับบ้านเนี่ย บ้านโคตรรก กูก็ลืมเก็บ นึกว่าจะกลับมาสัปดาห์หน้า ผ้าแม่งยังเต็มตะกร้าอยู่เลย”แจ็คสันบ่นขณะที่พวกเขากำลังเดินข้ามฝั่งถนนเพื่อจะกลับบ้าน

“เฮ้ย แฝดแกเฮี๊ยบขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”

“ไม่เลย โคตรซกมก แต่เพราะเป็นงั้นกูเลยทิ้งให้บ้านรกไม่ได้ ไม่งั้นคนจะแยกบ้านกับรูหนูไม่ออก”เขาพูดแบบไม่ยี่หระ โบกมือบ๊ายบายเพื่อนที่เดินแยกไปอีกทาง ยัดสองมือลงกระเป๋ากางเกงเดินต๊อกแต๊กไม่รีบร้อนไปตามทางเท้าเส้นหน้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นถนนสายสำคัญ เรียกว่าเป็นสายการค้าย่อมๆได้เลย และบ้านของพวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากนี้ เดินกลับก็ถึง แสนจะประหยัดค่าโดยสารได้อีกโข

ระหว่างทางสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นนิตยสารแฟชั่นชื่อดังวางขายบนชั้นหนังสือ ถึงป้าคุมร้านจะทำหน้าไม่รับแขก แต่แจ็คสันก็พุ่งเข้าไปดูด้วยความสนอกสนใจอยู่ดี มือขาวหยิบเอานิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมามองและยิ้มให้กับคนบนหน้าปก หันไปจ่ายเงินให้ป้าคุมร้านแบบเป๊ะๆตามป้ายราคาแล้วเดินหอบหิ้วนิตยสารเล่มนั้นเดินออกมา

“อุ๊ย! นั่นพี่มาคัสนี่ โอ๊ยย หล่อเนอะแก ยิ่งใส่ชุดสดใสๆแบบนี้ยิ่งดูน่ารักมากเลย”

เสียงซุบซิบจากกลุ่มเด็กสาวที่เดินไปยืนหน้าแผงหนังสือเมื่อครู่เรียกรอยยิ้มภูมิใจบนใบหน้าขาว เปิดดูเนื้อในของเล่มที่ซื้อมาคร่าวๆ ชะงักกับเมนูอาหารพิเศษในเล่ม หน้าตาน่ากินทำน้ำลายสอตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำหรือเริ่มได้กลิ่น

...วันนี้ทำอาหารพิเศษให้ดีกว่า...

พอคิดได้อย่างนั้นก็หันเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อลัดตรงไปตลาดของสดเล็กๆแถวบ้าน ในหัวก็นึกรายการวัตถุดิบแต่ละอย่างอย่างรวดเร็ว พลันมือขาวก็ตลับหน้าขา ลืมคิดถึงเงินในกระเป๋าแฟบๆนี้ไปเลย เอาเป็นว่าอาหารพิเศษก็เปลี่ยนเป็นอาหารธรรมดาๆแต่รสอร่อยก็แล้วกันนะ (ให้ชมตัวเองบ้างเถอะ)

ตอนเข้าเข้าตัวเปล่า ตอนออกมาดันมีถุงห้อยพะรุงพะรังเต็มสองแขน เดินรีบๆเข้าไปในซอยเล็กๆเพื่อลัดเลาะกลับบ้านตัวเอง ถ้าจะเลี้ยวกลับไปทางเดิมแขนเขาต้องชามากแน่ๆ นึกหงุดหงิดตัวเองที่อดใจซื้อพวกของลดราคาไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องหอบเป็นไอ้บ้าหอบฟางกลับบ้านทุกครั้งไป

สองนาทีในการเลี้ยวออกจากซอย ห้านาทีในการเดินกลับมาทางเดิม และสามนาทีในการหากุญแจกระเป๋ากางเกง ไขประตูบ้านสีขาวออกอย่างทุลักทุเล เพราะมือใช้ไม่ได้ก็เลยใช้เท้าถีบประตูไปให้จบๆ

ถึงจะพูดว่าบ้าน แต่มันก็ไม่ใช่บ้านจริงหรอก ทาวเฮาส์หนึ่งห้องเล็กสองชั้นที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนี้ถูกเช่าแบบเดือนต่อเดือนมายาวนานกว่าแปดปีแล้ว แต่ก่อนมีพ่อแม่ของพวกเขาอยู่ด้วย แต่หลังจากแจ็คสันขึ้นเข้าเรียกต่อในระดับมหาวิทยาลัย พ่อแม่พวกเขาก็ย้ายไปอยู่ไมอามี่และส่งเสียพวกเขาเรียนจากที่นั่น ถึงตอนนี้จะมีเงินทองพอใช้จ่ายแล้วแต่แจ็คสันก็ยังคงคติอันไหนเก็บได้ก็เก็บตามที่ม๊าสั่งไว้สม่ำเสมอ ไม่กล้าใช้อะไรฟุ่มเฟือยมากนัก ก็เขาน่ะยังเรียนอยู่ ส่วนพี่แฝดนั่นไปเอาดีด้านช่างกล้องจนทำเป็นอาชีพหาเงินเองได้แล้ว เงินหาเอง ก็ใช้เองไป เขาก็ไม่ได้ไปเครียดอะไรด้วย จะเครียดก็เรื่องการใช้ชีวิตแบบหาคลำหาทางไปเรื่อยๆแบบนั้นเสียมากกว่า

พอเริ่มเตรียมเครื่อง เสียงเคาะประตูก็ดังกระหน่ำ แจ็คสันนิ่งไม่ไปเปิดให้ ปอกผลแอบเปิ้ลต่อไปชิวๆ ไม่ถึงนาที ประตูก็ถูกปลดล็อค บานประตูแง้มออก แจ็คสันเงยหน้ามองดูความวุ่นวายที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในบ้านช้าๆ

“I’m coming home! Mabro!!!”





ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ชั่วโมงก่อน

เครื่องบินตรงจากสนามบินฮ่องกงแลนดิ้งจอดเทียบท่าสนามบินลอสแอนเจอลิส อินเตอร์ฯ อย่างปลอดภัย ผู้โดยสารทยอยลงจากเครื่องบินผ่านทางตัวหนอน บางคนก็เร่งรีบ บางคนก็เดินเฉื่อยๆไม่รีบร้อนนัก เสียงล้อกระเป๋าบดพื้น เสียงรองเท้าหรือจะเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบผ่านเข้าโสตประสาทการได้ยินของผู้โดยสารคนสุดท้ายของเครื่อง

ร่างขนาดกะทัดรัดเดินเอื่อยหอบสังขารตัวเองเดินไปตามทางเดินช้าๆ ผมย้อมสีทองหลุดจนเห็นโคนผมสีดำรวบมัดจุกน้ำพุเหนือกระหม่อม หนวดครึ้มเขียวเหนือริมฝีปากสีแดงจัดประกอบกับเคราบางๆทำให้ชายคนนี้ดูไม่เข้าใกล้แต่พอรวมกับโครงหน้าหวาน ดวงตากลมโตและจมูกรั้นกลับสร้างบรรยากาศสบายๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลำแขนขาวอุดมกล้ามเนื้อผ่องนอกเสื้อกล้ามสีดำเปล่าตัวโคร่งสะพายกระเป๋าแบ็คแพ็คใบโตสีแดงครีมเดินดุ่มๆตามกลุ่มผู้โดยสารคนอื่นไปอย่างไม่รีบร้อนนัก

เจสัน หวัง หาวหวอดๆขณะยืนเข้าแถมรอจุดตรวจคนเข้าประเทศ ล้วงมือถือออกมาส่งข้อความถึงแฝดน้องตัวเองว่ากลับมาถึงแล้ว หวังว่าแจ็คสันคงทำอาหารเตรียมไว้เพราะตอนนี้เขาหิวเต็มทน

ในที่สุดก็ถึงคิวเขา ส่งพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่สาวที่เงยหน้ามองเขายิ้มๆ ก้มหน้ามองภาพในเอกสาร ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง

“ผมลืมโกนหนวดเพราะก่อนขึ้นเครื่องผมตื่นสายนิดหน่อย หน้าผมคงไม่แปลกจากรูปมากไปใช่ไหม”เจสันหัวเราะพลางยิ้มกว้างขวางโชว์ฟันกระต่ายน่ารักเหมือนในรูปเป๊ะ เจ้าหน้าที่หัวเราะตามเขาแล้วส่งคืนให้

“พอคุณยิ้มก็เหมือนเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”เจสันรับหนังสือเดินทางเดินออกมาจากจุดนั้น เดินตามกลุ่มฝูงชนสวนกับบรรดาผู้โดยสารขาออกหลายคนหลายชนชาติ มองไปก็ยิ้มบางๆอยากยกกล้องในกระเป๋าขึ้นมาถ่าย น่าเสียดายที่ตรงนี้ถ่ายภาพไม่ได้

เขาเป็นตากล้องอิสระ รับงานจ้างทั่วไป จำพวกถ่ายภาพนิ่งโฆษณาหรือถ่ายภาพแฟชั่น เขาทำได้ค่อนข้างดีเลยมีคนติดต่อจ้างเยอะ ปัจจุบันก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร มีงานอดิเรกคือท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆเพื่อเสาะแสวงหาถ่ายรูปสวยๆรอบโลก จริงๆก็ยังเป็นความฝันอยู่ ประเทศที่เคยไปมาก็มีแค่ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส ไต้หวัน และฮ่องกงบ้านเกิดเขาก็แค่นั้นเอง แต่เจสันก็มีภาพมากพอที่จะเปิดแกลเลอรี่เล็กๆของตัวเองได้แล้วเหมือนกัน

เจสันหยุดยืนมองหาป้ายห้ามถ่ายรูป เมื่อพบว่าไม่มีก็วางกระเป๋าค้นกล้องคู่ใจขึ้นมาสะพายคอ ยืนเล็งอยู่ประมาณนาทีหนึ่งก่อนจะตัดสินใจลั่นชัตเตอร์ลงไป เปิดเช็คภาพหนึ่งเดียวนั้นแล้วก็ยิ้มพอใจเมื่อเห็นองค์ประกอบออกมาดี เลื่อนปิดเลนส์กล้องแล้วเดินออกไปนอกตัวอาคาร หันซ้ายหันขวามองหารถแท็กซี่ที่โทรเรียกมาตั้งแต่สิบนาทีก่อนก็ยังไม่เห็นโผล่มา ถอนหายใจเล็กน้อย พยายามไม่หงุดหงิด ยังไงเสียวันนี้อากาศก็ดี แสงก็สวย ยืนถ่ายรูปไปตรงนี้ก็คงมีความสุขไปอีกแบบ เกือบจะยกกล้องอยู่แล้วถ้าไม่เหลือบไปเห็นป้ายห้ามถ่ายภาพอยู่ไม่ไกล

...เจสันหงุดหงิดจริงๆเสียแล้ว...

สองนาทีให้หลังแท็กซี่ที่เรียกมาก็จอดเทียบท่า ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูบอกว่าจะไปที่ส่วนไหนและจะไม่ยอมเข้าไปถ้าไม่เห็นกดมิเตอร์ พอเห็นเลขมิเตอร์เริ่มนับเจสันก็เหวี่ยงกระเป๋าไร้กล้องลงเบาะหลัง ยัดตัวเองตามไปปิดประตูเป็นสัญญาณให้โชเฟอร์ขับออกไปได้

“คุณมาจากไหนล่ะครับ”

“จากฮ่องกงครับ ว่าแต่วันนี้อากาศสดใสดีนะครับ อ่อ...ผมขอถ่ายรูปได้ไหม?”

“ตามสบายเลยครับ”

บอกขอบคุณตามมรรยาท ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพด้านข้างของคุณลุงโชเฟอร์สามสามภาพ เลื่อนเลนส์กล้องออกไปนอกหน้าต่าง กดปรับภาพเป็นโหมด N เล็งอยู่นานกว่าจะกดชัตเตอร์เก็บภาพแต่ก็ต้องสบถเสียงต่ำในลำคอเพราะมีรถตำรวจแล่นผ่าน ก้มมองรูปก็เห็นแต่ลายเส้นเบลอๆสีขาวน้ำเงินและแดงตัดกันได้อย่างน่าเวียนหัวไร้ความงดงาม เจสันลบภาพนั้นออก ถอนหายใจเก็บกล้องลงกระเป๋าใหญ่

เขาไม่มีอารมณ์จะถ่ายภาพแล้ว เพราะรถตำรวจคนนั้นแท้ๆเลย

“ช่วงนี้โจรชุกชุมนะครับ ผมเห็นพวกตำรวจออกตรวจทุกวันเลย เล่นเอาซะผมกลัวเลยล่ะ”

เสียงบ่นลอยๆจาดคุณลุงโชเฟอร์เรียกให้เจสันหันกลับไปสนใจได้อีกครั้ง

“หืม? มันมีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ ก่อนผมไปก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา”

“เยอะเลยครับ ทั้งขโมยของ งัดบ้าน ขโมยรถ สำคัญๆก็เห็นว่ามียาเสพติดแบบใหม่เข้ามาด้วย เห็นว่าแต่ก่อนพบแค่แถบฮ่องกง แต่เพิ่งเห็นในLA พวกตำรวจตามหาต้นตอกันจ้าละหวั่นเลย พวกรัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่รู้ทำอะไรอยู่ เฮ้อ บ้านเมืองเราทุกวันนี้มันน่ากลัวจริงๆ”

“นั่นสินะครับ... ลุงก็ระวังน้า รับผู้โดยสารสวยๆระวังเขาใส่ยานะ ยาเสน่ห์น่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“โอ๊ยย คุณครับ จะกลัวกลับกันสิไม่ว่า รับผู้โดยสารผู้หญิงทีไรเห็นระวังตัวแจมองผมอย่างกับโจร แต่เออ ก็ดีนะ ระวังตัวก็ดี แท็กซี่ก็ใช่ว่าจะมีแต่พวกสุจริต”

เจสันชวนคนขับคุยไปตลอดทาง คุยโขมงไปทุกเรื่องตั้งแต่เศรษฐกิจ การเมือง ข่าวซุบซิบดารา ยิ่งกับเมืองฮอลลีวูดแบบนี้มีซูเปอร์สตาร์อยู่กันให้พรึบไม่แปลกที่จะมีเรื่องแบบนี้ให้คุยกันเยอะ รถเลี้ยวเข้ามาในเขตชุมชนไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยของแจ็คสันซึ่งบ้านของพวกเขาก็ห่างไปไม่มาก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นโลเคชั่นสวยๆสร้างใหม่ใกล้กับสวนสุขภาพของมหาวิทยาลัย มือตบเบาะคนขับบอกความต้องการแบบไม่ต้องคิด

“ลุงจอดตรงสวนสวยๆนั่นเลยนะครับ”เจสันรีบบอก

“อ้าว ไม่ไปบ้านแล้วละครับคุณ”

“เดินกลับเองได้ครับ ไม่น่าไกลเท่าไหร่...นี่ตังนะลุง ขอบคุณครับ”

“ครับๆ ด้วยความยินดี”

เจสันแบกเป้ไว้บนหลัง เดินลงสวนสุขภาพเล็กๆแต่ร่มรื่นด้วยต้นไม้และใบหญ้า กวาดตามองสูดอากาศเข้าปอด ถอดรองเท้าสัมผัสความอ่อนนุ่มของผืนหญ้า นั่งยองๆลงจ่อเลนส์กล้องซูมภาพต้นหญ้าสองใบคาบเกี่ยวกันอย่างไม่มีอะไรพิเศษ มือป้อมปรับระยะให้ภาพคมชัด ปรับ IOS และลดแสงลงเพื่อให้ได้ภาพแนวมัวๆอย่างที่ต้องการ กดเก็บภาพและยกมันขึ้นมามองด้วยความภูมิใจ

“หืม?...”

เจสันหันขวับไปมองด้านหลังตนเอง เห็นคุณลุงแก่ๆนั่งหลับอยู่บนม้านั่ง แม่ค้าขายฮอตดอกและนักศึกษาในชุดเล่นเดินสวนกันประปราย ไม่มีสิ่งใดผิดปกติหรือน่าสงสัย แต่เมื่อครู่เขารู้สึกว่ามีคนมองเขาอยู่ ขนแขนลุกซู่ มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย หัวใจเต้นแรง ได้แต่ส่ายหน้าปลอบใจตัวเองว่าคงคิดมากไป เก็บกล้องลงกระเป๋า ลุกขึ้นเดินกลับบ้านเพราะคิดว่าคงไม่ดีถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อ

ดีที่ระหว่างทางกลับบ้านเขาไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีก สองเท้าเดินไปบนเส้นทางที่ติดๆอยู่ในหัว ไม่ได้จำได้หรอก ก็แค่ให้สัญชาติญาณพาไป และเขาก็ไม่หลงทาง เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านตัวเองจนได้

ทาวเฮาส์ขนาดหนึ่งคูหา เล็กแสนเล็กแต่ก็เหมาะกับราคาค่าเช่าและพอเหมาะสำหรับให้เขาและคู่แฝดอยู่อาศัยได้อย่างไม่อดสูมากนัก แค่เดินไปหยุดหน้าประตูก็ได้ยินเสียงคนทำครัวอยู่ในบ้าน เคาะประตูสองสามครั้งและยืนรอ แต่คนในบ้านก็ไม่ยอมมาเปิดให้สักที เลยต้องค้นๆของในกระเป๋าแสนจะรักของตัวเองเพื่อหาว่ากุญแจบ้านอยู่ไหน ดีที่สุดท้ายก็ไปเจอในช่องเล็กๆหลังเป้ เกือบจะต้องโยนของออกหมดกระเป๋าเพื่อหาแล้วไหมล่ะ

เขาไขประตูเข้าไปแล้วแหกปากดังลั่นอย่างเป็นนิสัย

“I’m coming home! Mabro!!!”

“กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำสิวะเจ”

“โห่ยยย นี่ทักพี่งี้เหรอ หืมมมม ไอ้น้องแจ็ค”

ตากลมๆที่เหมือนกับเขาเป๊ะกลอกตาเป็นรูปวงกลม “พี่สองวิก็นับเนอะ ไปจัดการกับสารร่างตัวเองทีเถอะ นี่ไม่ได้อาบน้ำมาเลยใช่ป่ะวะ ไปอาบน้ำถึงจะให้กินข้าว ไม่อาบแจ็คก็ไม่ให้กินนะ”

“ใจร้ายว่ะ”ปากแดงแบะปากใส่แฝดน้องที่แบะปากคืน

“คราวหน้าก็ทำกินเอง”

เจสันโคลงหัวไปมา ลากกระเป๋าไปวางไว้บนโซฟา ทรุดตัวนั่งลงบนพนักวางแขนของโซฟาและส่งเสียงอ้อนอย่างที่ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่เห็นท่าทางแบบนี้จากเขาง่ายๆ

“แจ็คโกนหนวดให้หน่อยดิ”

แจ็คสันเงยหน้ามองพี่ตัวเองและถอนหายใจ

“โตขนาดนี้แล้วไหมวะเจ นี่โกนหนวดไฟฟ้าก็มี ตอนไหนเจจะเลิกกลัวของมีคมสักที”

จริงๆไม่ใช่ว่าเจสันไม่อยากทำอาหารหรืออะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะหวังคนพี่เป็นโรคกลัวของพี่คม ประเภทมีด คัตเตอร์จะเตะไม่ได้เลย ขนาดที่โกนหนวดก็ยังต้องใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังติดจะอ้อนให้แฝดน้องทำให้เสียมากกว่า

“แจ็คก็รู้ว่าเจทำไม่ได้ เออ นั่นแหละ วางลงก่อนเหอะ เจก็คันยิบๆเหมือนกันเนี่ย”

แจ็คสันยอมแพ้ เดินไปล้างมือและเดินมาหาเขา เป็นโอกาสให้เจสันจับเอวเล็กของน้องแฝดตัวเองขยำไปมา ใช้ขารวบร่างอีกคนเข้ามาใกล้ขึ้น

“แจ็คอ้วนขึ้นป่ะ? ตรงนี้ดูหนาๆอ่ะ”

“เจก็ผอมไปแล้วเหมือนกัน”มือเล็กก็ตรงไปอวัยวะส่วนเดียวกัน สัมผัสถึงเอวและกระดูกแข็งๆเล็กน้อยของแฝดพี่ เลื่อนเข้าไปลูบส่วนหน้าอกแข็งปั๋ง “แต่ตรงนี้ก็แน่นเหมือนเดิม อยู่โน่นเล่นเวทเหรอ”

“อืม นิดหน่อยอ่ะ โกนหนวดให้เจหน่อยน้า แจ็คนะ”ส่งสายตาปริบๆไปให้เจ้าของดวงตาแบบเดียวกันที่พยักหน้าหงึกหงัก ดึงข้อมือเขาเข้าไปในห้องน้ำ

เจสันไปนั่งบนซิงก์ล้างหน้า ส่วนแจ็คสันก็เดินไปหยิบครีมกับที่โกนหนวดเดินเข้ามาหา มือนุ่มของแฝดน้องละเลงครีมขาวรอบปากอิ่ม บรรจงเลื่อนปลายใบมีดไปตามส่วนรูปทรงของใบหน้า โดยมีเจสันมองใบหน้ามุมประชิดของแฝดน้องไปเงียบๆ

“ดำขึ้นไหมเนี่ย เกรียมแดดนิดนึงรึเปล่า? ดีจัง แจ็คก็อยากได้แบบนี้บ้างอ่ะ ดูเป็นผู้ชายดี”แจ็คสันมองผิวสีแทนเล็กของพี่ชายฝาแฝดที่อีกสักพักก็คงกลับมาเป็นสีเดียวกันกับเขาตอนนี้

“ขาวแบบนี้ก็โอเคแล้วน่า ผิวสวยดีออก”นิ้วป้อมที่มักจะถือกล้องไล้ผิวคอแฝดน้องเบาๆ แจ็คสันย่นคอเพราะจักจี๋

“ผิวแจ็คก็เหมือนผิวเจเลยเถอะ...อ่ะ เสร็จแล้ว”บอกพลางถอยออกมาให้เจสันได้กระโดดลงมาค้างครีมออก ใบหน้าเกลี้ยงเกลามองกระจกส่องซ้ายส่องขวาดูความเรียบร้อย ยืนตัวตรงยึดคอแฝดน้องให้เข้ามาส่องกระจก ยิ้มกว้างมองภาพสะท้อนตรงหน้า

“เหมือนกันแล้ว”

“ใครว่าเหมือน เพราะเจไปย้อมผมทองนั่นแหละ อ้อ ไปย้อมใหม่ก็ดีนะ มันหลุดหมดแล้วนี่”แจ็คสันจับผมนิ่มสีทองของพี่ชาย รูดยางรัดออกยีให้เส้นผมสีทองคลายตัวออกมาให้หน้าม้าปรกใบหน้านวล ทำให้ตอนนี้ยิ่งเหมือนกันเข้าไปใหญ่

“ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ อ้อ...ลืมเลย แจ็ค จุ๊บๆ”เจสันยู่ปากอิ่มแดงออกมา จุ๊บปากอิ่มสีสดของคนเป็นแฝดน้องจนเกิดเสียง แจ็คสันหัวเราะและจุ๊บกลับคืน ทั้งสองหัวเราะร่าเสียงสูง เจสันโอบคอแจ็คสันชวนกันเดินออกมากินข้าว และถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาพี่น้องทั่วไป








สถานีตำรวจเป็นสถานที่ที่คนไม่อยากจะมากันหากไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้น ถ้าบอกว่าโรงพยาบาลคือแหล่งมวลความทุกข์จากโรค สถานีตำรวจก็คงเป็นแหล่งมวลความทุกข์จากความเดือดร้อน เสียงร้องไห้ เสียงทะเลาะโต้เถียงอาจทำให้คุณเป็นประสาทตายหากเป็นเจ้าหน้าที่รับแจ้งความ สายงานหลากหลาย หน้าที่ก็หลากหลาย หากมีตำรวจที่ต้องตระเวนออกตรวจดูความเรียบร้อยด้านนอกนั่น ก็มีตำรวจอย่าง มาร์ค ต้วน ที่ต้องนั่งทำงานอยู่ในสถานที่แคบๆแบบนี้ทั้งวัน...

ห้องสอบสวนเล็กแคบบุผนังเก็บเสียงสีเทาประกอบกับไฟขาวหรี่ลง ทำให้บรรยากาศในห้องดูอึดอัด ผนังด้านหนึ่งมีกระจกทึบบานใหญ่ซึ่งมีอีกห้องซ่อนไว้ให้ดวงตาคู่หนึ่งได้จับจ้อง

“คนในภาพนี้ใช่คุณหรือเปล่า ฟรานซิส”น้ำเสียงทุ้มต่ำภูมิฐานถามอีกบุคคลหนึ่งที่อยู่ในห้อง ดวงตาสวยคอยจับจ้องพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยคดีย่องเบายกเค้าบ้านเศรษฐีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบนเก้าอี้ที่กำลังมองภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดบนโต๊ะเหล็ก

หากมองผ่านๆผู้ต้องสงสัยคนนี้ก็เป็นเพียงคนหนุ่มพื้นฐานดีคนหนึ่งที่ไม่นาจะมีมูลเหตุจูงใจให้ไปยกเค้า แต่หลักฐานที่ได้รับมาจากฝ่ายสืบสวนชี้เป้าไปที่ชายคนนี้และก็แน่นพอจะใช้เอาผิดได้

“ไม่ใช่”

“เหงื่อคุณตกนะ ให้ผมเพิ่มแอร์ให้หรือเปล่า”ตำรวจสอบสวนหนุ่มถามใบหน้าเรียบเฉย ลุกขึ้นจากเก้าอี้ลอบมองท่าทางกระวนกระวายของผู้ต้องสงสัย ทำท่าทีเร่งแอร์ให้แรงขึ้น กลับมานั่งที่เดิมเงียบๆ ปล่อยให้ความเงียบและความหนาวเย็นทำงานของมันไป ชายผู้ต้องสงสัยในห้องปากคอสั่นผิดกับคุณตำรวจที่ใช่เสื้อโค้ทยาวคลุมไว้แต่แรก

“ผมได้ยินว่าคุณมีลูกสาววัยกำลังเรียน เธอคงดื้อมากเลยสินะ”

ทันทีที่เอ่ยเรื่องนี้ฟรานซิสก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาตื่นตระหนก

ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเงียบไปอีกครั้ง ลุกขึ้นและเดินออกมาจากห้องนั้น จมูกโด่งถอนหายใจเหลือบมองชายหนึ่งร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนในห้องมืด

“พี่ชานซองจะให้ผมจับเขาได้รึยัง”ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมคนนั้นหายไปกลายเป็นคนหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเต็มที่ จมูกโด่งพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ติดกระจกมองผู้ต้องหาภายในห้องที่กำลังเริ่มร้องไห้

“นายนี่นะ ใจร้ายชะมัด”ชานซองส่ายหน้ายิ้มๆ สีหน้าพอใจกับการทำงานของคนใต้บังคับบัญชา เดินออกไปหาผู้ต้องสงสัย ปลอบโยนและคงจะถามว่าจะรับสารภาพเลยไหม เพราะมาร์คเห็นฟรานซิสพยักหน้าและถูกตำรวจคนอื่นพาตัวออกไป ก่อนที่ชานซองจะเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

“ครั้งนี้นายทำได้ดีนี่”

“ผมแค่ทำให้มันจบๆ...พี่ก็รู้ว่าผมอยากอยู่สืบสวน”

ชานซองหัวเราะและส่ายหน้า มองดูคนใต้บังคับบัญชาอย่างจะสงสารก็สงสารจะขำก็ขำ จริงๆ มาร์ค ต้วน รุ่นน้องโรงเรียนตำรวจของเขาคนนี้ไม่ได้อยากจะอยู่ฝ่ายตำรวจสอบสวน แต่อยากอยู่ฝ่ายสืบสวนออกบู๊สืบหาตัวคนร้ายเสียมากกว่า แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทำให้เขาทำมาร์คทำนั้นไม่ได้ ปัญหาใหญ่ที่สุดเลยคือหน้าตาของเจ้าตัว โครงหน้าหล่อเหลารับกับเส้นผมสีน้ำตาลดำเซทผมขึ้นเปิดหน้าผาก ดวงตาสวยคมใต้คิ้วเข้มที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องชะงักหลงใหลกันบ้าง จมูกโด่ง ริมฝีปากเรียวได้รูป ทั้งหมดนั่นทำให้มาร์คหล่อเหลาจนแทบไม่คิดว่าคนๆนี้จะมาเป็นตำรวจแทนที่จะทำงานสายบันเทิง

“นายก็เคยไปทำนี่”พูดแค่นั้นก็พอเข้าใจกัน มาร์คถอนหายใจพรั่งพรูเป็นรอบที่ร้อยพอถูกขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้โอกาสออกสืบสวนเรียกได้ว่าพังพินาศเพราะหน้าตาของเขาแบบไม่ต้องหาข้อสงสัย ขณะที่กำลังปลอมตัวซุ่มสืบผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ ก็ดันมีกลุ่มหญิงสาวจำใบหน้าที่คล้ายกับเขาได้และกรี๊ดออกมาดังลั่น กระโจนเข้าใส่จนคนร้ายรู้ตัวและหนีไปโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย จากนั้นก็โดนระเห็จมากอยู่หน่วยสอบสวนตั้งแต่นั้น...

“เอาเป็นว่าถ้ามีงานไหนพอให้นายทำได้ฉันจะเรียกแล้วกัน วันนี้ก็ขอบใจนะสำหรับการทำงาน”

“แค่นั้นก็ขอบคุณมากแล้วครับพี่”มาร์คลุกขึ้นจับมือกับชานซอง เอาจริงๆชานซองก็หล่อเหลาชนิดต้องหันหลังเหลียวมองเช่นกัน แต่ไม่เคยมีปัญหาเพราะชานซองไม่มีตัวก๊อปปี้แบบเขา...

มาร์คสวมหมวกแก๊ปสีดำพิมพ์ลายตราตำรวจ ถือกระเป๋าเดินลงมาจากสำนักงาน ขึ้นรถออดี้สีเทา Q3 SUV อเนกประสงค์แล่นออกไปจากที่ทำงาน ตรงเข้าตัวเมืองไปยังซุปเปอร์มาเกตระหว่างทางกลับที่พัก จอดรถให้สนิท พับเสื้อโค้ทวางไว้บนเบาะด้านข้างทับด้วยกระเป๋าเอกสารที่ไม่มีอำรสลักสำคัญ ของมีค่าอื่นๆก็เอาพักติดตัวไว้ บิดกระจกขึ้นมามองความเรียบร้อย สุดท้ายคือหยิบหมวกและแว่นตาดำขึ้นมาสวม หลังลงจากรถล็อกรถให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาขโมยรถจากการทำงานของเขาได้ แล้วถึงเคลื่อนตัวเองเข้าไปในซูเปอร์มาเกตร้านดัง

ถึงจำพยายามทำตัวให้เด่นน้อยที่สุดก็ยังมีบางคนที่หันมามองเขา แต่ดีว่ายังไม่มีใครพุ่งหลาวเข้ามาหา ชายหนุ่มเดินเข้าไปส่วนของสด เลือกซื้อเนื้อไก่ ผักและผลไม้สองสามอย่างตุนไว้หลายๆวัน ตรวจเช็ควันผลิตและวันหมดอายุทุกครั้งเพราะเขาไม่อยากหงุดหงิดเวลาเปิดตู้เย็นมาพบของเน่าเสีย หยิบใส่จนเกือบเต็มตะกร้า ว่ากำลังจะเดินไปส่วนสุขภัณฑ์ก็ต้องชะงักมองสายตารอบข้างที่เริ่มมองมาทางเขามากขึ้น มาร์คเลยตัดใจเดินไปคิดเงินเพื่อตัดความยุ่งยาก พอได้ถุงก็รีบเดินลิ่วขึ้นรถขับออกไป

...ชีวิตโคตรจะยุ่งยากก็เพราะมันเลย...

ออดี้ Q3 จอดใต้ตึกคอนโดหรูกลางเมืองที่ซื้อไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานใหม่ๆด้วยเงินก้อนต้นทุนชีวิตที่ป๋าต้วนให้ไว้ตั้งแต่อายุ 20 ชายหนุ่มหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดลงจากรถ ยืนเช็ครถอีกรอบแล้วจึงเดินผ่านระบบความปลอดภัยระดับพรีเมียมเข้ามาในส่วนห้องโถง ขึ้นลิฟต์ไปอีก 7 ชั้นก็ถึงห้องของเขา แต่แค่รูดบัตรไขกุญแจตามเข้าไปเจ้าของห้องก็ต้องกรอกตาแรง

“อ๊ะ มาคัสคะ อื้อ แรงอีกค่ะ”

Damn!!!

มาร์คสบถเสียงดังและคนข้างในน่าจะได้ยิน เขาวางกระเป๋าลงบนโซฟา เดินเข้าไปในครัวเอาวัตถุดิบสดใส่ในตู้เย็น พับแขนเสื้อขึ้นขณะปากก็บ่นงึมงำเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง สักพักก็ถอนหายใจปลงๆ เริ่มเตรียมวัตถุดิบทำอาหารเย็นวันนี้ด้วยอารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่านแต่กระนั้นภายนอกก็ยังสงบนิ่ง มีแค่หัวคิ้วที่ติดกันแน่นให้รู้ว่าหงุดหงิด

เวลาผ่านไปจนน้ำซุปในหม้อเดือดพล่าน ประตูห้องนอนสำรองก็เปิดออกพร้อมร่างเปลือยท่อนบนเดินอาดๆออกมาก มาร์คเหลือบตาไปมองและหันมาสนใจซุปในหม้อต่ออย่างไม่คิดจะสนใจ

ร่างสูงโปร่งเปลือยบนโชว์แผ่นอกแข็งและกล้ามเนื้อสวย ใส่กางเกงยีนดำเกาะสะโพกไว้หมิ่นเหม่ สร้อยคอเงินจี้ตัว M แนบกับไหปลาร้าได้รูป ใบหน้าที่ไม่ต่างกับมาร์คเลยแม้แต่กระเบียดเดียวมีสีหน้าเฉยเมย เดินมาเปิดตู้เย็นยกขวดน้ำดื่มอึกๆไม่พูดไม่จา สิ่งที่แตกต่างระหว่างมาร์คกับชายคนนี้ก็มีแค่สีของเส้นผมที่อีกคนย้อมสีบลอนเทาก็เท่านั้น แถมตอนนี้มันยังยุ่งเหยิงเพราะกิจกรรมเข้าจังหวะเมื่อครู่

“อีกแล้วนะ”

“โทษที”

แล้วบทสนทนาของพวกเขาก็จบแค่นั้น...

มาคัส ต้วน หรือแฝดน้องของมาร์ค ต้วน คือตัวการที่ทำให้พี่ชายฝาแฝดมีชีวิตการทำงานที่ยากลำบากอย่างทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขามีใบหน้าที่เหมือนกันจนแยกไม่ออก แม้มาคัสจะยอมย้อมผมเพื่อให้เกิดความแตกต่างแต่ก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ในเมื่อชื่อเสียงมันติดอยู่ที่หน้าตาคน

มาคัสเป็นนายแบบถ่ายแบบโฆษณาทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม นาฬิกายี่ห้อหรู มีชื่อเสียงอยู่ในระดับคนบนท้องถนนก็รู้จักเพราะป้ายโฆษณาทั้งใหญ่และเล็กก็มีรูปมาคัสติดอยู่ทั่วเมือง และก็นั่นแหละ ชื่อเสียงของมาร์คสร้างภาระให้กับมาร์คแบบไม่ต้องสงสัยเลย...

ต้วนคนน้องกำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่เพิ่งออกมา พอดีกับหญิงสาวในห้องนั้นโพล่พรวดออกมาด้วยสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน

“มาคัสคะ ว้าย!!!”หญิงสาวที่น่าจะเป็นหนึ่งในนางแบบที่ร่วมงานกับมาคัสร้องเมื่อเห็นว่าในห้องที่เธอคิดว่าเป็นของนายแบบหนุ่มมีผู้ชายอีกคนที่หน้าเหมือนคนที่เธอกอดแขนอยู่ตอนนี้ชนิดแทบแยกไม่ออก

“คุณกลับไปได้แล้วล่ะ”

“ค...ค่ะ”เธอรีบกระวีกระวาดเข้าไปสวมชุด คงทำตัวไม่ถูกและสับสนไม่กล้าพูดอะไร พอแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินลิ่วหนีออกไปปล่อยให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

มาร์คตักซุปใส่ถ้วยเดินออกมานั่งกินข้าวตรงเคาน์เตอร์ประสานตากับแฝดตัวเองที่ทรุดนั่งเอนตัวบนโซฟา มือเรียวจุดไฟแช็คก่อประกายไปสีส้มบนมวนยาสีขาวปล่อยควันฟุ้งอย่างที่มาร์คไม่เคยชอบ พวกเขานั่งกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งซุปในถ้วยหมด มาร์คเดินไปล้างจานส่วนมาคัสก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนรับรองและหอบเอาผ้าปูที่นอนออกมายัดลงถังซักแบบไม่ต้องให้เจ้าของบอก

นิ้วเรียวกดปุ่ม START เหลือบตามองร่างพี่ชายฝาแฝดที่มายืนอิงถังซักผ้าอยู่ข้างๆ

“แล้วเข้ามาได้ยังไง”มาร์คถามเขาทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะตอบอะไร มาคัสหัวเราะในลำคอยิ้มบางออกแสยะน่าหมั่นไส้ นิ้วเรียวชี้ใบหน้าตัวเอง

“ใช้หน้าตาแบบนี้ไปบอกคนดูแลว่าทำกุญแจหาย”

BADBOY

THANK MYbro

มาคัสยิ้มเมื่อเห็นมาร์คชักสีหน้าหงุดหงิดแว๊บหนึ่ง งานอดิเรกของเขาคือกวนใจแฝดผู้เคร่งเครียดและเจ้าระเบียบ

“เลิกมาห้องฉันได้แล้ว ถ้าอยากนักก็ไปคั่วที่โรงแรมม่านรูดโน่น”

“แบบนั้นพวกปาปารัสซี่ก็เอาไปเขียนข่าวกันสนุกน่ะสิ”

“ตอนนี้มันแตกต่าง?”

“ก็นี่มันห้องนาย”

มาร์คถอนหายใจเสียงดังและเลิกจะโต้เถียง ไม่ใช่ว่าแฝดพี่เขายอมแพ้หรอก ขี้เกียจจะเถียงเสียมากกว่า มาคัสเดินตามมาร์คออกมา เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำมาสวม รวมถึงนาฬิกาและแหวนประดับ ปัดเส้นผมสีบลอนเทาของตัวเองให้เข้ารูป อาชีพนายแบบแบบเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าตาตัวเอง ก็เห็นแก่เจ้าของสินค้าที่ให้เขาไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้

“ซกมก”เสียงของมาร์คลอยมาตามสายลมผ่านหูซ้ายทะลุหูขวามาคัสไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มนายแบบจัดผมเผ้าเสร็จก็เดินเข้าไปชกอกพี่ชายตัวเองเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อหน้าตาย

“ติดหนี้ไว้แล้วกัน”

“เออ จะหาทางถอนทุนคืนให้เกลี้ยงเลย”

มาคัสยิ้มบาง ถึงจะดูห่างเหินแต่ถ้ามาร์คอยากให้ช่วยอะไรเขาก็ช่วยได้ อย่างน้อยก็ไถ่โทษเรื่องที่ตัวเองทำให้มาร์คทำงานยากอย่างทุกวันนี้

“แล้วนี่จะกลับห้อง?”

“ไม่ จะไปดูร้าน”

มาร์คพยักหน้าเข้าใจ เดินกลับไปทำธุระปะปังของตัวเองต่อ ไม่สนใจจะเอ่ยคำลาแฝดน้องที่นั่งใส่รองเท้าอยู่บนพื้น พวกเขาก็เป็นแบบนี้ จะให้มาพูดอะไรกันมากกว่านี้คงได้เลี่ยนกันตายไปข้าง

ร่างสูงโปร่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังทับเสื้อตัวใน สวมแว่นตาและแมสค์ปิดปากอำพรางใบหน้า ออกมาจากคอนโดพี่แฝด ลงลิฟต์ตรงไปยังบิ๊กไบซ์คันใหญ่ข้างรถออดี้สีเทา ใส่หมวกกันน็อคให้เรียบร้อย ขึ้นควบและพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็ว

แว๊บ

พลันหางตาเขาเหลือบเห็นเลนส์กล้องอยู่หลังพุ่มไม้ ทันทีที่เห็นมาคัสก็หักเลี้ยวขึ้นข้างทาง ปาปารัสซี่ที่หลบอยู่ร้องเหวอ มองชายหนุ่มที่ลงมาจากหลังรถคันใหญ่ มือใต้ถุงมือหนังยึดกล้อง DSLR กดเอาเมมการ์ดกล้องออกมา โยนกล้องคืนให้คนบนพื้นและหักครึ่งเมมตัวนั้นอย่างไม่ใยดี

คนกระทำการอุกอาจไม่พูดอะไรแค่เดินขึ้นรถและขับจากไป ใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการจัดการปาปารัสซี่ได้อย่างหมดจด พาบิ๊กไบซ์คันใหญ่แล่นเข้าไปในถนนสายบันเทิงเริงรมย์ ผับและร้านอาหารเต็มสองข้างทาง หากเป็นตอนกลางคืนจะเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวออกมาหาความสุข แต่ ณ เวลานี้ยังเป็นบ่ายคล้อยเย็นอยู่ทำให้คนบนถนนสายนี้มีแค่พนักงานที่กำลังจะเข้างานเท่านั้น

มาคัสเลี้ยวรถเข้าจอดในที่จอดรถของร้านผับกึ่งอาหารแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อคเงยหน้ามองป้ายไฟเขียนชัดเจนว่าร้าน MABOM มันเป็นร้านทีมาคัสลงทุนร่วมกันกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดร้านนี้ขึ้น เขาเองก็ใช้เงินของป๊าต้วนที่ให้ไว้เมื่ออายุ 20 มาลงทุนกับร้านนี้ ประกอบกับเขาก็จบบริหารธุรกิจ ก็อยากเปิดร้านของตัวเองสักร้าน เพราะรู้ดีว่าอาชีพที่ตัวเองทำตอนนี้หาเลี้ยงตัวได้ไม่นานนัก...

ร้าน MABOM เป็นอาคารทรงโมเดิร์นสองชั้น ชั้นแรกเป็นผับพื้นที่ขนาดกว้างขวางไม่แออัดยัดเยียด มีบาร์อยู่สองแห่ง หนึ่งคือใกล้เวทีใหญ่ ส่วนอีกแห่งก็แยกออกมาสำหรับคนอยากปลีกวิเวกแต่ก็ไม่ไกลจากซุ้มดีเจมากนัก บันไดเหล็กขึ้นชั้นสองมีสองแห่ง ด้านหนึ่งต่อกับในตัวอาคารซึ่งเป็นชั้นร้านอาหาร ส่วนบันไดอีกสายต่อกับชั้นลอยเปิดรับบรรยากาศข้างนอก การตกแต่งโดยรวมเป็นสไตล์เรียบหรูเน้นความดิบให้ความรู้สึกเท่และหรูหรา อย่างที่เขาและหุ้นส่วนชอบ (นับเป็นข้อดีที่พวกเขาชอบเหมือนกัน)

มาคัสเดินเข้าประตูหลังร้าน มองภายในร้านที่ยังเงียบเชียบ แต่ไฟเปิดสว่างทุกดวงเพราะกำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบก่อนเปิดร้านจริง เขามองเห็นพวกพนักงานเตรียมการอยู่มุมต่างๆ แต่ที่เตะตาที่สุดคงเป็นร่างสูงโปร่งกลางร้านที่กำลังดุพนักงานคนหนึ่งจนหน้าหงอ

“ฉันบอกแล้วไงว่าจำนวนจานสำหรับฟูลคอร์สมันสำคัญมาก เพราะมันจานสำคัญของโต๊ะอาหาร ไปตามหามาให้ครบ ถ้านายทำหายฉันจะหักเงินเดือนนายแน่ ข้อหาที่ดูแลทรัพย์สินร้านบกพร่อง”

“ครับ เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี่ครับคุณแจบอม”

“อ้อ แล้วก็น้ำสตอร์ก เรียบร้อยใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“อืม ดีมาก ไปได้”

มาคัสลอบเดินเข้าไปด้านหลังคนที่กำลังมุ่งมั่นกับการจัดการงานในร้าน ยิ้มร้ายพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้ว...

“เฮ้!

“เฮ้ย! มาทำไมเงียบๆวะ”

มาคัสยิ้มตอบกลับกวนๆ ตลกปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทตัวเองที่สะดุ้งตัวลอย หันกลับมาชกไหล่เขาโกรธๆ เจ็บอยู่เหมือนกันแต่ก็คุ้มที่จะได้เห็นคนแบบ อิม แจบอมหลุดมาดดุบ้าง

อิม แจบอม หรือบางคนก็เรียกเจบีเป็นผู้ชายรูปร่างดี ขนาดใส่เสื้อเชิ้ตยังรู้ว่าข้างในมีกล้ามและหุ่นบาดใจซ่อนอยู่ภายใน บ่ากว้างและคาริสม่าแบบผู้ชายร้ายๆทำให้แจบอมเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดทั้งชายและหญิง ใบหน้าคมคร้ามที่มีจุดเด่นอยู่ที่กรามเซ็กซี่และไฝสองจุดบนเปลือกตา เส้นผมสีดำสนิทไม่เซทผมดูยุ่งเหยิงเล็กๆแต่ก็ยังดูดี ดวงตาเรียวหรี่คมบาด ใบหน้าที่อยู่นิ่งๆก็ดูน่ากลัวจะบ้า แต่ก็มีบางมุมเหมือนกันที่ผู้ชายคนนี้จะเผยอีกด้านของตัวตนออกมา

แจบอมเป็นผู้ชายชาวเกาหลีที่เดินทางมาเรียนที่นี่ สนิทกับมาคัสเพราะเป็นคนเอเชียเหมือนกัน ด้วยนิสัยรักความเป็นส่วนตัวจ๋าเหมือนกัน ทำให้พวกเขาเข้ากันง่าย เพราะไม่มีใครอยากก้าวล้ำใคร อีกอย่างนิสัยจริงจังและเจ้าระเบียบของแจบอมยังเป็นผลดีกับกิจการพวกเขามากด้วย เพราะมาคัสติดงานถ่ายแบบ ส่วนมากเลยเป็นแจบอมนี่แหละที่คอยดูแลร้านในทุกๆวัน

“เฮ้อ มาก็ดีแล้ว สาวๆถามหานายกันใหญ่เลย”แจบอมบอกอย่างรู้ทันนิสัยเพลย์บอยของเพื่อนสนิท เห็นเงียบๆหน้าหล่อนิ่งๆแบบนี้ อย่าให้เผลอเป็นโดนกวาดเรียบทุกรายไป

“กินมาแล้ว อิ่มแล้ว”

“เหอะ! ไอ้เพลยบอยเอ๋ย นี่อยากรู้จริงๆว่าถ้าเจอคนที่ชอบจริงๆขึ้นมา ถ้าเขารู้นิสัยมึงเขาจะรับมึงเป็นแฟนป่ะวะ ลดๆลงหน่อยเถอะ”แจบอมเตือนเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ในมุมมองของเขา การที่มาคัสทำตัวคั่วไม่เลือกหน้าตอนนี้มันจะไปแย่ตอนอนาคตข้างหน้า ก็พยายามเพียรเตือนมาตลอด แต่ก็ไม่เคยเตือนได้หรอกนะ อีกอย่างแจบอมก็ใช่เล่น แต่ก็เลือกมากกว่ามาคัสก็แล้วกัน

“ตอนนั้นค่อยคิดแล้วกัน ฉันไปดูห้องการเงินก่อนนะ”

“เออๆ ดีเหมือนกัน ช่วยกันทำงานบ้าง หายไปถ่ายแบบเป็นสัปดาห์เลยนะมึง”

“ช่วยไม่ได้”มาคัสเอียงคอยิ้มกวนประสาทและเดินออกไป ทำเอาเท้าแจบอมคันยิกๆขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าทนคบกับไอ้รูปหล่อปูนปั้นกวนอารมณ์แบบนี้มาได้ยังไงตั้งนาน เห็นแผ่นหลังนั้นเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของพวกเขาก็ถอนหายใจเฮือก ตั้งใจจะไปเตรียมงานส่วนอื่นต่อ

งานในแต่วันของเขาก็เยอะใช่เล่น เพื่อระดับมาตรฐานที่ดีสม่ำเสมอจำเป็นต้องตรวจสอบทุกอย่างว่าอยู่ในความเรียบร้อยและครบครัน นอกจากนั้นยังต้องประชุมพนักงานทุกสัปดาห์เพื่อหาถามปัญหาและแนวทางแก้ไข รวมถึงการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และการทำงานที่เป็นมืออาชีพนี้ทำให้ร้านของพวกเขาได้รับความไว้วางใจมากมาย นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้แจบอมรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อยเลย

ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้แจบอมหงุดหงิดอยู่ได้เรื่อยๆ...

“คุณแจบอมคะ”

“มีอะไร?”

“ดูเหมือนว่าเหล้าจินในคลังใกล้จะหมดน่ะค่ะ คุณจูเนียร์ฝากมาบอก”

แค่ได้ยินชื่อก็ทำเอาเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ แจบอมพยายามระงับความหงุดหงิดไม่ให้แล่นขึ้นใบหน้า ส่งยิ้ม เอ่ยขอบคุณและเดินไปยังทางคลังเก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอลโดยเฉพาะ เพื่อเช็คว่ามีจำนวนขาดเหลือตามที่ใครคนนั้นอ้างถึงหรือไม่

ห้องเก็บเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เป็นห้องแช่เย็น ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะสำหรับการเก็บรักษาคุณภาพเหล้าชั้นดี ภายในนั้นมีตะแกรงวางเก็บขวดเหล้าและไวน์หลากหลายชนิด ไฟเพียงดวงเดียวในห้องทำให้ค่อนข้างยากในการตรวจดูของ เขาเลยใช้ไฟฉายส่องดูจนเห็นลังเหล้าจินอยู่ไม่ไกล เรียวขาแข็งแรงเดินเข้าไปใกล้ เปิดฝาออกก็พบว่ามีขวดจินเหลืออยู่เพียงแค่ห้าขวด ก็ถือว่าน้อยอยู่เหมือนกัน

“อืม...งั้นคงต้องสั่งมาใหม่สินะ”

“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับคุณเจ้าของร้าน”

เฮือก!!

แจบอมสะดุ้งเป็นครั้งที่สองของวัน รีบพลิกตัวกลับไปหาผู้มาใหม่ เผลอก้าวถอยหลังไปชิดกำแพงห้องเย็นเยียบไปทั้งแผ่นหลัง สองมือยกขึ้นดันอกคนมาใหม่ตามสัญชาติญาณ แต่สมองยังเอ๋อๆกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น กลิ่นน้ำหอมดอกไม้ละมุนละไมคล้ายรูปลักษณ์ของคนตรงหน้าเรียกสติเขาให้กลับคืนมา ทำหน้าดุใส่ผู้ที่บังอาจจู่โจมเขาในยามเผลอ

“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้ จินยอง”

“ถ้าผมไม่ถอย เจ้าของร้านจะทำยังไงกับผมเหรอครับ”คนตรงหน้ายังยิ้มยียวนตอบโต้อย่างถือดี

ปาร์ค จินยอง บาร์เทนเดอร์มือดีของร้านและของรัฐ ผู้สร้างชื่อเสียงของตัวเองด้วยการลงแข่งขันจนได้รับรางวัลการันตีฝีมือมาหลายรายการ ด้วยบุคลิกอบอุ่นและดูน่ารักน่าเข้าใกล้เหมือนพี่ชายแสนดีทำให้ชายหนุ่มเป็นที่นิยมของหญิงทุกวัย ใบหน้ากลมและคางเรียวยาวรับกับเส้นผมสีดำตัดกับผิวขาวสว่างอย่างคนเอเชีย ดวงตากลมรีกล้ายแมวยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ตอนอีกคนยิ้มแล้วมีรอยเล็กตรงหางตาและข้างแก้ม ริมฝีปากที่มักจะแย้มยิ้มนั่นอาจทำให้ใครหลายคนหลงใหล แต่ไม่ใช่อิมแจมบอมคนนี้แน่ๆ

เพราะเขารู้ธาตุแท้ของคนๆนี้น่ะสิ!

“ฉันไล่นายออกได้นะจินยอง”

“ผมรู้ว่าคุณไม่ไล่ผมออกหรอก”

จินยองยื่นใบหน้าเรียวเข้ามาใกล้มากขึ้น จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกัน แจบอมขนลุกพรึบพรับ ไม่ทนกับความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน รีบผลักและยันอีกคนออกเต็มแรงจนร่างอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล แต่ถึงอย่างนั้นบาร์เทนเดอร์มือได้ก็ได้หามีท่าทีตกใจหรือโกรธเคืองอะไรไม่ ยิ้มและหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนเขารู้สึกกลัว

...มาโซรึไงวะ ไอ้หมอนี่...

“กลัวขนาดนั้นเลยรึไงคุณเจบี”

“ฉันไม่ได้กลัว แค่ขยะแขยง”แจบอมเอ่ยตามจริง มือหยาบลูบแขนตัวเองที่ยังขนลุกชัน ชักไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่หรือเพราะอากาศหนาวเย็นในห้องนี้กันแน่

“ถ้านายกล้าเสียมรรยาทกับฉันแบบเมื่อกี้อีก ฉันไล่นายออกแน่จินยอง ถึงจะเป็นคนที่มาคัสหามาฉันก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ”ชายหนุ่มเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง ใบหน้าดุดันอย่างที่พนักงานคนอื่นแสนจะหวาดกลัว

“คร๊าบๆ เข้าใจแล้วคร๊าบบบ”

...แต่ไม่ใช่กับจินยองหรอก...

แจบอมถอนหายใจดังเฮือกใหญ่กับความกวนประสารทของอีกคน เดินดุ่มๆออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิดแต่ดูน่าเอ็นดูในสายตาคนมอง

เขาไม่รู้หรอกว่าเขาถูกใจอะไรเจบี ครั้งแรกที่เจอกันยังคิดอยู่เลยว่าผู้ชายคนนี้หล่อเหลาเอาการ แต่พอนานไปกลับทำให้เขาเกิดอยากได้คนๆนั้นมาอยู่ใต้ร่าง อยากเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตา อยากเห็นด้านอ่อนแอของอีกคน อยากเอาชนะความดื้อรั้นและทระนงตัวนั้น

...จินยองอยากได้แจบอม...

ตั้งแต่นั้นก็ตั้งหน้าจีบแจบอมมาตลอด น่าเสียดายที่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะมองตัวตนเขาจนขาด ก็เลยทำให้การเข้าหาเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่รุกแบบไม่รู้ตัวก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการเข้าใกล้โดนไม่โดนถีบออกมาก่อน

จินยองก็แค่เป็นคนธรรมดาที่อยากฝึกสิงโตให้เป็นแมวน้อยเชื่องๆ

ก็แค่นั้นเอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*