[ตำหนักอี๋เจีย] 05
05
[ฟังเพลงกันค่ะ ^_^]
เจียเอ่อลดมือลงวางขลุ่ยลงบนตัก ถอนหายใจพรูใหญ่เบื่อหน่าย
ขยับคอเสื้อสีอ่อนแหวกออกเล็กน้อยเพราะอากาศร้อนอบอ้าวในตอนเที่ยงวัน
เส้นผมสีเข้มถูกรวบเป็นมวยยุ่งๆพอให้อยู่ได้ด้านหลังคอ
ใช้อุ้งมือปาดหยดเหงื่อใสตรงข้างขมับ เกี่ยวเส้นผมบนหน้าผากชื้นเหงื่อขึ้นทัดหู
อากาศร้อนขนาดนี้ ไม่มีอารมณ์สุนทรีพอจะเป่าขลุ่ยได้เลยจริงๆ...
ที่จริงเจียเอ๋อก็มิได้ชอบในทางดนตรีมากเท่าใดนักหรอก
ก็แค่หยิบมาเล่นบ้างเวลาเงียบๆแล้วไม่มีอะไรทำ
แต่ไหนแต่ไรก็ถนัดแนวต่อยตีหมัดมวยเสียมากกว่า โดยเฉพาะพวกเพลงดาบที่เขานิยมโปรดปรานมากๆ
เป็นไปได้ก็อยากไปเข้าร่วมกับพวกก๊กหมู่ชาวยุทธ์หมู่ใดหมู่หนึ่งอยู่เหมือนกัน
แต่เพราะเขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหวังที่บิดามอบจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้จึงทำให้ทำตามที่หวังมิได้
พอคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าก็พลันสลดลง ครอบครัวเขาจะอับอายขายหน้าขนาดไหนหากรู้ว่าลูกชายที่ตนเคยคาดหวังต้องกลายมาเป็นสนมของเจ้าเมือง
โดนกระทำไม่ต่างจากนักโทษในหอนางโลม ไม่มีอิสระแม้แต่จะก้าวเดินออกจากห้องเล็กๆนี่
ตกกลางคืนยังต้องโดนชายคนนั้นรังแกแทบไม่เว้นวัน
...แต่จะว่าไปก็ไม่เห็นอี๋มาหลายวันแล้วนะ...
ตั้งแต่วันที่เขาได้ขลุ่ยมา อี๋เอินก็ไม่ได้เข้ามาหาเขาเป็นวันที่ห้าแล้ว
เจียเอ๋อดันกระพุ้งแก้ม
เขาไม่ได้คิดถึงหรืออยากให้มาหาอะไรเทือกนั้นหรอก
ดีด้วยซ้ำที่ไม่โดนทำเรื่องน่าอาย แค่คิดว่ามันแปลกๆที่ไม่เห็นชายหนุ่มเลย
แล้วตำหนักก็ดูเงียบเหงามาหลายวันแล้วด้วย ถามใครก็ไม่ได้
แม้แต่พวกนางกำนัลที่ยกข้าวยกเสื้อผ้ามาให้ทุกวันก็ยังโดนคำสั่งให้ปิดปากเงียบไม่ให้คุยกับเขา
จนบางทีเจียเอ๋อก็คิดว่านี่คิดว่าเขาเป็นตัวเชื้อโรคหรือไร ถึงได้กีดกันกันนัก...
“โว้ย!!!”ร้องก้องห้องหงุดหงิด
คันปากอยากคุยกับคนอื่นจะบ้า วางขลุ่ยลงในกล่องปิดมินชิด
ยกมันไปไว้บนหัวเตียงด้วยความทะนุถนอม
อย่างน้อยมันก็เป็นเพื่อนคลายเหงาเพียงอย่างเดียวในห้องแคบๆแห่งนี้
เขาจึงอยากรักษามันไว้ให้ดี ไม่ใช่เพราะมันเป็นของที่อี๋มอบให้หรอกนะ...
ตวัดปลายเสื้อ คลานกลับขึ้นไปบนเตียง
ผ้าม่านรอบเตียงบังแสงจากด้านนอกพร้อมกักเก็บความเย็นเอาไว้
บนนี้เลยอยู่สบายกว่าบนพื้นห้อง เจียเอ๋อนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงเปล่าๆไม่น่าโสภา
มองไปมองมาก็ชักอยากผูกมิตรด้วย
“ว่าไง กำแพง เจ้าร้อนไหม ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว”
ไม่มีเสียงใดตอบรีบกลับมา ซึ่งมันก็ถูกแล้ว เพราะถ้ากำแพงตอบจริงๆ
เขาคงวิ่งหนีป่าราบ...ไม่สิ เขาออกจากห้องนี้ไม่ได้นี่นะ...
“ข้าเหงาจังกำแพง นี่ ข้าอยากออกไปจากห้องนี้จะแย่
แต่เหมือนว่าข้าจะออกไปไม่ได้”
“ทำไมเจ้าจะออกไปไม่ได้ล่ะ”
“ก็ข้าโดนขังนี่...” เจียเอ๋อชะงัก นึกขึ้นได้ว่ากำแพงพูดไม่ได้
แล้วใคร... ขนแขนลุกซู่ หันขวับไปมองด้านหลัง
ถอนหายใจเฮือกใหญ่โล่งอกเมื่อเห็นร่างมนุษย์เต็มตัวชื่อ เฟิงจียืนอยู่กลางห้อง
ประตูถูกเปิดทิ้งไว้น่าจะเป็นหลักฐานที่แสดงว่าชายคนนี้เดินเข้ามาทางประตูจริงๆไม่ใช่ลอยเข้ามา
“ข้าควรเพิ่มยาระงับประสาทให้เจ้าด้วยรึเปล่า
เจ้าจะได้ไม่ต้องหลอนไปคุยกับกำแพงอีก”
“ข้ากำลังผูกมิตรกับกำแพงห้องต่างหาก”เจียเอ๋อเถียงพลางหมุนตัวกลับมานั่งหน้าคุยกับหมอประจำตำหนักดีๆ
“มีอะไรถึงได้เข้ามาหานักโทษอย่างข้าล่ะ”
“นักโทษที่ไหนมีห้องส่วนตัวแบบนี้บ้าง”เฟิงจีเอ่ยกลั้วหัวเราะ
แต่เจียเอ๋อไม่ขำด้วย
“ล่ามข้าไว้ด้านนอกยังดีกว่าให้อุดอู้อยู่ในห้องแคบๆนี่”
หมอประจำตำหนักกระแอมแก้เก้อเมื่อรู้ว่าตนทำให้เสียบรรยากาศ
ยิ้มกว้างจนเห็นรอยยับข้างตา ยื่นเอาเสื้อคลุมผ้าแพรสีแดงส่งให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง
เจียเอ๋อรับมันมา ไม่เข้าใจว่าจะเอามาทำอะไร
“ท่านอี๋เอินอนุญาตให้เจ้าไปเดินเล่นในสวนได้”
“...”
“ไม่ดีใจหรือ?”
“เจ้าล้อเล่นเหรอ?”
“พูดจริงสิ…”
เจียเอ๋อกระพริบตาปริบๆอย่างไม่อยากเชื่อ อ้าปากค้างอึ้งๆ
ง่ายๆเช่นนี้เลยรึ!
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้านะ ท่านอี๋เอินฝากข้ามาว่าวันนี้ให้พอเจ้าออกไปเดินเล่นในสวนจริงๆ”เฟิงจีย้ำอีกรอบกลัวว่าเจียเอ๋อจะไม่เชื่อกัน
“ข้าไม่กล้าพาเจ้าออกไปโดยพละกาลหรอก ข้าก็ยังห่วงชีวิตตัวเองอยู่นะ”
“เดินเล่น...จริงๆน่ะเหรอ?”เจียเอ๋อยังคงตะขิดตะขวงใจ
ไม่อยากจะเชื่อว่าอี๋เอินจะใจดีให้ตนออกไปนอกห้องด้วย
“เดินเล่นจริงๆ
ท่านอี๋บอกว่าถ้าให้เจ้าอยู่ในห้องนี่นานๆกลัวจะได้เป็นบ้าเอาสักวัน”
“นักโทษขังลืมในวังหลวงยังไม่บ้า
ทำไมข้าต้องเสียจริตเพราะแค่โดนขังด้วย”
ด้วยทิฐิทำให้เจียเอ๋อเอ่ยประชดประชันออกไป
เฟิงจีถอนหายใจกับความดื้อดึงนั่น
“รักศักดิ์ศรีมันก็ดีหรอกนะเจียเอ๋อ
แต่ข้าว่าเจ้าควรออกไปด้านนอกบ้างก่อนที่เจ้าจะได้สหายเป็นกำแพงจริงๆ”
เจียเอ๋อเหลือบกลับมามองหมอประจำตำหนัก
ลดไหล่ลง...มันก็จริงอย่างที่เฟิงจีว่าจริงๆ
มันอาจเป็นความปราณีครั้งแรกและครั้งเดียวของอี๋เอินก็ได้
เขาไม่ควรเอาทิฐิเป็นที่ตั้งจนเสียโอกาสดีๆไป...ใช่ไหม
เฟิงจียิ้มพอใจเมื่อเห็นเจียเอ๋อยอมคลี่เสื้อคลุมสีแดงออกคลุมร่าง
ผ้าแพรเลื่อมปักลายดอกท้องดงาม แม้จะเป็นเสื้อคลุมของผู้หญิงที่ปกติปลายจะต้องลากพื้น
แต่อาจจะเป็นเพราะเจียเอ๋อก็ไม่ได้มีรูปร่างสูงอย่างชายหนุ่มทั่วไป แทนที่เสื้อจะลอยเหนือพื้นเลยกลายเป็นยาวกรอมเท้าพอดี
เฟิงจีเรียกนางกำนัลด้านนอกเข้ามาแต่งตัวช่วย
เจียเอ๋อมีท่าทีเก้ๆกังๆไม่ชินกับการที่ต้องมีคนช่วยแต่งตัว หวีผมหรือซับเหงื่อ
“นี่ๆ ไม่ต้องหรอก”รีบห้าม
พลางเบี่ยงหน้าหนีนางกำนัลที่กำลังจะทาแป้งทาปากให้เขา
“แต่ว่า...”
“ข้าเป็นผู้ชายน่า ไม่ใช่ผู้หญิง”
นางกำนัลมีท่าทีลังเลใจ
สงสัยจะได้คำสั่งมาว่าให้มาแต่งตัวให้สนมท่านอี๋
เลยทำให้พวกนางเข้าใจว่าต้องทำเหมือนอย่างนางสนมคนอื่นๆ
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”เฟิงจีต้องเป็นคนออกปากเอง พวกนางถึงยอมถอยออกไป
เจียเอ๋อลูบเส้นผมยาวสยายเรียบนุ่มไปไว้ด้านหลัง ลุกขึ้นจากโต๊ะ
ขยับผ้าคาดสะเอวให้แน่น
“แล้ว มีอะไรที่ข้าต้องรู้ก่อนออกไปรึเปล่า?”
เฟิงจีเลิกคิ้วมองยิ้มๆ คิดในใจว่าเจียเอ๋อเฉลียวกว่าที่คิด
“อนุญาตให้อยู่แค่ในสวน จะทำอะไรก็ได้
แค่ไม่ไปทำลายข้าวของหรือดอกไม้ก็พอ”
“คิดว่าข้าจะเผาตำหนักรึยังไง?”เลิกคิ้วถามหมอประจำตำหนักที่หัวเราะเสียงดัง
“ข้าว่าเจ้าคิดจะทำแน่ๆถ้ามีโอกาส”
...รู้ทัน...เจียเอ๋อคิด เดินตามชายหนุ่มออกไปจากห้อง
มือขาววางมือบนอก รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ออกไปจากห้องเสียทีหลังจากไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมานานกว่าสองสัปดาห์
ตากลมเปล่งประกายมองสวนสวยที่เขาเคยเห็นแว๊บๆตอนถูกนำตัวมาถวาย
มันเป็นสวนกว้างกลางตำหนัก
ดอกไม้พรรณไม้งดงามหลากหลายสีสันแย้มบานเป็นสัดเป็นส่วนถูกตัดแต่งดูแลสวยงามน่าดูชม
ต้นท้อยืนต้นบิดเป็นเส้นสายราวกับภาพวาดกลางสวนเป็นจุดเด่นที่ทำให้ละสายตาออกได้ยาก
พื้นทางเดินหินกรวดขาวตัดกับดินสีเข้มปูลาดยาวเชื่อมต่อกันยาวทั้งสวน
ถ้าเป็นฤดูหวานที่ต้นท้ออกดอกจะต้องดงามมากแน่ๆ
น่าเสียดายว่าตอนนี้เป็นฤดูร้อน
“ตามสบายเลย ข้าต้องไปแล้ว
เตือนเจ้าว่าอย่ากลับห้องหลังตะวันตกดินก็แล้วกัน”
“ทำไม?”
“มันเป็นกฎของตำหนักนี้ หลังพระอาทิตย์ตกดินห้ามใครนอกจากท่านอี๋
พระญาติและพวกนายทหารยามออกมาเดินนอกที่พัก”
เจียเอ๋อพยักหน้าเข้าใจ เอ่ยขอบคุณเฟิงจีที่ยิ้มรับบางๆแล้วเดินจากไป
เขาหันกลับไปมองสวนสวยตรงหน้า
หลับตาลงสูดกลิ่นหอมจรุงจากบรรดาดอกไม้รอบด้าน อากาศสดชื่น แสงแดด
และสายลมเย็นๆพัดผ่านร่าง
...คิดถึงเหลือเกิน...
ไม่รู้ว่าโดนขังอยู่ในห้องนั้นนานเกินไปรึเปล่า
แต่ตอนนี้เจียเอ่อกระปรี้กระเปร่ามาก หากมีดาบเขาคงฝึกซ้อมดาบอย่างที่ชอบไปแล้ว
แต่เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเลยเปลี่ยนมาเดินชมธรรมชาติ ซึมซับกลิ่นอายดินและลมให้ชุ่มปอดแทน
เดินเล่นในสวนจนแทบจะจำทุกส่วนของพื้นที่แห่งนี้ได้แล้วก็เริ่มเบื่อ
เดินไปหยุดยืนเงยหน้ามองลำแสงอาทิตย์อ่อนๆที่ลอดใบต้นท้อลงมาบนพื้นดิน
มองประกายแสงที่เปลี่ยนรูปร่างไปทุกครั้งที่ลมผัดผ่านและใบไม้เอนไหว
“อย่าเดินเอื่อยแบบนั้นสิพี่อี๋”เสียงหวานใสดังก้องเข้ามาในโสตประสาท
เจียเอ๋อสะดุ้งไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ใกล้ๆนี้ด้วย
ก้มมองชุดตนเองก็เกิดกระดากอายเล็กน้อย มันดูไม่สุภาพนักหากจะออกไปพบใครตอนนี้
ชายหนุ่มเลยเลือกแฝงเร้นตนหลังต้นท้อ ฟังเสียงหญิงสาวผู้มาใหม่พูดคุยกับใครอีกคน
“เจ้ารีบเกินไปต่างหาก”
หัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะเสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นเคย
เจียเอ๋อลอบมองหลังต้นไม้ด้วยความสงสัย
หญิงสาวอายุน้อยในชุดสีชมพูปักลวดลายสลักเสลาประณีตเดินลงมาจากระเบียงทางเดิน
ท่าทางของนางทั้งสง่าและงดงาม
งามยิ่งกว่าคือใบหน้าของนางที่ราวกับถูกสลักเสลาเลียนแบบเทพยดาบนสวรรค์
ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย
อี๋เอินปรากฏออกมาจากเงาระเบียงตำหนัก
เขาขยับยิ้มแสนเอ็นดูเมื่อมองหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าตน
มือของทั้งสองเกี่ยวกันแน่น หญิงสาวลากพาชายหนุ่มเดินไปชมดอกไม้นั่นนี่
“เดี๋ยว”ชายหนุ่มหยุดหญิงสาวที่กำลังร่าเริงให้หยุดนิ่ง นิ้วเรียวปัดใบไม้แห้งออกจากเรือนผมดำขลับ
หญิงสาวแย้มยิ้มขอบคุณ
...นางสนมคนอื่นสินะ...เจียเอ๋อคิดในใจ
ไม่แปลกใจสักนิด อี๋เอินก็เป็นถึงเจ้าเมือง ก็ต้องมีนางสนมเยอะอยู่แล้ว
จากทั้งพวกที่โดนคัดสรรมาหรือพวกที่โดนตระกูลประทานให้แลกกับพวกยศถาบรรดาศักดิ์และเงินทอง
แต่...
รู้สึกแปลกๆ...
มันแปลบๆยังไงบอกไม่ถูก...
มือขาววางลงบนหน้าอกส่วนที่รู้สึกเจ็บเมื่อครู่
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นอะไร
ละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วเดินกลับห้องที่ตนเคยเกลียดชัง
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกดีกว่าถ้าจะอยู่ในนั้นทั้งวัน
...นี่ข้าป่วยเป็นอะไรอีกแล้วล่ะ...
พระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า...
เจียเอ๋อนั่งกอดเข่าวางคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบนเตียงหลังเดิม
แก้วตาสะท้อนภาพแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้าไป แขนสองข้างกอดขาตัวเองหลวมๆ
เสื้อคลุมสีแดงคลุมอยู่บนไหล่ลาดนวล เส้นผมสีดำสนิทปล่อยสยายอย่างไม่ใส่ใจนัก
กุญแจด้านนอกถูกไข บานประตูถูกเปิดออก
ชายผู้เป็นใหญ่ในตำหนักเดินเข้ามาข้างในห้องในชุดฮั่นฝูเรียบๆคล้ายสำหรับใส่นอน
ทั้งสองสบตากัน แทบไม่ต้องมีคำพูดใดต้องเอื้อนเอ่ย
เจียเอ๋อก็เข้าใจว่าอี๋เอินมาหาเขาด้วยสิ่งใด
เขาลุกขึ้นจากเตียงให้อี๋ไปนั่งบนเตียงแทน แต่ชายหนุ่มก็กวักมือเรียกเขาให้ไปนั่งข้างๆ
เจียเอ๋อนั่งลงแต่ก็เว้นไว้ระยะห่างเสียจนอี๋ต้องเอ่ยปากบอก
“มานั่งใกล้ๆข้า”
เจียเอ๋อไม่อยากขัดใจ ขยับมานั่งใกล้ขึ้นแต่ก็ยังเว้นที่ว่างเอาไว้
เบือนหน้าหนีปลายจมูกโด่งที่ซุกไซร้ข้างลำคอขาวผ่อง ดวงตาโตหลุบหลับลง
กัดริมฝีปากตนเองแน่นกลั้นไม่ให้กายสั่นระริกยามที่คอเสื้อโดนนิ้วเรียวเกี่ยวลงไปคาบนไหล่ลาดขาว
ร่างเอนตามแรงลงไปนอนแผ่อยู่บนเตียง ตามองตามร่างโปร่งที่เข้ามาทาบทับ
เงาของอี๋ทอดคลุมร่างเขาไม่ต่างจากอำนาจของชายหนุ่มที่ใช้กักขังของขัดดอกอย่างเขา
“วันนี้เงียบไปนะ”
ชายหนุ่มถามเมื่อคนขี้โวยวายอย่างเจียเอ๋อเงียบสงบผิดปกติ
ดวงตากลมก็ดูไม่แข็งกร้าวเช่นเดิม มันดูทั้งเรียบเฉยและหน่วงเล็กๆ
จมูกรั้นสูดลมหายใจส่ายหน้าตอบเขา
“เช่นนั้นหรือ”
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ ก็ไม่ใช่ความจำเป็นของเขาที่ต้องซักไซ้ต่อ
ปากเรียวร้อนแตะตรงข้างลำคอสูดกลิ่นหอมสบู่บนผิว มือหยาบไล้ไปตามสาปเสื้อสีแดงสด
ลูบผิวเนื้อนิ่มใต้ร่มผ้าผ่านๆ จับสายคาดเอวกระตุกแรงๆทีเดียวก็หลุดติดมือออกมา
ดวงตาสวยมองเสื้อคลุมที่ค่อยๆคลายตัวเผยผิวขาวใต้เนื้อผ้าด้วยสายตารื่นเริงราวกับดูมหรสพชั้นยอด
อี๋ก้มตัวลงสูดกลิ่นหอมติดเรือนกายอีกครั้ง
ลุ่มหลงกับกลิ่นหอมอ่อนๆของคนใต้ร่าง แตะปลายลิ้นลงบนผิวอ่อนเหนืออก จัดการกัดฝังรอยปรากฏเป็นรอยฟันชัด
ไล้ลงมาแตะตุ่มไตสีสวยไม่ต่างจากกลีบปากแดงอิ่ม
ลงน้ำหนักหยอกล้อจนมันเริ่มตื่นตัวแข็งขืนต้านแรงลิ้น
ยอดอกอีกด้านก็ไม่ถูกเว้นว่างมีมือเรียวคอยสะกิดปลุกอารมณ์เป็นระยะๆไม่ต่างกัน
แต่ถึงแม้ชายหนุ่มจะเริ่มรุกร่างกายตนหนักเพียงใด
เจียเอ๋อก็ยังนิ่งเงียบข่มอารมณ์ตนผินหน้าหลบอยู่ตลอดเวลา
อี๋เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าขาวที่ไม่แม้แต่จะแลตามาหา
ดูดตุ่มไตเล็กแรงจนร่างเล็กส่งเสียงร้องออกมาเพียงแว๊บเดียว แก้มกลมแดงก่ำ ยกมือขาวปิดปากตัวเองแน่นดื้อรั้นไม่แสดงความอ่อนไหว
พอเห็นอย่างนั้นชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำ
“ข้าจะดูรอยประทับ”
เจียเอ๋อเบิกตาโตตกใจใส่ชายหนุ่มก่อนจะเสตาหลบด้วยความประดากอาย
ต้นขาแน่นบีบไถกันเหมือนลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ข้อเข่าค่อยๆเคลื่อนแยกออกจากกัน
มือขาวจับชายเสื้อลงมาปิดส่วนลับด้านใต้
ตั้งขาตั้งฉากกับพื้นเตียงให้ชายหนุ่มได้เห็นรอยประทับของตัวเอง
“ยังอยู่ดีอยู่นี่”นิ้วเรียวลูบผิวขรุขระตรงนั้นแผ่วๆตั้งใจหยอกล้อเจียเอ๋อให้แสดงความอายของออกมามากกว่านี้
เลื่อนมือไปจับเข่าที่ชันอยู่ให้ตรึงอยู่กับที่
สอดเข่าไปกั้นขาอีกข้างของคนใต้ร่าง จับมือขาวออกจากชายเสื้อ สอดปลายนิ้วกเข้าไปในช่องทางคับแคบ
เจียเอ๋อสะดุ้งวาบตกใจ บิดตัวจะดิ้นหนีแต่ขาทั้งสองก็ถูกตรึงเอาไว้
ได้แต่แนบใบหน้าร้อนกับหมอนแข็งๆของตน
“เจ้าทำราวกับครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
เจียเอ๋อกัดปากข่มความโกรธเคืองมากกว่าเดิม กัดนิ้วพยายามไม่สนใจคำปลุกปั่น
ใจหายวาบมองตามเสื้อคลุมที่หลุดลงไปกับพื้นเตียงนอน
จ้องดวงตาสวยที่เปล่งประกายความกระหายอยากอย่างไม่ปิดบัง
สะบัดหน้าหนีนิ้วเรียวที่ถอดออกจากด้านใต้มาไล้แก้มเขาอย่างนึกรังเกียจ
“หึ!
อย่าทำตัวอ่อนใสนักเลย เวลาข้าทำหนักๆทีไรเจ้าก็ดูพอใจทุกครั้งแท้ๆ”
“ข้าไม่ได้ทำ!!!”โต้เถียงเพราะอีกฝ่ายพูดไม่ไห้เกียรติตน
คิ้วเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตากลมดุแสดงความไม่พอใจ อี๋เอินมองใบหน้านั้นอย่างพอใจที่ตนทำให้อีกคนหลุดมาดได้
ชายหนุ่มยิ้มกว้างไม่น่าไว้วางใจ ตลบปลายเสื้อตนขั้นเหนือเอว
จ่อความแข็งร้อนใกล้ปากทางเล็กแคบ
“ก็ลองพิสูจน์ดู”
เจียเอ๋อสะบัดหน้าจิกมือลงกับฟูกอ้าปากครางเสียงสั่นรับตัวตนของชายหนุ่มเข้ามาในร่าง
แผ่นหลังหยัดขึ้นจากเตียง ส่ายหน้าไปมาเพราะเจ็บเสียดราวกับร่างกำลังจะถูกแยกเป็นสองเสี่ยง
ผนังนุ่มฉีกขาดจากการไม่ถูกเตรียมพร้อม โลหิตสีสดไหลอาบท่อนเอ็นทำให้อีกฝ่ายสอดเข้ามาได้ลึกขึ้น
“ไม่! เจ็บ…ข้าเจ็บ! เดี๋ยว!”เสียงแหบทุ้มร้องประท้วง
หยาดน้ำตาใสๆคลอหน่วยตากลม มือขาวยันไหล่คนตัวสูงไว้เป็นเชิงขอร้อง สูดลมหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะ
แต่อี๋ก็ยังคงเป็นอี๋ ชายหนุ่มไม่สนใจคำขอร้องนั้น
มือโอบสะโพกอิ่มขึ้นจากเตียงสอดร่างเข้าลึก ถอดออกเล็กน้อยแล้ววกกลับเข้ามาใหม่
หยาดเลือดสดๆหยดอาบโคนขาสวยไหลเปรอะเสื้อสีเดียวกันของผู้โดนกระทำ เจียเอ๋อร้องครางแสดงความเจ็บปวด
จิกมือตนจนเลือดซิบ สะบัดหน้ากัดเสื้อตัวเองข่มน้ำตาและเสียงร้องไม่ให้หลุดให้คนใจร้ายได้เห็น
...แย่...
รู้ว่าไม่มีสิทธิ์พอแต่ตอนนี้เจียเอ๋อน้อยใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเสียให้รู้แล้วรู้รอด
นอนนิ่งๆทำตัวเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตให้ชายหนุ่มกอบโกยความสุขซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกเจ็บใจจะบ้าตอนที่รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้รู้สึกแย่เพราะโดนกระทำ
เจียเอ๋อไม่เจ็บแล้ว แต่กลายเป็นความรู้สึกอื่นแทรกแซงเข้ามาเล่นงานให้หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวสูบฉีดแรง
ร่างกายบิดเร่าเสียวกระสันเกินควบคุม อากาศร้อนด้านนอกหรือจะเทียบเท่าความร้อนรุ่มในกาย
ไม่อาจปฏิเสธว่าลีลารักของอี๋สามารถทำให้เขาโอนอ่อนตามได้
แยกขาออกกว้างขึ้นให้ชายหนุ่มทำได้สะดวกขึ้นแบบไม่รู้ตัว
“อือ...อ๊ะ”เสียงหลุดครางสั้นๆอย่างรู้สึกดีของคนใต้ร่างเรียกรอยยิ้มมุมปากของคนคุมเกม
มือเรียวจับมือป้อมด้านหนึ่งสอดประสานนิ้วตรึงไว้กับพื้นเตียง จ้องมองซีกใบหน้าคมหวานด้านข้างที่กำลังตกอยู่ในห้วงกามอารมณ์
ดวงตากลมปรือลงเอ่อคลอน้ำตา จมูกรั้นพ่นลมหายใจร้อนไม่เป็นจังหวะ
กลีบปากแดงดูนุ่มนิ่มเผยอครางออกมาเบาๆตามจังหวะสอดประสาน
ร่างกายของเจียเอ๋อเข้ากันดีกับชายหนุ่มจนน่าแปลกใจ ตอบรับกันได้ดีแม้จะไม่ได้รับความสมยอมจากอีกฝ่าย
แม้เพียงครั้งแรกก็สามารถทำให้อี๋ลุ่มหลงร่างกายนี้ได้ในทันทีทันใด
อี๋มองกล่องไม้บนหัวเตียงนอนเก็บเอาไว้เรียบร้อยราวกับไม่เคยถูกแตะต้อง
แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันถูกหยิบมาใช้เป็นประจำและถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเสียมากกว่า
“อย่าแตะมันนะ!”เจียเอ๋อร้องลั่นเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังจะแตะของรักของหวง
พลันต้องร้องหวีดสูงเพราะโดนกระทั้นเข้ามารุนแรง ชายหนุ่มโค้งตัวลงมาใช้ดวงตาสวยมองเขาด้วยสายตาของผู้เหนือกว่า
“ข้ามีสิทธ์ทุกสิ่งในตำหนักนี้... เจ้าก็เช่นกัน”
...ข้าก็เป็นสิ่งของด้วยสินะ...
เจียเอ๋อหัวเราะหึเมื่อรับรู้ถึงคุณค่าของตนในตำหนัก หลับตานิ่วหน้าเมื่อชายหนุ่มจงใจเร่งจังหวะโถมกายทำรุนแรงกับตนเองอีกครั้ง
ข้อเข่าถูกรั้งไปพาดบ่าแข็งแรงเพิ่มพื้นที่ให้ชายหนุ่มได้สอดแทรกเข้ามาลึก
อี๋เอินจงใจสอดร่างเข้ามาชิดจนสุดโคน
ถอนกายออกเกือบหลุดแล้วกระทุ้งเข้าไปในช่องทางแคบเรียกเสียงครางแหบน่าฟัง
“อ๊ะ อื้อ!”
หลายต่อหลายครั้งที่ชายหนุ่มกระแทกจุดอ่อนไหวในกาย สมองมึนเบลอตกอยู่ในห้วงทะเลรัญจวน
เจียเอ๋อหอบรัวสะบัดหน้าไปมาร่างโอนคลอนไปกับความรุนแรงที่ได้รับ ร่างขาวสั่นระริก
รู้สึกถึงน้ำอุ่นร้อนพุ่งเข้ามาในร่างเติมเต็มช่องทางแคบ
...สิ้นสุดคืนนี้เสียที...เจียเอ๋อกำลังจะหลับตาลงก็ต้องเบิกตาโพล่ง
ต้นขาถูกดันขึ้นงอกับลำตัว
ความแข็งร้อนที่ยังไม่ถูกถอนออกเติบโตเต็มช่องทางแฉะอีกครั้ง รีบกระวีกระวาดดิ้นรนทั้งที่ยังหน่วงๆสะโพกอยู่
“ดะ เดี๋ยวสิ ท่านจะทำอีกหรือ!”
อี๋ไม่ตอบคำถามแต่กลับเอ่ยไปถึงอีกเรื่องที่ทำให้เจียเอ๋อถึงกับพ่นลมหายใจร้อนเพราะความโมโห
“สวนกลางตำหนักนั่น ปกติข้าไม่ให้คนเข้าง่ายๆหรอกนะ”
“ถ้ารู้ว่าท่านจะทวงแบบนี้ ข้ายอมโดนขังตลอดชีวิตดีกว่า!”
“หึ ยอมโดนขังตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ”ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
จับคางมนบังคับให้สบตากัน ดวงตาดำขลับเย็นชาจับจ้องผู้ต่ำศักดิ์กว่าไม่มีท่าทีว่าล้อเล่น
“อย่าท้าข้าเชียวนะเจียเอ๋อ ข้ามีสิทธิ์ทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น อย่าริลืมเรื่องนี้”
ดวงตากลมไหววูบ แม้จะทำตัวหยิ่งทระนงขนาดไหนแต่แท้จริงเขาก็ยังกลัวจะถูกขังอยู่ในห้องนี้ตลอดชีวิตอย่างที่อาจหาญกล่าวออกไป
ปากสีแดงช้ำขบกัดกันแน่นตามนิสัย สะดุ้งวาบมองนิ้วเรียวที่แตะเข้าที่ปากเขา
“อย่ากัด”
ตาโตเบิกโพล่งมองใบหน้างดงามที่โน้มลงมาใกล้จนเห็นแพขนตาหนา
สัมผัสอุ่นร้อนบนกลีบปากเร่งสูบเลือดในกายให้สูบฉีด สมองมึนเบลอช็อกไปช่วงใหญ่ๆ ชายหนุ่มยิ้มพอใจกับปฏิกิริยา
ประคองศีรษะกลม แนบปากบดคลึงกลีบดอกไม้สีแดงช้ำน่าบดขยี้คู่นั้นเบาๆ ริมฝีปากของสนมคนโปรดแสนจะนุ่มนิ่ม
จูบทีก็เหมือนกำลังจูบบนผิวหมั่นโถหอมนุ่มสีแดงฉ่ำยิ่งกว่าผลทับทิม
เจียเอ๋อไม่ขัดขืนหรือปฏิเสธแม้เรียวลิ้นแข็งแรงจะเริ่มรุกเร้าจนมากขึ้น
อี๋สอดปลายลิ้นเบิกทางเข้ามาในโพรงปากเล็ก ตวัดกวาดต้อนความหอมหวาน ไล่สำรวจไปทุกอณู
เกี่ยวลิ้นเล็กหยอกเอินล่อให้อีกฝ่ายหลงไปกับรสจูบตน ลอบยิ้มมุมปากเมื่อลิ้นเล็กยอมเกี่ยวรัดกลับมาเก้ๆกังๆ
มือเรียวจับหลังคอเนียนปรับองศาให้รับรสจูบได้ล้ำลึกขึ้น ขณะที่ด้านล่างก็เริ่มจังหวะเร่าร้อนในอีกรูปแบบหนึ่งอีกครั้ง...
“อือ!”เจียเอ่อครางในลำคอ
สะโพกแกร่งเริ่มขยับดุนดันเข้าออกร่างจังหวะเนิบนาบ
จะประท้วงอะไรก็ทำไม่ได้เพราะลิ้นยังพัวพันกับรสจูบแสนเร่าร้อนอยู่
สมองมึนเบลอราวกับถูกจูบของอี๋ดูดกลืนสติและทิฐิความคิด
เรียวแขนขาวโอบรอบลำคอแกร่งหลับตารับจุมพิตร้อน และถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์แต่ความดื้อรั้นก็ขับเคลื่อนให้เจียเอ๋อบ้าดีเดือดจูบตอบอย่างไม่ยอมแพ้
อี๋ปล่อยข้อเข่าให้ขาขาวได้เข้าโอบรัดสะโพกสอบของตน มือด้านหนึ่งกดโคนขาอ่อนรั้งให้แหวกออกกว้าง
ส่วนมือด้านหนึ่งลูบไล้กายน่าหลงใหลเรื่อยตั้งแต่ลำคอขาว ไหปลาร้าชัด ตุ่มไตเล็ก กล้ามหน้าท้องบางๆ
หยุดเล่นกับขนอ่อนบางบนท้องน้อยลูบไล้ปลุกปั่นเจียเอ๋อให้บิดเร่าร่างหยัดหน้าอกขึ้นเสียดสีกับชายหนุ่มตามห้วงอารมณ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
สะโพกอวบอัดเกร็งรัดของอุ่นร้อนในร่างซ้ำๆ
บีบรัดทุกครั้งที่ส่วนปลายถูไถไปกับจุดอ่อนไหวในร่าง
น้ำรักจากครั้งแรกหล่อลื่นให้ชายหนุ่มขับเคลื่อนเข้าออกช่องทางได้อย่างง่ายดาย
ความกระสันอยากของชายมีมากกว่าหญิงสาวฉันใด อี๋เอินกับเจียเอ๋อก็เหมือนเอาไฟมาใกล้กับดินปืน
ย่อมเกิดประกายไฟระเบิดรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น...
“อื้อ! อ๊ะ!”เจียเอ๋อครางเสียงแหบหนักในลำคอ ลิ้นเกี่ยวตวัดกันไม่ห่างราวกับเป็นตะขอตกปลา
ริมฝีปากอิ่มโดนดูดโดนกัดและบดมานับครั้งไม่ถ้วนขึ้นสีแดงช้ำอย่างที่อี๋เอินชอบใจจูบลงไปหนักๆอีกครั้งหนึ่งก่อนถอนออกมากัดทำรอยจูบข้างลำคอขาว
“อื้อ! อ่ะ เจ็บ”
ร้องท้วงเพราะรู้สึกแสบจี๊ดทุกครั้งที่ชายหนุ่มเลื่อนริมฝีปากผ่าน เจียเอ๋อครางหวานสลับหอบระรัวสูดลมหายใจเข้าลึกกลั้นและถอนออกแบบไม่มีจังหวะ
แล้วแต่ว่าอี๋เอินจะนำพาเขาไปยังไง ร่างกายโอนไหวรุนแรงได้ยินกระทั่งเสียงไม้ลั่นน่ากลัวว่าจะหักโครมลงมาเอาดื้อๆ
ชายหนุ่มจับเอวอวบยกขึ้นสูงจากพื้นเตียงโถมร่างหนักหน่วงรุนแรงจนเจียเอ๋อหวีดร้องคราง
มือขาวโอบรัดลำคอแกร่งไว้เป็นฐานพยุงกาย อี๋ครางต่ำเร่งจังหวะจนได้ยินเสียงเนื้อสะโพกตบกันชัดเจน
เจียเอ๋อเชิดหน้าเกร็งต้นขา รับน้ำอุ่นร้อนที่เข้ามาเติมเต็มเขาอีกครั้งหนึ่ง
หยาดน้ำขุ่นผสมเลือดเล็กน้อยไหลทะลักเปรอะทั้งที่นอนทั้งเรือนกายขาวที่นอนสั่น
เอียงหน้าหอบหนักหน่วงบนเตียงยับยู่ยี่แทบไม่เหลือเค้าเดิม
อี๋เอินขึ้นใช้เสื้อสีแดงของเจียเอ๋อเช็ดคราบคาวบนกายตน
เช็ดบางส่วนบนกายขาวให้แล้วโยนมันลงข้างเตียงทิ้งๆขว้างๆ ลุกคร่อมเรือนร่างเปลือยเปล่า
จับใบหน้านวลเชิดขึ้น กดจูบดูดกลืนริมฝีปากสีช้ำนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า จนปากนุ่มนิ่มสีสวยระบมช้ำ
ไม่ลืมเกี่ยวผ้าห่มผืนบางคลุมร่างเปลือยเปล่าบนเตียงเล็ก
“มีเจ้าบนโต๊ะอาหารคงทำให้ข้าอยากกินของหวานมากขึ้น”
เจียเอ๋อหรี่ตามองเจ้าของเสียงทุ้มเจือแววหยอกล้อด้วยความไม่เข้าใจ
สมองยังมึนเบลอคิดอะไรไม่ออก และหอบมากกว่าจะตอบโต้อะไรกลับไปได้ ปล่อยสติให้หลับใหลลงไปช้า
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพที่ชายหนุ่มลุกเดินออกจากห้องไป
...ทั้งที่อากาศร้อน แต่ทำไมตอนนี้ข้ากลับ...
...หนาว...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น