[TTM] 02
TWINS & TWINS
MATCH
_______2_______
แสงพระอาทิตย์อ่อนๆลอดเข้ามาใต้ผ้าม่านผืนบางเหนือหัวเตียงของสองแฝดแห่งตระกูลหวัง
เตียงขนาดใหญ่รองรับร่างเล็กสองร่างที่แข่งกันรัดตัวเป็นก้อนกลมๆอยู่บนที่นอน
หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาก่อน พยายามกระเสือกกระสนตัวเองออกจากผ้าห่ม
ขยี้เส้นผมสีทองย้อมใหม่อ่อนนุ่มของตัวเองไปมา หน้าตามึนงงมองไปรอบๆ
ลูบหน้าคืนสติว่าตอนนี้เขาอยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่ในโรงแรมต่างประเทศแล้ว
หาวหวอดๆลงจากเตียง เกาท้องแกรกๆเข้าห้องน้ำไป
มือเล็กของแฝดน้องตบไปพื้นที่ข้างตัวก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นมามองรอบๆ
ปากแดงหาวปากกว้าง ขยับตัวดุกดิกใต้ผ้าห่มห่อตัวเองแน่นเข้าและนอนต่อ
แต่เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งห้อง
จนเจ้าตัวกลมที่คิดจะกบฏนอนต่อต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาปิดมันอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าคนข้างบ้านจะหาอะไรมาโยนใส่หน้าต่างข้อหาสร้างความรำคาญตั้งแต่เช้า
นั่งจ้องหน้าจอรับแสงสีฟ้าเรียกสติอยู่ชั่วอึดใจใหญ่ๆ ถึงได้รู้ว่าควรลุกไปอาบน้ำ
หาข้าวเช้าให้ทั้งตัวเองและเจสันกินได้แล้ว
แต่พอมองประตูห้องน้ำปิดสนิทก็รู้ว่าตัวเองตื่นช้าไป
จำใจเดินลงจากบ้านไปล้างหน้าในซิงก์ห้องครัว ก่อนลงมือทำอาหารเช้าในชุดนอนผ้าฝ้ายสีดำสกรีนลายนามสกุลตัวเองด้วยความกระฉับกระเฉง
แจ็คสันจัดจานเสร็จพอดีกับที่เจสันเดินลงมาจากบ้านด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีดำเข้ารูปและกางเกงสีสุภาพ
ดูแปลกกว่าลุคปกจิที่จะใส่แค่เสื้อกล้ามและกางเกงสามส่วนย้วยๆดูซกมกหน่อยๆ
“วันนี้จะไปไหนอ่ะเจ”
“ไปดูแกลลอรี่ที่เช่าไว้อ่ะแจ็ค เขาบอกว่าเสร็จแล้วเลยจะเข้าไปดูหน่อย
ดีนะที่เปิดก่อนวันเปิดตัว ไม่งั้นแย่แน่เลย”
“นั่นสิ แต่ก่อนออกไปกินข้าวก่อนนะ”
“ทำอะไรกินอ่ะ”เจสันเดินเข้ามาด้านหลังแฝดน้องมือหนุบหนับอยู่แถวเอวอวบกระชับตัวเข้าไปใกล้
วางคางบนไหล่ใต้เสื้อนอนสีทึม แจ็คสันเอี้ยวคอมามองใบหน้าเช่นเดียวกับตนเอง
แล้วกันไปสนใจของในกระทะต่อ พวกเขานัวเนียกันแบบนี้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
เลยไม่รู้สึกแปลกอะไร
จมูกรั้นสูดจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่นคุ้นเคยแปลกๆจากคนด้านหลัง
คิ้วเรียวขมวดแน่นไม่พอใจ ปากอิ่มก็ยู่ขึ้นด้วยตามนิสัย
“น้ำหอมแจ็คนะ!”
“ขอยืมหน่อยน่า ก็เมื่อวานตัวแจ็คหอม
เจก็อยากหอมแบบแจ็คบ้างนี่นา”เจสันบอก ไม่พอยังใช้จมูกซุกๆคอคนเป็นน้อง
“แต่จริงๆกลิ่นตัวแจ็คก็หอมอยู่แล้วนะ”
“เป็นหมารึไงวะ ชอบดมกลิ่นตัวคนอื่น
น้ำหอมของเจที่เป็นตู้นั่นเอาไว้สะสมรึยังไงเล่า”ท้วงทั้งไม่พอใจ แต่มือก็ยังพลิกๆไข่ดาวในกระทะไปเรื่อย
“ก็อยากหอมแบบแจ็คนี่”เจสันยังงอแงเหมือนเด็กๆ
แจ็คสันเลยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมแพ้นิสัยแปลกๆแบบนี้ของแฝดพี่
“เออ เอาเถอะ เจเลิกกอดแจ็คแล้วไปเอาจานมาให้หน่อยดิ”
“โอเค”ตอบรับเสียงใส ฉีกยิ้มกว้างเดินไปหยิบจานสองใบส่งให้แจ็คสันวางอาหารเช้าของพวกเขาบนนั้น
เจสันอาสาเป็นคนเอาจานไปวางบนโต๊ะ โดยมีแจ็คสันเดินหอบน้ำเปล่าสองขวดตามมา
โยนขวดหนึ่งให้เจสันรับไว้
“แต๊งกิ้ว~”
แล้วทั้งสองก็นั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน พูดคุยงุ๊งงิ๊งๆกันไปเรื่อย
จนย้ายมวลสารทั้งหมดลงกระเพาะก็ถึงคราวที่ทั้งสองต้องไปทำธุระของตัวเอง
แจ็คสันอาสาเป็นคนเก็บจานเอง เพราะถ้าช้ากว่านี้เจสันอาจไปนัดสายได้
แฝดพี่จุ๊บแก้มนุ่มของแฝดน้องขอบคุณ มือขาวพาดกระเป๋าสะพายข้าง
ยิ้มร่าก่อนจะวิ่งออกไปจากบ้าน เดินจูงจักรยานคันเก่งออกจากซอกอาคาร
กระโดดควบปั่นออกไปทางเส้นจักรยาน
อากาศวันนี้อบอุ่น แต่จริงๆ LA ก็อบอุ่นเกือบร้อนแทบทุกวันอยู่แล้ว
เหงื่อหยดเล็กผุดพรายตามลำคอขาวซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีดำ
เจสันหันไปยิ้มให้คนขายหนังสือพิมพ์ที่เขารู้จักตรงปากซอย
แวะจอดสั่งเอสเพรสโซ่ร้อนหนึ่งแก้วยืนมองรถสวนแล่นกันไปมาบนถนน
แม้จะไม่วุ่นวายแต่ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง
ดวงตากลมหันไปมองเกาะกลางถนนมีต้นปาล์มเรียงรายคล้ายเป็นสัญลักษณ์ของรัฐ
กวาดตามองไปรอบๆอีกทีก็เห็นนักท่องเที่ยวทั้งที่เป็นคนอเมริกันเองหรือจะเป็นคนเอเชียเดินสวนกันไปมา
LA เป็นเมืองเที่ยว
เลยไม่แปลกที่จะเห็นผู้คนหลากหลายชนชาติแบบนี้ ซึ่งเจสันก็ชอบที่จะมองภาพเหล่านั้น
เขามองเห็นความแตกต่างของผู้คนเหมือนศิลปะ แม้จะมีสีผิว
ผมและรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันแต่ก็ยังเป็นมนุษย์
เขาเลือกเป็นช่างถ่ายภาพก็เพราะชอบที่จะเห็นความงดงามของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นคนหล่อสวย คนเดินดินธรรมดาหรือคนที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก
เขาก็อยากจะถ่ายภาพในมุมมองที่จะทำให้คนทั่วไปได้เห็นความงดงามของคนๆนั้นให้มากที่สุด
เปรียบกับดาวเคราะห์น้อยที่ถ้ามีคนให้แสงก็สามารถจะเจิดจรัสได้ในความมืดมิดของจักรวาล
แต่ตอนนี้ฝีมือเขายังไม่ถึงขั้นนั้น ยังคงถ่ายคนได้แบบทื่อๆกลางๆ
คงต้องฝึกฝนไปอีกเรื่อยๆ
เจสันทิ้งแก้วกาแฟลงถัง ควบจักรยานปั่นไปตามทางต่อ
อันที่จริงก็สามารถขึ้นรถไฟใต้ดินได้หรอกนะ แต่ปั่นจักรยานออกกำลังกาย รับลม
มองภาพผู้คนมันก็ดีกับคนแบบเขาเยอะ
ในที่สุดก็มาถึงตึกสองคูหาสามชั้นที่เจสันติดต่อขอเช่าเป็นแกลลอรี่ส่วนตัวไว้
ห่างจากบ้านแค่สามช่วงตึก
พื้นที่แสดงผลงานไม่เยอะไม่น้อยเกินไปเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่อยากผยองตัวแต่ก็อยากโปรโมทตัวเองแบบเขา
และแหล่งทำเลก็ดีสำหรับคนที่มาชมด้วยเพราะอยู่ไม่ไกลจากหอศิลป์มากนัก
ถือว่าเป็นการโฆษณาแบบไม่ต้องลงทุนใดๆ
มองกระจกหน้าตึกแสดงภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่เขาภูมิใจมากที่สุด
มันเป็นภาพมาสเตอร์พีชสำหรับการเดินทางไปฝังตัวถ่ายรูปเกาะฮ่องกงบ้านเกิดมาเกือบสามเดือนเต็ม
ภาพถ่ายพาโรรามาสีขาวดำของท่าเรือฮ่องกงปรากฏชัดอยู่บนแผ่นผนังสีขาวขับให้ภาพนั้นดูเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ใต้ภาพใหญ่ก็ยังมีภาพเล็กต่างขนาดติดสับหว่างกันได้อย่างลงตัว
เจสันมองมันด้วยความภูมิใจ ก้าวเดินเข้าไปในตัวอาคารเพื่อเข้าไปพบเจ้าของสถานที่จัดเช่า
คุณชาลี
ล็อสโฮเวนเป็นคนเชื้อชาติอเมริกัน-ออสเตรียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ตั้งแต่สิบปีก่อน
เขาเป็นชายอายุห้าสิบที่ดูแก่กว่าวัยไปนิดหน่อยแต่ก็ยังแต่งกายดูดีสมเป็นเชื้อสายผู้ดี
เส้นผมสีดอกเลาหวีเรียบแปล้และใบหน้าเหี่ยวย่นประดับรอยยิ้มใจดีอยู่เสมอแทบจะเป็นเป็นภาพจำของชายร่างเล็กคนนี้
“สวัสดีครับคุณชาลี”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหวัง ผมนึกว่าคุณจะมาช้ากว่านี้เสียอีก
ทานข้างเช้ามาแล้วหรือยังครับ”
“ทานมาแล้วครับ ไม่ทราบว่าที่ผมขอร้องไว้เมื่อคราวนั้น...”
“เรียบร้อยแล้วครับ ผนังเปล่าสินะครับ
จริงๆผมก็อยากจะแปลกใจอยู่หรอกนะครับ
ถ้าผมไม่ได้เห็นความคิดแปลกๆจากศิลปินอย่างพวกคุณเป็นปกติล่ะก็”ชายร่างเล็กหัวเราะเบาๆ
ผายมือไปทางกำแพงสีขาวโล่งตรงใจกลางห้องชั้นหนึ่ง มีแสงไฟสาดส่องเกิดเป็นเงาแปลกๆอย่างที่คนอื่นต้องไม่เข้าใจ
“ดีมากเลยครับ ขอบคุณนะครับ แค่นี้ความฝันของผมก็เป็นจริงแล้วล่ะ”
“คุณฝีมือดีนะครับคุณเจสัน ภาพของคุณมีพลังและสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีทีเดียว
ถ้าคุณมุ่งมั่นในเส้นทางนี้ต่อไป ผมต้องได้เห็นคุณในลิสรายชื่อช่างถ่ายรูปที่ดีที่สุดในโลกสักวันแน่ๆ”
“คุณชมซะผมเขินเลย”เจสันหัวเราะไม่ได้ดูเขินอายอย่างที่พูดแต่ก็ไม่ได้ดูทระนงตนจนน่าหมั่นไส้
เป็นความลงตัวระหว่างความนบนอบและความมั่นใจในตัวเองได้อย่างพอดิบพอดี
แตกต่างกับภาพของชายหนุ่มที่มักจะใช้โทนสีขาวดำให้ตัดกันอย่างชัดเจน
อย่างภาพด้านหน้าแกลลอรี่ที่เป็นภาพพาโนรามาขาวดำซึ่งปกติจะแทบมองไม่เห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของภาพ
แต่เจสันกลับถ่ายภาพออกมาได้อย่างคมชัด ทีละส่วนๆ
เข้ามาประติดประต่อรวมกันเป็นภาพใหญ่ได้อย่างสวยงาม
บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงใช้เวลาไม่น้อยเลยในการจะได้ภาพหนึ่งภาพออกมา
...คนที่มีความพยายามและความอดทน ไม่ว่าอาชีพไหนก็ไปได้ไกล...
“แต่ผมชอบภาพนั้นจริงๆนะครับ ช่วยบอกได้ไหมว่าคุณถ่ายมันได้ยังไง”
“เอาสิครับ ผมก็อยากไปดูใกล้ๆพอดี”
ทั้งสองเดินออกไปในส่วนจัดแสดงด้านหน้าซึ่งหันหน้าเข้ากระจกใสติดถนน
แสงที่เข้ามาในตอนกลางวัยทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน
และถึงจะเป็นกลางคืนก็สามารถเปิดไฟส่องแสงให้เห็นภาพทั้งหมดได้อยู่ดี
ภาพพาโนราม่าขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบทั้งผนังสีขาว มีชื่อภาพด้านใต้ว่า Harbor แปลว่าท่าเรือ ตรงตัวกับสถานที่ในภาพถ่าย
เจสันกำลังพูดถึงขั้นตอนการถ่ายอย่างไม่ปิดบัง
แต่ในขณะนั้นเองรถตู้ปิดกระจกดำรอบคันก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดนิ่งอยู่หน้าร้าน
บดบังแสงที่สาดเข้ามา เจสันเอะใจหันไปมองก่อนที่ดวงตาโตจะเบิกกว้าง
ร้องลั่นโถมตัวผลักร่างของชายร่างเล็กไปหลบด้านหลังผนัง ในขณะที่ตนเองฟุบลงกับพื้น
สองมืออุดหูที่กำลังสั่นสะเทือนด้วยเสียงลูกกระสุนปล่อยจากรังเพลิงรัวใส่
ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!
กระจกหน้าร้านแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
เจสันที่ยังพอมีสติหลับตาและคุดคู้ตัวให้เล็กที่สุดเพื่อลดพื้นที่บาดเจ็บ
หัวใจในอกสั่นระรัวเร็ว กลัวจนตัวระริก หูอื้อ ตาบอด สมองแฮงก์ไปชั่วครู่เพราะแรงสั่นสะเทือนจากเสียงรุนแรงในระยะใกล้
ไม่นับเศษกระจกและฝุ่นที่ร่วงกราวลงบนร่างเขา
“เฮ้ย! หยุดนะ!!!”
ปัง!
ตำรวจสอบสวนคนเก่งประจำสถานีตำรวจแอลเอเดินมาตามทางเท้าเพื่อจะกลับไปสถานทีทางรถไฟฟ้าใต้ดินหลังจากเขาต้องมาทำธุระที่เขตนี้ตามลำพัง
มาร์คในชุดเสื้อเชิ้ตสวมเสื้อคลุมยาวด้านนอกป้องกันแสงแดดและฝุ่นละอองซึ่งเป็นปัญหาประจำรัฐเดินอาดๆไม่รีบร้อนนักเพราะตอนนี้ยังเช้าและงานของเขาในสถานีก็จะเริ่มขึ้นจริงๆก็เมื่อมีคนร้ายให้สอบเท่านั้น
ดวงตาสวยกวาดมองไปรอบๆก่อนจะหยุดอยู่ที่รถตู้น่าสงสัยคนหนึ่งที่ขี่ผ่านเขาไปจอดตรงหน้าตึกแกลลอรี่ที่เขาจำได้ลางๆว่าไว้สำหรับให้พวกศิลปินหน้าใหม่เช่าเพื่อแสดงผลงานของตนเอง
สัญชาติญาณกำลังทำงาน
อะไรบางอย่างบอกเขาว่าเขากำลังจะได้เห็นภาพการเกิดคดีในระยะประชิด
แต่ก็ไม่อยากวู่วามพุ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า มือเรียวล้วงเข้าไปใต้เสื้อโค้ทแตะกระบอกปืนประจำตัวใต้เข็มขัดให้อุ่นใจว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เรียกใช้ในทันที
แสร้งยกโทรศัพท์มาแนบใบหูกดเครื่องมือสื่อสารบนปกเสื้อ
“M1 เรียก C2 พบรถน่าสงสัยหน้าแกลลอรี่เชอร์แปงบนถนน
5905 Wilshire Blvd ตอนนี้กำลังซุ่มดู”
/C2 ถึง M1 อย่าวู่วาม รอดูสถานการณ์.../
ปัง!
ไม่ทันที่ชานซองจะพูดจบประโยค ลูกปืนลูกแรกก็ถูกส่งเข้าในร้านและตามมาถึง
7 นัด มาร์คลืมการฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา
กระชากปืนขึ้นมาเล็งไปที่รถคนนั้นอย่างไม่กลัวเกรง
ยิงขู่ไปครั้งหนึ่งและร้องตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ย! หยุดนะ!!!”
พวกมันหยุดยิงและรีบขับรถหนีไป มาร์คพยายามยิงล้อรถแต่พวกมันก็ยังหนีไปได้
ชายหนุ่มสบถเสียงดัง รีบวิ่งไปถึงที่เกิดเหตุ กดติดต่อแจ้งให้ชานซองเรียกรถพยาบาลและตำรวจมาที่นี่ด่วน
ส่วนตัวเขาจะเข้าไปดูสภาพข้างในก่อนว่ามีคนบาดเจ็บหรือไม่
เพียงแค่ส่องหน้าไปดูมารคก็เห็นร่างหนึ่งกำลังคุดคู้อยู่บนพื้น
เนื้อตัวขาวโพลนไปด้วยเศษฝุ่นและเศษกระจก
“คุณ คุณเป็นอะไรไหม!?”
“แค่ก ผมไม่เป็นไร แค่ก
คุณชาลี...คุณไปดูคนข้างในให้หน่อยว่าเขาเป็นอะไรไหม”ชายคนนั้นลุกขึ้นมาได้และแน่ใจว่าคงไม่เป็นอะไรมาก
ทั้งที่อยู่ใกล้กับจุดอันตรายที่สุดแล้ว
“ได้...คุณอยู่นิ่งๆก่อนนะ ผมจะไปดูคนด้านใน”ชายหนุ่มกระโดดผ่านกำแพงแตกๆวิ่งเข้าไปด้านในก็พบกับร่างของชายร่างเล็กนอนหมอบสั่นดูเสียขวัญอยู่หลังกำแพงนั่นเอง
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ผมจะพาคุณไปที่ปลอดภัยนะ”มาร์คกล่าว พยุงชาลีขึ้น
ได้ยินเสียงหวอรถพยาบาลมาแต่ไกลๆ เขาเดินพาชายร่างเล็กส่งให้มือพยาบาล
และรีบย้อนกลับไปดูชายหนุ่มคนแรกอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่บาดเจ็บจริงๆ
แล้วก็ต้องเจอภาพที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดมองอยู่ชั่วขณะ
“อ่า...งานของผม...พังหมดเลย”น้ำเสียงแหบสูงดูแปลกกว่าที่เคยได้ยินจากที่ไหนเอ่ยลอยๆ
ไม่แน่ใจว่าพูดกับเขาหรือพูดกับตัวเอง
ร่างที่เต็มไปด้วยฝุ่นนั่งพิงกำแพงเตี้ยๆเงยหน้ามองดูภาพถ่ายสีขาวดำที่โดนยิงจนพรุน
กระดาษสีขาวปลิ้นออกมาไม่เหลือเค้าเดิมบนผนัง ท่าทางที่ดูไร้เรี่ยวแรง
ไหล่ทั้งสองข้างตกลู่ลงดูหมดอาลัยตายอยากทั้งที่ยังไม่เห็นสายตาและสีหน้าทำให้มาร์ครู้สึกว่าคนๆนี้ช่างมีร่างกายเป็นอารมณ์จนน่าแปลกใจ
“ครับ ผมเสียใจด้วย แต่คุณออกจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“เอาสิครับ...”ชายคนนั้นพยายามพยุงตัวขึ้น
มาร์คเดินหลบเศษกระจกเข้าไปพยายามจะช่วยเหลือเบื้องต้น
จับมือหยาบเล็กน้อยนั่นดึงขึ้น ฟังเสียงคนนั้นพูดงึมงำในลำคอ
“คุณพยุงผมด้วยนะ ฮะๆ ผมว่า...ขาผมไม่ไหวแล้วล่ะ”
ทันทีที่พูดแบบนั้นร่างนั้นก็ทรุดฮวบลง
มาร์ครีบรวบร่างนั้นไว้ไม่ให้หล่นกระแทกพื้นที่มีแต่เศษกระจกแหลมคมเต็มไปหมดได้ทันอย่างเฉียดฉิว
มองกลุ่มผมสีทองซีดบนหน้าอกเขย่าเบาๆเพราะคิดว่าอีกฝ่ายสลบไปแล้ว
“คุณ! คุณ!”
“ไม่เป็นไร... ผมแค่ขาอ่อน สงสัยกลัวไปหน่อย”
มาร์คถอนหายใจดึงชายคนนั้นออกมาจากพื้นที่เสี่ยงการทรุดพัง
ส่งให้บุรุษพยาบาลพาผู้เสียหายไปนั่งพัก
ส่วนตัวเองก็ลงพื้นที่ไปเก็บภาพการเสียหายเบื้องต้นและห้ามไม่ให้ใครเขามาในพื้นที่จนกว่าตำรวจจะเข้าตรวจที่เกิดเหตุ
สามสิบนาทีให้หลังตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุและรีบเข้าไปตรวจความเสียหายและเก็บหลักฐาน
มาร์คมองนาฬิกา หันไปมองดูเจ้าทุกข์ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งโดยมีพยาบาลคอยทำแผลและดูแลอยู่ไม่ไกล
เงยหน้ามองดูสภาพความเสียหายอย่างคร่าวๆแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
มีเหตุผลอะไรทำไมถึงต้องยิงซะพรุนขนาดนั้นกัน
ชั้นหนึ่งของอาคารสภาพแทบดูไม่ได้ กระจกด้านหน้าแตกละเอียด
ภาพโชว์หน้าร้านก็พรุนไม่เหลือเค้าโครงความสวยงาม ผนังปูนแตกเป็นรอยร้าวเพราะกระสุนเจาะเข้าไปลึก
ดูก็รู้ว่าคงไม่ใช่ปืนพกธรรมดาแน่ๆ
“ได้อะไรบ้างไหม?”
“แปลกครับ”
“หืม?”มาร์คนั่งมองข้างเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐาน มองกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
ความรู้จากโรงเรียนตำรวจถูกนำมาใช้และก็เข้าใจคำว่าแปลกของเจ้าหน้าที่คนนั้นทันที
“เรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดา”
ชาลีและแจ็คสันเดินทางไปลงบันทึกประจำวันพร้อมมาร์ค ในขณะที่ทั้งสองคนนั้นกำลังเล่าเหตุการณ์อยู่นั้น
ชายหนุ่มก็อยู่เฉียงออกไปเล็กน้อยในห้องเอกสาร
เข้าไปคุยกับชานซองพูดถึงเรื่องแปลกๆที่เจอในที่เกิดเหตุ
“ปืนสงคราม?...ยิงใส่แกลลอรี่?”ชานซองถามด้วยน้ำเสียงฉงน
ใบหน้าฉายแววสงสัย
“ใช่ครับ”มาร์คพยักหน้า ส่งรูปในโทรศัพท์ให้ชานซองได้ดู
มือใหญ่รับมือไปเปิด คิ้วเข้มขมวดคิ้วแน่น
“อาวุธสงครามของโซเวียดมาอยู่ในแอลเอได้ยังไง?
กลางวัน คนเยอะ พวกบ้านั่นห่ามผิดปกตินะ”มาร์คพยักหน้าตาม สมกับเป็นรุ่นพี่ชานซอง
มองแค่แว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าชนิดปืนแล้ว
“ผมก็ว่าผิดปกติ
ผมไม่รู้ว่าเป็นตัวชาลีหรือเจสันที่ถูกพวกนั้นหมายหัว แต่ไม่น่าจะเป็นทั้งคู่
เพราะทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันเลยยกเว้นว่าเจสันเป็นคนเช่าแกลอรี่ของชาลีเท่านั้น”มาร์ครายงานสิ่งที่รู้มาให้ผู้บังคับบัญชาฟัง
“นายลองไปสอบสองคนนั้นดูนะ
เก็บข้อมูล แล้วเดี๋ยวฉันจะหาข้อมูลของปืนหน่อย ฉันสงสัยว่าพวกเราจะเจอคดีใหญ่” ชานซองสั่งคำสั่ง
ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก
“คุณสงสัยอะไรอยู่เหรอครับ”
“ขอให้ฉันแน่ใจก่อนนะ”
นั่นเป็นคำสุดท้าย
จากนั้นชานซองก็แทบจะจมความสนใจทั้งหมดอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
มาร์คเดินออกมาเพราะรู้ว่าชานซองต้องการสมาธิ เหลียวมองก็เห็นเจสันกำลังดื่มเอสเพรสโซ่อยู่ข้างตู้ขายน้ำ
ดวงตากลมเงยมามองเขาและยิ้มบางๆมาให้
ตามเนื้อตามตัวมีรอบกระจกบาดบางๆให้เห็นทั่วไป
มีผ้าก็อตพันต้นแขนซ้ายและข้อเท้าด้านขวา น่าจะแพลงและเดินยากน่าดู
“คุณ...”
“ผมจำคุณได้
ตอนนั้นขอบคุณจริงๆนะครับที่เข้ามาช่วย ผมชื่อเจสันหวัง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”เจสันยิ้มและยื่นมามาให้เขาอย่างเป็นมิตร
มาร์คจับมือหยาบเล็กน้อยนั่นรับไมตรี อ้อมไปนั่งข้างๆ
“สวัสดีครับ ผม มาร์คต้วน เป็นตำรวจสอบสวน...จะเป็นการเสียมรรยาทรึเปล่าถ้าผมขอถามคุณหน่อย”
“ได้สิครับ”เจสันยิ้มกว้างดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องที่ตัวเองเกือบโดนยิงจนพรุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
“ก่อนหน้านี้คุณได้มีปัญหาอะไรกับใครรึเปล่าครับ”
“ไม่ครับ ผมเป็นนักถ่ายภาพอิสระ ถ่ายภาพให้นางแบบ
นายแบบบ้างแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ไปทำงาน ได้รับเงิน จบเป็นงานๆ
หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อเป็นการส่วนตัวอะไร
ผมมีงานอดิเรกคือการถ่ายภาพตามประเทศต่างๆ ไทย อังกฤษ ประมาณนั้น
แต่คิดว่าคงไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ผมแค่ไปถ่ายรูป เที่ยวเล่นแบบปกติเท่านั้นเอง”
มาร์คจดตามที่อีกคนพูดเงียบๆ ในใจคิดว่าช่างเป็นคนที่พูดมากจริงๆ ไม่สิ
พูดละเอียดดีสำหรับการสืบสวนเลยทีเดียว
“แล้วล่าสุดคุณไปประเทศไหนมาครับ”
“คุณสงสัยว่าผมจะโดนปองร้ายหรอกเหรอ ฮะฮะฮะ”เจสันหัวเราะไม่เครียดอะไรเลยจนมาร์คเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ
นี่เรื่องเกี่ยวกับชีวิตตัวเองนะ ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยเถอะ “ฮ่องกงครับ
ผมเพิ่งกลับจากฮ่องกงเมื่อวาน ภาพในแกลลอรี่นั่นก็เป็นภาพจากฮ่องกง”
มาร์คพยักหน้าตาม กำลังจะถามคำถามต่อไป
ชานซองก็โผล่หน้าออกมาจากห้องทำงานเรียกให้เขาเข้าไป ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษชายหนุ่มเอเชียผมทองที่ยิ้มรับบางๆ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เดินเข้าไปในห้องเดิมก็เห็นชานซองกำลังยืนงมกับหน้าจอก่อนหันมาทางเขา
ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึ้นมาจริงๆ ทำเอามาร์คใจไม่ดีตามไปด้วย
“มีอะไรครับพี่”
“มาดูเองสิ”
หน้าจอตรงหน้าแสดงข้อมูลปืนกลมือยาวท่าทางเป็นของเก่าสมัยสงคราม
ด้านล่างเต็มไปด้วยข้อมูลของปืนชนิดนี้ รวมไปถึงข้อมูลว่ามีใช้ในกลุ่มไหนด้วย
“PPSH-41 หนัก 3.63 kg. ใช้กระสุน 7.62x25 mm. ระบบการทำงาน แบบ Blowback ปืนกลมือของกองทัพบกโซเวียตมีอัตราการยิงต่อเนื่องสูงมากบรรจุกระสุนได้เยอะมากความแม่นยำต่ำไม่เหมาะกับการยิงระยะไกล
แต่ถ้าประชิดขนาดนี้ก็เหมาะดี ระยะหวังผล 200 เมตร ที่สำคัญคือ
เราเพิ่งได้ข่าวมาใหม่ว่าปืนชนิดนี้ถูกขายให้กับพวกมาเฟียฮ่องกง”
“ฮ่องกง?”มาร์คถามย้ำซ้ำ
“เจสันเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง”
ชานซองดูประหลาดใจกับข้อมูลล่าสุด
“ถ้าอย่างนั้นเราก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าพวกนั้นมีเป้าหมายที่ใคร
แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไรจากช่างภาพมือใหม่อย่างเขากันแน่”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะครับ?”
“เขาอยู่ในอันตรายนะ
นายก็รู้ว่าช่วงนี้พวกมาเฟียฮ่องกงเข้ามากร่างในรัฐเรา เอายาเสพติดชนิดใหม่เข้ามาเผยแพร่
ไหนจะเรื่องค้ามนุษย์และอาวุธสงคราม พวกเราไล่ตามจับมันมาเกือบปีแล้ว
แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักอย่าง
แต่ไม่มีครั้งไหนที่มันทำการอุกอาจกลางวันแสกๆขนาดนี้
ฉันว่าเจสันต้องมีอะไรบางอย่างที่จะสาวไปถึงตัวใหญ่ของพวกนั้นได้”ชานซองทำหน้าครุ่นคิด
เลื่อนเก้าอี้หยิบฟอร์มเอกสารอะไรบางอย่างออกมา ก้มหน้าเขียนจนครบ เหลือเพียงสองสองช่องคือช่องตำรวจผู้มีหน้าคุ้มครองและผู้ต้องการความคุ้มครอง
“ฉันฝากนายคุ้มครองเจสันด้วย
ห้ามให้เขาเป็นอันตราย ฉันมั่นใจว่าเจสันมีอะไรบางอย่างอยู่กับตัว”
“แต่พี่ชานซอง
เจสันไม่ได้ขอให้ตำรวจคุ้มครอง เราไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขานะ”มาร์คท้วง
ชานซองเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาที่ทำให้มาร์คชะงัก
“นายอยากเป็นตำรวจสืบสวนนี่”
“ก็...ครับ”
ชานซองยิ้มบางๆ
ยื่นเอกสารคดีมาให้
“งานนี้ฉันจะให้โอกาสนายสืบคดี
มีตัวพยานปานเอกอยู่ใกล้ๆคงทำให้นายสืบได้ง่ายขึ้นจริงไหม
เพราะพวกนั้นจะโผล่หางออกมาให้นายเห็นอีกเยอะเลยล่ะ ทำงานนี้ให้ดีๆล่ะ”
“ผมไม่อยากได้รับการคุ้มครอง!!!”
มาร์คกำลังจะกลายเป็นโรคประสาท กลอกตาหนึ่งรอบถ้วน ยืนอยู่หน้ารถ SUV สีเทาของตัวเองพร้อมด้วยร่างมอมแมมของคนที่ต่อไปนี้จะต้องอยู่ในความดูแลของเขา
“คุณอยู่ในอันตรายนะ คุณต้องได้รับการคุ้มครอง”
“พวกคุณก็แค่เดา มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”เจสันยังคงค้านหัวชนฝา
ใบหน้ากลมเข้มขมึงไม่พอใจ คิ้วเรียวพาดขมวดโกรธๆ
ดวงตากลมแสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน
“แต่คุณเซ็นแล้ว”
“ก็คุณบอกผมว่ามันเป็นเซ็นบันทึกประจำวัน ผมก็เซ็นสิ
ผมไม่รู้สักหน่อยว่ามันเป็นใบขอผู้คุ้มครอง”
“แต่ยังไงคุณก็เซ็นแล้ว เชิญขึ้นรถครับ คุณเจสัน”
“คุณนี่มัน โอ๊ย! ไม่ต้อมาจับ ผมขึ้นเองได้”ร่างเตี้ยกว่าสะบัดร่างหลุดจากการเกาะกุมของมาร์ค
เดินกะเพลกๆเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งฟึดฟัดรอ มาร์คส่ายหน้าถอนหายใจ
รู้สึกถึงความยุ่งยากใจตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มต้น
“แล้วคุณจะต้องมาอยู่ที่บ้านผมเหรอ? คุณจะสะดวกเหรอ?”ร่างขาวถามทันทีที่ชายหนุ่มขึ้นมาบนรถ
“ใครบอกว่าผมต้องไปอยู่บ้านคุณ”มาร์คสตาร์ทรถไม่สนใจตากลมๆที่เบิกกว้างตกใจ
“เอ๊ะ!
ก็คุณบอกจะคุ้มครองผม...อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไปอยู่กับคุณน่ะ”
…เสียงดังจริงๆเลย...
“คุณคิดถูกแล้ว”
“ไม่ไป!! ผมไม่ไปอยู่กับคุณ
พาผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ!”
มาร์คหมดความอดทน หักพวงมาลัยจอดรถข้างถนน กดล็อครถปลดสายเบลล์
ยื่นแขนท้าวกระจกด้านหน้าเบาะข้างคนขับ
ยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้ร่างกลมผมสีทองอ่อนที่หุบปากฉับมองเข้าอึ้งๆ
แต่ในดวงตานั้นก็ยังมีแววแข็งกร้าว
“ผมจะบอกคุณไว้... ตอนนี้พวกเราสงสัยว่าคุณกำลังโดนมาเฟียฮ่องกงหมายหัวเพราะมีอะไรบางอย่างที่สาวไปถึงหัวหน้าใหญ่พวกมันได้...”
“ผมไม่มีของแบบนั้นหรอกน่ะ”เจสันโต้เถียงไม่ยอมความ
ดันตัวชายหนุ่มออกไม่ให้เข้ามาใกล้ โว้ย! อย่าเข้ามาใกล้ดิวะ!
“พยานกว่าครึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีหลักฐานสำคัญกับตัว”
“ผมก็ยังไม่จำเป็นต้องไปอาศัยกับคุณ ผมสามารถอยู่ที่บ้านผมได้นี่”
“แล้วคุณคิดว่าพวกมันจะไม่รู้ที่อยู่คุณเลยงั้นเหรอ?”มาร์คเลิกคิ้วถาม
ทำหน้าราวกับคำถามของเจสันเมื่อครู่เป็นคำถามโง่เง่าที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยได้ยิน “ป่านนี้มันคงดักรออยู่หน้าบ้านรอเป่าหัวพยานปากเก่งโง่ๆแบบคุณแล้ว...
เลิกโวยวายและให้ความร่วมมือกับการสอบสวนแต่โดยดีจะดีกว่า”
เจสันเงยหน้ามองใบหน้าตำรวจที่กำลังทำการขู่เข็ญประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างเขานิ่งๆ
จมูกรั้นพ่นลมหายใจแรงๆ เม้มริมฝีปากชั่งใจเอ่ยอย่างคนไม่มีอะไรจะสู้
“ผมไม่มีทางเลือกเลยสินะ”
มาร์คกระตุกยิ้ม ผละหน้าออกไป กลับไปนั่งประจำที่
ใส่เบลล์ขับไปบนถนนเส้นหลักอีกครั้ง
“เข้าใจง่ายดีนี่”
เจสันกัดปากหงุดหงิดจนถึงขีดสุดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะถ้าเป็นอย่างที่มาร์คพูดแสดงว่าตอนนี้เขาก็ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าทำไมจู่ๆตัวเองถึงได้ตกเป็นเป้าหมายของมาเฟียพวกนั้นได้
ในขณะที่คิดเรื่องตัวเอง เรื่องสำคัญอีกเรื่องก็โผล่เข้ามาในหัว เจสันร้องเฮ้ยใหญ่จนมาร์คตกใจเหยียบเบรกให้รถด้านหลังบีบแตรด่ากันขรม
ชายหนุ่มหลับตากลั้นสติอารมณ์หันตวาดพยานเรื่องมากข้างตัวเสียงดัง
“อะไรอีก!”
“เดี๋ยวนะ ถ้าผมเป็นอันตราย แล้วแจ็คสันล่ะ...แล้วแฝดผมล่ะวะ!!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น