[ตำหนักอี๋เจีย] 03




03






อีกครั้งที่เปลือกตาสีอ่อนปรือปรอยลืมขึ้นมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ฝืนมองผ้าคลุมเตียงสีสดอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหลับปิดแน่น ลำคอแห้งผากแม้จะกลืนน้ำลายลงไปก็ยังแสบไปทั้งคอ เจียเอ๋อที่สูดลมหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอดพ่นลมร้อนระอุออกมา รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกไปตามผิวหนัง เหงื่อขับออกจนร่างกายเหนียวเหนอะหนะไปหมด

“แค่ก!

ไอโขลกใหญ่ เจ็บร้าวไปทั้งหน้าอก ปอดบีบตัวกันรุนแรงน่ากลัว ไอต่อกันยาวจนน้ำตาเอ่อคลอดวงตา ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นจากเตียงแต่เวียนหัวทรงตัวไม่อยู่ ใช้แขนศอกพยุงไม่ให้ต้องล้มพับลงไปอีกครั้ง สบถเพราะไม่ได้ดั่งใจ ภาพตรงหน้าหมุนไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับหัวที่เหมือนมีเชือกมาบีบรัดหน่วงๆเบลอๆตลอดเวลา ร่างกายไร้เรี่ยวแรง

...ไม่ต้องให้เฟิงจีมาตรวจก็ยังรู้ว่าตอนนี้ป่วย...

เจียเอ๋อล้มตัวลงนอนหงาย นิ่วหน้าเจ็บร้าวตรงช่วงสะโพก ความทรงจำเร่าร้อนและเลวร้ายเมื่อคืนย้อนคืนกลับมาทำร้ายเขาอย่างรวดเร็ว

เขาเพิ่งสังเกตว่าเสื้อถูกสวมใส่ให้เรียบร้อย ทั้งที่เมื่อคืนมันยังหลุดลุ่ยอยู่บนตัวอยู่เลย คราบคาวทั้งในและนอกตัวก็หายไปแล้ว นึกอับอายเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนทำความสะอาดร่องรอยน่าบัดซบนั่นให้

เหลือบมองบานประตูปิดแน่นล็อกแน่นหนาแล้วได้แต่พ่นลมหายใจแรง ปวดตัวปวดหัว เหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ได้ เจียเอ๋อเลยเลือกจะปิดตาลงพักผ่อนร่างกายมากกว่าจะฝืนไปอาบน้ำให้สบายตัว...





เจ้าเมืองฉีกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องส่วนตัว เวลาเช้าๆแบบนี้ชายหนุ่มชอบที่จะมานั่งจิบชา ทำงานอยู่โต๊ะใกล้หน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดออกไปเห็นสวนด้านหลังได้พอดิบพอดี

ดวงตาเรียวมองต่ำลงไป หน้าต่างบานนี้สามารถมองเห็นเรือนยาวของพวกนางสนมที่ห่างจากเรือนใหญ่เพียงแค่สวนกลางตำหนัก เลื่อนสายตามองไปยังห้องท้ายสุด ปลีกจากห้องทั้งหลายไปไกลด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ออก

ชายหนุ่มหรี่ตามองแม่กุญแจดอกใหญ่คล้องโซ่บนบานประตูนิ่ง

มือเรียวกำลังจะหยิบเอกสารบางอย่างออกมา พอดีกับที่ห้องถูกเปิดออก อี๋เอินไม่ได้ตกใจหรือหงุดหงิดเพราะรู้ดีว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้มีไม่กี่คน และตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่คนเดียวในตำหนัก

“เคาะประตูก่อนเข้ามาก็ดีนะ เฟิงจี”

“เจ้านี่ใจร้ายชะมัด”คำปรามาสจากคนมาใหม่แบบยังไม่ทันพูดจาปราศรัยสิ่งใดเรียกดวงตาสวยให้เหลือบไปมอง

ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ท้าวคางมองหมอประจำตำหนักพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของเขาที่ยกเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเขา ท้าวคางมองด้วยท่าทีเช่นเดียวกัน

“เรื่องอะไรล่ะ?”

“อาการเขาตอนข้าไปดูตอนเช้ามืดไม่ดีเลย แผลเปิดแถมยังมีอาการไข้สูง แต่ข้าให้ยาห้ามเลือดไปแล้ว หวังว่าเขาคงไม่ดื้อดึงจะขยับตัวมากนัก”

“มีไข้?”

“หึ โดนเจ้าทำรุนแรงต่อๆกันสองวัน แถมยังให้เขาเปลือยกายนอนขนาดนั้น จุดที่โดนเจ้าสกัดยังไปขัดขวางไม่ให้ร่างกายเขาฟื้นตัวได้เต็มร้อยอีก”

“อ่อนแอ”อี๋บ่นพึมพำ หยิบเอาเอกสารบนโต๊ะมาอ่าน ดวงตาเรียวไล่มองตามตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ ท่าทางนิ่งเงียบ มีเฟิงจีนั่งใครครวญมองสหายผู้เป็นเจ้าเมือง

“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เขามีอะไรให้เจ้าสนใจมากขนาดนั้น?”

อี๋ไม่เคยชอบดวงตาเรียวคล้ายแมวเวลาจะซักไซ้ข้อมูลจากเขา เพราะเฟิงจีมักจะรู้ใจเขาดีเสียจนไม่มีอะไรจะหลอกเพื่อนคนนี้ได้ ชายหนุ่มวางเอกสารลง หยิบกระดาษและพู่กันมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป พลางตอบคำถามเสียงเนิบ

“ไม่มีอะไร แค่สมบัติขัดดอกจากตระกูลหวัง”

“กล้าหลอกข้ารึอี๋”

มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าเรียกเขาห้วนๆแบบนั้น แต่คนโดนยกตนขึ้นเทียบกลับหัวเราะเสียงทุ้มไม่ถือสา

“ข้าไม่รู้...ก็แค่...น่าสนใจ”

“กับผู้ชายเนี่ยนะ ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าเปลี่ยนรสนิยม”

เฟิงจีพูดจบ พอดีกับอี๋เขียนเสร็จ มือเรียวยื่นกระดาษนั้นส่งให้หมอประจำตำหนัก

“ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร ...ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน”

เฟิงจีก้มอ่านกระดาษ หัวเราะในลำคอ เงยหน้ามองเจ้าเมืองที่หันหลังกลับไปมองวิวนอกหน้าต่าง เอ่ยเย้าอย่างคนที่รู้จักกันดี

“แค่น่าสนใจ...จริงหรือ?”

อี๋เอินไม่ตอบ มีเพียงเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอเท่านั้นที่ทำให้หมอประจำตำหนักเข้าใจ





เฟิงจีเข้ามาหาตรวจอาการเขาเมื่อตอนเที่ยง พร้อมกับพวกนางกำนัลยกอาหารอุ่นสำหรับคนป่วยเข้ามาให้ หมอประจำตำหนักแจ้งอาการของเขา แน่นอนว่ามันไม่ทำให้เขาแปลกใจสักนิด

...ป่วยหนัก ไข้รุม แผลอักเสบ...

...หึ ความผิดอี๋ทั้งนั้น...

เจียเอ๋อพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มองจอกยาสีไม่น่าดื่มบนถาดเล็กๆบนโต๊ะ ยกมันขึ้นมามองทำหน้าแหยะ แทบไม่อยากนึกถึงรสชาติบาดคอของมัน กลั้นลมหายใจฝืนเทลงคอหมดพรวดเดียว ทั้งร้อนทั้งขม แทบกระโดดดิ้นๆ ถ้าไม่ติดสังขารตัวเอง

เจียเอ๋อละอาหารเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่อยากอาหาร รวมทั้งอยากนอนมากกว่าด้วย

“หืม...”

ดันตัวลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นกระดาษยุ่ยๆใต้ชามข้าวต้ม เอื้อมไปดึงมันออกมาอ่าน เขามีสิทธิ์อ่านใช่ไหมในเมื่อมันถูกแอบสอดมาราวกับใครบางคนอยากให้เขาได้อ่านมัน

...จ่ายสูตรยาตำหนักเลี่ยงหรงให้หวังเจียเอ๋อ...

นิ้วป้อมลูบตราประทับบนกระดาษแผ่นนั้น รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ยกขาตนมองรอยแผลประทับตรงน่องด้านในก็พบว่ามันเป็นรอยเดียวกัน

...ลายมือของอี๋เหรอ? ใช่หรือ?...

...อย่างอี๋จะปราณีเขาขนาดนี้เลยหรือ?...

ส่ายหน้าตอบคำถามในใจของตัวเอง วางมันลงข้างหมอน หยิบชามข้าวขึ้นมากินเอื่อยเฉื่อย มาอยู่ที่นี่สิ่งเดียวที่ดีก็คืออาหารนี่แหละ รสชาติอร่อยสมเป็นอาหารชาววัง กินจนเกือบหมดชามก็นำไปวางไว้ที่เดิม รอให้พวกนางกำนัลมาเปิดประตูเก็บกันไปเอง แน่นอน ว่าเจียเอ๋อเปิดประตูเองไม่ได้อยู่แล้ว

นั่งมองวิวด้านนอก หาวอ้าปากกว้างอย่างนึกเบื่อหน่าย ปวดหัวจนต้องเอนตัวลงนอนหลับไปอีกครั้ง

...ขอให้คืนนี้เขาไม่เจอเจ้าเมืองโรคจิตนั่นเถอะน่า...
.
.
.
.
.
เป็นครั้งแรกที่คำขอของเจียเอ๋อได้ผล

ชายหนุ่มปรือตาตื่นขึ้นมาในช่วงย่ำค่ำ ท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีม่วง แสงสีส้มริบหรี่แผ่วๆส่องผ่านสันหลังคาสักพักก็หายไป พอดีกับที่เจียเอ๋อมองเห็นพอดี

ถาดอาหารตอนเที่ยงหายไปแล้ว มีสำรับอาหารคาบเย็น ยา รวมไปถึงเสื้อผ้าใหม่เตรียมพร้อมอยู่ในห้องเรียบร้อย ไม่รู้ว่าเขาหลับลึกหรือพวกพวกนางกำลังมือเบาเท้าเบาเกินไปกันแน่...

เจียเอ่อลุกขึ้นเลิกคิ้วมองมือตัวเอง ความเมื่อยล้าหายไปราวกับปาฏิหาริย์ทั้งที่ตอนกลางวันยังเหนื่อยแทบลุกไม่ขึ้นแท้ๆ แม้กระทั่งส่วนที่โดนทารุณก็ไม่หน่วงแล้ว ลองลุกขึ้นจากเตียงหมุนตัวไปมาก็ยิ้มร่า คว้าชุดบนโต๊ะเข้าห้องน้ำไป





“ท่านอี๋เอิน”

หญิงสาวสวยในชุดบางเบาสีชมพูหวานนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าเหนือตนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ นางรู้สึกเสียหน้ามากที่ชายหนุ่มมองข้ามนางไป ทำราวกับนางเป็นเพียงอากาศธาตุ

ท่านอี๋ไม่เคยเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่ได้อ่อนหวานเอาใจใส่ แต่ก็ไม่เคยมองข้ามความสำคัญของใคร

หรือจริงๆต้องบอกว่าชายหนุ่มไม่ให้ความสำคัญกับใครเลยต่างหาก

นางเลยแปลกใจเมื่อชายหนุ่มดูจะ สนใจนางสนมใหม่ผู้นั้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่วันที่นางสนมใหม่ผู้นั้นเข้าถวายตัว ก็เป็นปกติที่ท่านอี๋จะเข้าไปเยี่ยม แต่หลังวันนั้นที่ต้องเป็นวันของนางแล้วท่านอี๋ไม่มานี่สิ ที่แปลก ยิ่งแปลกใจหนักเข้าเมื่อได้ยินว่าท่านอี๋ไม่ได้ติดธุระสำคัญ เพียงแต่ไปหานางสนมใหม่ผู้นั้นซ้ำสองคืน จนเกิดข่าวลือที่ว่าหญิงผู้นั้นคงงดงามมากแน่ๆ ท่านอี๋จึงหลงใหล จนขนาดขังนางไว้ในห้องท้ายตำหนักและห้ามคนนอกจากท่านเฟิงจีกับพวกนางกำนัลเช่นนี้

หญิงสาวมองเจ้าเหนือหัวที่ลุกขึ้นยืน ยื่นมือเรียวเรียกหานางให้ลุกขึ้นยืนข้างเขา

“ขอโทษนะ หลินเว่ย ข้าไม่มีอารมณ์จริงๆ”

หญิงสาวยิ้มรับแกนๆ รู้สึกเสียความมั่นใจแต่ก็ยอมรับโดยดี ยังไงส่วนใหญ่ท่านอี๋ก็ไม่ค่อยมีสัมพันธ์กับพวกนางมากนักหรอก เขาไม่ใช่พวกอารมณ์ทางเพศสูง ออกจะเป็นสุภาพบุรุษและเมตตาพวกนางมากนัก

“ท่านอี๋นี่ช่างเป็นคนดีจริงๆนะเจ้าคะ หลินเว่ยไม่กล้าจะขัดข้องใจท่านหรอกค่ะ”

อี๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินออกมา วันนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรทั้งนั้น

...คนดีอย่างนั้นเหรอ?...

“หึ...”

แค่นหัวเราะขำกับตัวเอง อี๋รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร...

ชายหนุ่มเผลอเหลือบตามองไปที่ห้องสุดท้ายของเรือนที่ตอนนี้ไฟยังสว่างโร่

...คงนอนกลางวันจนเกินพอแล้วสินะ...

เขาเดินลงไปเล่นในสวนกลางตำหนักที่เงียบสงบ อี๋ชอบมาเดินเล่นที่สวนนี้เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือเบื่อจนทนไม่ไหว เดินมองดูพวกพรรณไม้ในสวนอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็มานั่งบนม้านั่งข้างต้นไม้ใหญ่ เงาของแสงจันทร์โอบร่มเงามืดปกคลุมตัวเขาที่นั่งนิ่งมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ของห้องท้ายตำหนัก

ไฟในห้องปิดลง อี๋กำลังจะลุกขึ้นก็ต้องชะงักเพราะคนในห้องโผล่หน้าออกมามองพระจันทร์เต็มดวงในคืนนี้ อวัยวะในอกกระชากเต้นอย่างรุนแรงเพราะภาพตรงหน้า

ใบหน้าคมคร้ามยามนิ่งเฉยกลับน่ารักละมุนตาราวกับหญิงสาวยามแย้มยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสวยฉีกออกเต็มที่ แก้มกลมนูนขึ้นกลมน่าหยิก ดวงตากลมยิบหยีเปล่งประกายความสุขระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก

...รอยยิ้มแสนงดงาม...

แต่ทันทีที่ดวงตากลมเบนมาหาเขา เจียเอ๋อก็หุบยิ้ม ดวงตากลมทอประกายกร้าว ผลุบกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง

“...”

.
.
.

ก๊อกๆ

ไม่รู้อะไรดลใจให้อี๋เอินเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเล็กท้ายตำหนัก ทั้งที่ตั้งใจจะเดินกลับแล้วแท้ๆ

“เจียเอ่อ...”

“...”

อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าในห้องก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าคนในห้องยังไม่ได้หลับ

“เจ้ายิ้มทำไม”

“ข้ายิ้มไม่ได้รึยังไง ท่านจะบังคับอะไรข้าอีก”น้ำเสียงกรุ่นโกรธจากอีกด้านเรียกรอยยิ้มอ่อนจากผู้ถาม ชายหนุ่มแกล้งขยับโซ่คล้องประตูขณะแนบหูกับบานประตู ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกตกใจจากคนในห้อง เสียงผ้าห่มสะบัดพรึบใหญ่

ถ้าให้เดา เขาคิดว่าตอนนี้เจียเอ๋อคงกำลังนั่งคลุมโปงมองประตูตัวสั่นอยู่แน่ๆ

“พระจันทร์คืนนี้โสภานักหรือไง เจ้าถึงได้ยิ้มกว้างนัก”

...ยิ้มให้ข้าแบบนั้นบ้างไม่ได้หรือ...

“...”

“ถ้าเจ้าไม่ตอบ...”

อี๋จับกลอนประตู ตั้งใจจะไขเข้าไปจริงๆหากอีกฝ่ายยังดื้ออยู่แบบนี้

“พระจันทร์มันสวยกว่าโต๊ะแล้วก็เตียงในห้องนี้ พอใจท่านรึยัง!!!

เจียเอ่อตะโกนเสียงพร่าแตก มือเรียวหยุดชะงัก ตาสวยมองบานประตูราวกับมันสามารถมองทะลุเข้าไปในห้องได้ ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก

“งั้นก็จ้องมันจนกว่าจะพอใจเถอะนะ”

.
.
.

เจียเอ๋อนั่งคลุมโปงอยู่บนเตียงก้มหน้าซุกหัวเข่า ฟังเสียงฝีเท้าหนักเดินห่างออกไปช้าๆ มือขาวเช็ดขอบตาที่น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ

“บ้าเอ๊ย








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*