[EREBUS] 22 -END-
~
22 ~
210
ปีต่อมา...
เปลือกตาบางขยับเชื่องช้าปรือขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน
ดวงตากลมใสกระพริบปรือปรับความคมชัด คิ้วเรียวขมวดมุ่นหยีตามองผ้าแพรขาวบนเตียงสี่เสาที่วางพาดล้อมรอบเตียงนุ่ม
ในหัวสมองโล่งว่างเบลอ ไม่รู้ว่าตนควรทำอะไรต่อไป หลับตาลงคิดใคร่ครวญเรียบเรียงความคิด
เริ่มแรกขยับนิ้วด้วยความยากลำบาก ยกแขนขึ้นพาดหน้าท้อง กลั้นหายใจเค้นพลังผุดลุกเอนหลังพิงหัวเตียงช้าๆ
ดวงตากลมมองไปทั่วบริเวณด้วยความแปลกใจ
ภาพในความทรงจำก่อนจะหลับไปกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างมาก เหมือนไม่เคยได้รับการแตะต้องมานานปี
ผนังรอบด้านปิดทึบไม่มีหน้าต่างให้แสงเข้าแต่กลับสว่างไสวเพราะโคมระย้าบนเพดาน
นอกจากเตียงที่เขานั่งอยู่ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนอีกแล้วยกเว้นผ้าแพรสีขาวที่วางพาดไปมาภายในห้องราวกับใยแมงมุม
มือขาวลูบผ้าขาวบางใกล้ตัวแผ่วเบา
พลันก็ก่อให้เกิดเหตุอัศจรรย์
แววตาใสสะท้อนภาพที่ผ้าแพรขาวเริ่มสลายหายไปกลายเป็นเกล็ดแสงสว่างคล้ายประกายไฟสีน้ำเงินลามเรื่อยตามผืนผ้ายาว
ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนฟูกมองตามผืนผ้าที่กำลังสลายหายไป
ละอองแสงสีน้ำเงินระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยยามค่ำคืนลอยวนอยู่ในห้องแคบเล็ก
เอื้อมมือไปคว้าละอองนั้นมาดูใกล้ๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เสียดายที่มันคงอยู่เพียงครู่แล้วก็หายไป เงยหน้ามองผืนผ้าจนจวบสิ้นสุดผืนมันก็กลับย้อนมายังปลายเตียงอีกครั้ง
เปรี๊ยะ!
เสียงเหมือนแก้วแตกดังกังวานทำให้เขาตกใจ
ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นความแปลกใจเมื่อปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นตรงกำแพงด้านหน้า
ประตูกรอบโลหะเงินยวงประดับหินอ่อนและอัญมณีเลอค่าสลักเสลาลวดลายเป็นรูปเทพหนุ่มหกปีกอ่อนช้อยงดงาม
จู่ๆก็มีบางสิ่งหล่นลงมาจากความว่างเปล่า
กุญแจเงินทรงโบราณเก่ากึกเขรอะคราบสนิทนอนนิ่งอยู่บนฟูกห่างจากเขาเล็กน้อย
มือเล็กประคองขึ้นมาดู ลูบรอยบิ่นเป็นทรงกุญแจครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ
ริมฝีปากอิ่มเม้มขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ก้าวย่ำทีละก้าวระมัดระวังโซเซราวกับเด็กเพิ่งหัดเดิน
มองหาช่องรูกุญแจจากประตูด้านหน้าแต่ก็ไม่พบ
คิ้วเรียวขมวดมุ่นลองผลักดูแต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน
ก้มๆเงยๆดูสักพักถึงเห็นว่ามันอยู่เหนือศีรษะเขาไปเล็กน้อยตรงหน้าอกของเทพหนุ่ม
เขาเสียบกุญแจปลดสลักโดยไม่ลังเล เสียงกริ๊กเล็กๆทำให้ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มพอใจ
ผลักประตูอีกครั้ง คราวนี้มันยอมขยับโดยดี
แสงสว่างที่ลอดเข้ามาทำให้ดวงตากลับลงอย่างไม่คุ้นชิน
ปรือลืมมองโครงร่างร่างหนึ่งก็ช่างพร่าเลือน มือขาวตะกายไปข้างหน้า
พลันก็มีอีกมือจับมือเขาไว้ ผิวเนื้อที่แตะต้องได้ช่างอบอุ่นและคุ้นเคย
กลิ่นหอมอ่อนๆนั้นแม้จะเลือนรางแต่ก็ตรึงแน่นในความทรงจำ
“เจ้ากลับมาแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำอ่อนหวานยามเอื้อนเอ่ยเรียกให้ดวงตากลมช้อนขึ้นไปมองเจ้าของเสียง
ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกมีความสุขขนาดนี้…
...ทั้งที่เขาจำสิ่งใดไม่ได้เลยก็ตาม...
“ผมคือใครเหรอ?
แล้วคุณคือใคร?”เสียงแหบหวานเอ่ยถาม
ดวงตากลมโตที่มาร์คแสนรักจ้องมองเขาด้วยความสงสัยชวนเอ็นดู
ลูซิเฟอร์แย้มยิ้มบางไม่ดุว่าหรือมีท่าทีตกใจที่อีกฝ่ายจำไม่ได้
ลูบเส้นผมสีน้ำตาลยาวเบาๆ
ดึงตัวอีกคนเข้าแนบชิดกอดรัดเอวคอดเอาไว้ขณะก้มลงสูดความหอมละมุนบนกลุ่มผมนิ่มลื่น
แม้สมองจะจำไม่ได้แต่เหมือนว่าร่างกายของอีกคนซื่อตรงและจดจำได้แม่นยิ่งกว่า
เพราะมือขาวที่กอดตอบทำให้ใจของเทพปีศาจเต้นเร็ว
มาร์คดันตัวอีกคนออกเล็กน้อย
สบดวงตาโตที่จ้องมองมาก่อน นิสัยไม่หลบตาของเด็กหนุ่มยังไม่หายไปไหน
แม้แก้มกลมนจะขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ารัก คนในอ้อมกอดหลับตาลงขณะที่ริมฝีปากหยักแตะแผ่วๆบนริมฝีปากอิ่มแดงฉ่ำน้ำของเจ้าตัว
ไม่มีการขัดขืนหรืออาการกใจ
...ตรงหน้านี้ไว้ใจได้
สัญชาติญาณของร่างเล็กบอกแบบนั้น...
“เจ้าชื่อแจ็คสัน
ส่วนข้าคือมาร์ค”
“แล้วเราเป็นแฟนกันเหรอ?”
มาร์คยิ้มให้กับคำถามนั้น
เขาส่ายหน้าให้กับแจ็คสันที่ขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจ รวบตัวร่างเล็กขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าสาวพาเดินไปอีกที่
แจ็คสันก็เพิ่งสังเกตว่าห้องที่เขาโผล่มาเป็นห้องนอนใหญ่ที่มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมสรรพและตกแต่งอย่างสวยงาม
มันน่าจะเป็นห้องของมาร์ค...มาร์คที่หัวใจบอกว่าคือคนรักของเขา...แต่มาร์คบอกว่าไม่ใช่นี่
แล้วเขาจะเชื่ออะไรระหว่างหัวใจตัวเองหรือชายที่กำลังอุ้มเขาอยู่ตอนนี้ดี
มาร์คอุ้มพาอีกคนมายืนบนระเบียงกว้างไร้แผงกั้น
ดูเผินๆเหมือนเป็นลานออกตัวของเครื่องบินอย่างไรอย่างนั้น
ก็แค่เล็กกว่ากับเป็นพื้นหินธรรมดา
“กางปีกสิ”
“หืม?”แจ็คสันไม่เข้าใจคำพูดของอีกคน
เขามีปีกที่ไหนกัน เอ๊ะ หรือเขามีแต่ลืมกันนะ
ขมวดคิ้วมุ่นจนคนที่เฝ้ามองอยู่หัวเราะขำ เดินถอยหลังทั้งที่จับมือเล็กไว้แน่น
ดวงตาสีม่วงสวยหลับตาลง
เสียงพรึบมาพร้อมกับลมแรงพัดร่างเล็กให้ไหวเซเล็กน้อยยึดมือแกร่งกระชับแน่นไม่ให้ล้มลงไป
ลืมตามองปีกใหญ่โตตรงหน้าด้วยความตื่นตาและมหัศจรรย์ใจ
ปีกคู่บนเป็นปีกมังกรสีดำกางออกจนสุดความยาวปีก
ส่วนปีกคู่ล่างเป็นปีกขนนกสีดำเลื่อมงดงาม
ปีกทั้งสี่ของมาร์คมีขนาดใหญ่มากจนสามารถทำให้พื้นที่ระเบียงตกอยู่ในความมืดได้ในทันที
ปีกทั้งสี่หุบพับเก็บเข้าเป็นตัวอย่างให้ร่างเล็กที่อ้าปากหวอเบิกตาโตอย่างน่าเอ็นดูตรงหน้า
ริมฝีปากแดงปลั่งเอ่ยพึมพำ
“มาร์ค...ลูซิเฟอร์มาร์ค
คุณคือเทพลูซิเฟอร์นี่นา”
มาร์คยิ้มพอใจ
ลูบหัวกลมที่โคลงไปมาหลบมือเขา ร่างเล็กขมวดคิ้วปัดมือเขาออก
แจ็คสันเริ่มจำได้บ้างแล้ว...
“อย่าแกล้งผมสิ...แล้วกางปีกออกทำไม
จะพาผมบินไปไหน”
“บินด้วยตัวเองสิ
กางปีกของเจ้าออกมา”
“ผมมีปีกที่ไหนกัน”แจ็คสันแบะปากคว่ำงอนกอดอกทำท่าเหมือนเด็กโดนขัดใจ
“เจ้านี่เป็นพวกหัวช้าจริงๆสินะ”มาร์คส่ายหน้าบ่นยิ้มๆเดินเข้ามาใกล้โอบร่างเล็กเข้าไปแนบชิด
มือแกร่งลูบแผ่นหลังบางเลื่อนเข้าไปในเสื้อที่คนตัวเล็กใส่อยู่
แจ็คสันดิ้นขลุกขลักตกใจกับสัมผัสจาบจ้วง ร้องอื้อในลำคอ
ร่างกระตุกรุนแรงเมื่อนิ้วเรียวแตะเข้าที่สะบัก
พลันก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ด้านหลังตัวเอง ตากลมกระพริบปริบๆ
หลับตาลงก็สัมผัสได้ถึงอวัยวะส่วนที่ถูกปิดซ่อน
เสียงพรึบด้านหลังมาพร้อมกับเสียงทุ้มชมข้างใบหู
“เก่งมากเด็กดี”
มาร์คชมพลางถอยออกมาดูภาพภาพแสนงดงามตรงหน้าตนเอง
ปีกขนนกสีขาวสว่างไสวตัดกับความอึมครึมของบรรยากาศโดยรอบยิ่งขับให้ร่างเล็กที่เป็นเจ้าของปีกนั้นดูงดงามมากยิ่งขึ้น
ปลายจมูกรั้นสูดลมหายใจเข้าออกยาว ริมฝีปากแดงฉ่ำตัดผิวขาวซีดเป่าลมออกแผ่วๆ
เปลือกตาสีน้ำนมค่อยๆปรือลืมขึ้นเผยให้เห็นดวงตากลมโตสดใสวาววับ
แจ็คสันอมยิ้มมุมปากขณะจ้องดวงตาสวยกลับคืน
“อ่า
นี่เปลี่ยนผมเป็นอะไรอีกล่ะเนี่ยมาร์ค หืม?”
“หึหึ
จำได้แล้วแล้วสิ”ร่างสูงตวัดร่างเทพตัวน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
สูดดมกลิ่นหอมข้างแก้มอ่อนบาง แจ็คสันทุบหน้าอกแข็งลงไปแรงๆ ส่งสายตาคาดโทษไปให้
“จำได้หมดแล้ว
ที่คะยั้นคะยอให้กางปีกนี่เพราะให้ผมจำได้สินะ”
“เก่งนี่
ต้องให้รางวัลสินะ”
“หยุดเลยนะ
อื้อ!”รีบห้ามแต่ก็ไม่ทันคนเจ้าเล่ห์ที่ก้มลงมามอบรสจูบอ่อนหวานให้
ปากหยักบดคลึงกลีบเนื้อนิ่มแดงเบาหนักเนิ่นนาน ไม่มีการรุกล้ำไปมากกว่านั้น
เพียงแค่แตะและรับรู้ความคะนึงหาของกันและกัน
แจ็คสันอมยิ้มหลับตาลงรับความรู้สึกที่มาร์คพยายามสื่อถึงรวมถึงพยายามตอบโต้สื่อสารว่าเขาก็คิดเช่นเดียวกัน
ทั้งสองก่ายกันจนไม่มีพื้นที่ว่างเหลือ มือไม่ผละไปจากร่างของอีกฝ่าย
ในห้วงเวลากว่าสองร้อยสิบปีอาจมากสำหรับมนุษย์ที่มีช่วงอายุขัยแสนสั้น
แต่สำหรับเทพที่อยู่มาตั้งแต่การอุบัติของโลกแล้ว เวลาแค่นี้มันก็สั้นเพียงพริบตาเดียว
โชคชะตามักเล่นตลกไม่เว้นแม้แต่เทพผู้ยิ่งใหญ่
พบ
รัก และ พลัดพราก
ถูกแยกกันด้วยเส้นกันของด้ายแห่งชะตากรรม
“แล้วตอนนั้นส่ายหน้าทำไม
ผมไม่ใช่คนรักคุณเหรอ?”
“ไม่ใช่
เราไม่ใช่คนรักกัน...
แต่เราเป็นของกันและกัน...”
โชคชะตา
นำพาจิตผู้เป็นที่รักกลับมาหากันอีกครั้ง
มอบความทุกข์และความแตกต่างให้เป็นบททบสอบ
แต่ครั้งนี้พวกเขาชนะและเปลี่ยนมัน...
“ปีศาจกลิ้งกลอก
ลิ้นคุณนี่พลิกได้ตลอดเลยนะ”
“เจ้าเป็นเจ้าของดวงใจของข้าและข้าคือดวงใจของเจ้า…มันไม่ถูกเหรอ?”
“...ยอมมาอยู่นรกด้วยนี่ยังยืนยันไม่พอเหรอ?”
เปลี่ยนคำว่าพลัดพรากในบทสุดท้าย
แล้วสร้างสมการขึ้นมาใหม่
พบ
รัก และอยู่เคียงข้างกัน
“เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดไปหรือไม่แจ็คสัน”
“ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ...ตลอดไป”
คนหนึ่งคือเทพปีศาจผู้ถูกขับไล่จากสวรรค์
คนหนึ่งคือมนุษย์ธรรมดาผู้สุดแสนจะโชคร้าย
แต่ความรัก
ก็พังกำแพงทุกสิ่ง
ให้ทั้งสองมาครองคู่กัน...อีกครั้ง
“เราจะอยู่ด้วยกันตราบจนวันพิพากษา”
-อวสาน-
น่ารักอ่ะเรื่องนี้ งื้อ ><
ตอบลบI like it.
ตอบลบดีมากเลย ไรท์เขียนเก่งมากเลยยยย
ตอบลบ