[ตำหนักอี๋เจีย] 06
06
เปลือกตาช้ำเปิดขึ้นและปิดลงทันทีเพราะแสงแดดจ้ายามสาย
ตะวันคงเคลื่อนจากภูเขาด้านทิศตะวันออกออกมามากแล้ว แต่เขายังต้องนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงยับยู่
“ข้าแต่ฮ่องเต้...”เสียงแหบพร่าเอ่ยกับตัวเองทันทีที่รู้สึกตัว
สะโพกระบมอย่างที่คาด แถมยังหน่วงเสียจนน่ารำคาญ ถึงจะไม่หนักหนาเท่าครั้งแรกแต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี
ตากลมกลอกเป็นวงกลมเบื่อหน่าย คิ้วขมวดแน่นขยับตัวไปมาเบาๆ หงุดหงิดคราบเหนียวเหนอะบนซอกขาและบางส่วนในกาย
พลิกกายลงนอนคว่ำแทนนอนหงายเปลี่ยนท่าทางให้บาดแผลด้านหลังไม่ถูกกดทับไปมากกว่านี้
เกี่ยวผ้าห่มผืนบางคลุมกายเปลือยเปล่าของตน มือขาวลูบบนต้นแขนเพิ่มความอบอุ่นให้ผิวหนังเย็นชืดจากการนอนตัวเปล่าตากน้ำค้างทั้งคืน
ถ้าเขาเป็นไข้สูงอีกจะไม่แปลกใจเลยสักนิด
เจียเอ๋อดึงเส้นผมยาวของตัวเองขึ้นมาสาวเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ
เขาไม่ได้เจ็บถึงขนาดเดินไม่ได้หรอก แต่ขี้เกียจเสียมากกว่า
ยังไงทั้งวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำเป็นพิเศษอยู่แล้ว ก็แค่เดิน นอน นั่ง
เป่าขลุ่ยวนเวียนในห้องอย่างนี้ทั้งวัน
พลันภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็แล่นเข้ามาในหัว
แก้มอิ่มแดงปลั่ง เขาควรจะชินหรือไม่ก็เฉยชากับสิ่งที่อี๋เอินทำกับตนได้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็ทำใจให้ยอมรับไม่ได้สักทีว่าบางทีตนก็โอนอ่อนมีอารมณ์กับสิ่งที่ชายหนุ่มมอบให้เหมือนกัน
ขบปากตามนิสัย หลุดร้องซี๊ดเสียงเบา เอะใจลูบริมฝีปากอิ่มของตนเอง นิ้วชะงัก
หลับตาเอาหัวโขกหมอนแรงๆ ร้องเจ็บอีกรอบเพราะความนี้สะเทือนไปถึงสะโพก
...จูบ อี๋เอินจูบเขา...
ชะงักเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดอะไรออกมา
“โอ๊ยยย ไม่ได้นะเจียเอ๋อ!!!”ร้องโวยวายอยู่คนเดียว
กอดหมอนปิดหน้าตัวเองแน่น ทั้งๆที่ท่านเจ้าเมืองคนนั้นทั้งใจร้าย
ทั้งมักมากในกามทำเขาเจ็บตัวบ่อยๆ แต่หัวใจไม่รักดีกลับเผลอเต้นให้คนแบบนั้นซะได้
เจียเอ๋อหวังเหลือเกินว่าว่าสิ่งที่ตนรู้สึกตอนนี้จะเป็นเพียงความคิดชั่ววูบ ไม่ได้จริงจังจนถอนตัวไม่ได้
เพราะการไปคาดหวังกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้น คงทุกข์ทนทรมานยิ่งกว่าสิ่งที่เป็นตอนนี้นับพันนับหมื่นเท่าเป็นแน่...
ส่ายหน้ากับความคิดไร้สาระของตนเอง
ตัดสินใจว่าจะไปอาบน้ำทำความสะอาดตัวสักหน่อย แต่ขณะกำลังจะก้าวลงจากเตียง
เสียงปลดกลอนประตูก็ดังขึ้น บานประตูเปิดออก เจียเอ๋อตกใจรีบกระโดดกลับขึ้นเตียงลืมว่าตัวเองยังเจ็บอยู่ไม่น้อย
ร้องโอ๊ยออกมาลั่นห้องจนคนที่เปิดประตูเข้ามารีบปิดประตูฉับ
คิ้วเรียวสวยมองร่างบนเตียงด้วยสายตาตำหนิก่อนจะอ่อนลงเมื่อเห็นเจียเอ๋อมีสีหน้าเหเกน้ำตาคลอดวงตาโต
เรือนร่างบอบช้ำนั่งแบะขาบนฟูกแข็งมีเพียงผ้าห่มบางๆคลุมกายหมิ่นเหม่เผยผิวไหล่เปลือยแต่งแต้มรอยสีกุหลาบโดดเด่นออกมาจากผิวบางขาวของเจ้าตัว
ท่าทางเหมือนกำลังรีบเร่งหลบขึ้นเตียงลืมว่าตนเองเจ็บจนต้องนั่งพังพาบอยู่ท่านั้นเรียกเสียงหัวเราะจากต้นเหตุความไม่สบายตัวของร่างขาว
เจียเอ๋อชักสีหน้าไม่พอใจใส่เจ้าของตำหนักและเจ้าชีวิตตน
ผวากระเถิบตัวเองไปติดผนังไม่ลืมยึดผ้าห่มปิดบังกายตนเองไว้มั่น มองอี๋เอินที่เดินเข้ามาใกล้หวั่นๆ
“ท ท่านมีธุระอะไร”
“ข้าจะมาหานางสนมของข้าไม่ได้เลยรึไง?”
ดวงตาสวยของอี๋และรอยยิ้มบางบนในหน้าเรียวได้รูปดูแล้วเจ้าเล่ห์เสียจนเจียเอ๋อนึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ
ร่างสูงกว่าคุกเข่าคร่อมร่างเปลือยบนเตียงที่เพิ่งมีสัมพันธ์ศวาสกันยังไม่ผ่านครึ่งชั่วยามดี
คนใต้ปกครองสะดุ้งเฮือกเกร็งตัวนิ่งเพราะอี๋เอินวางมือบนหน้าขาเขา
ค่อยๆลูบไล้หยอกเย้าผ่านผืนผ้าบางๆเข้าใกล้ส่วนนั้นเข้าไปทุกที เจียเอ๋อส่ายหน้าสั่นผับๆทั้งยังเกร็งตัวไม่กล้าตอบโต้
“แต่ท่านเพิ่งมา...”
“แล้วยังไง? ข้ามีสิทธิ์นี่”
เจียเอ่อเม้มปากเอียงหน้าหนีใบหน้าสวยที่กดจูบซอกคอเบาๆ
ลมหายใจร้อนเป่ารดใบหูนิ่มก่อนฟันขาวจะเข้าขบกัดเบาๆ หลุดเสียงครางในลำคอแผ่วๆ แก้มกลมแดงก่ำ
ขยับสะโพกหนีมือเรียวซุกซนที่เลิกปลายผ้าห่มขึ้นทำท่าจะรุกรานเขาอีกครั้ง มือขาวด้านหนึ่งยันไหล่ชายหนุ่มเป็นเชิงห้ามปราม
ช้อนตาขอร้องสั่นๆ กลัวว่าจะทำให้อี๋เอินไม่พอใจแล้วทำรุนแรงกับตน
“ข้าไม่ไหว ขอร้องล่ะ ให้ข้าได้พักเถอะนะ”
กลั้นหายใจรอคำตอบจากชายหนุ่มที่เงียบไปนาน
ลุ้นจนเกร็งไปหมด สะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อโดนอี๋เอินจับหลังคอรั้งใบหน้าเข้าไปใกล้
ริมฝีปากเรียวบดขยี้ปากเขารุนแรงจนได้รสเลือดเค็มปร่าพร้อมเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาดูดกลืนความหอมหวานภายในโพรงปากนุ่มอย่างตะกละตะกราม
นิ้วเรียวบีบเข้าที่สันคางบังคับให้เขาอ้าปากให้กว้างขึ้นรับรสจูบจาบจ้วงได้ล้ำลึกขึ้น
อี๋เอินปล้นจูบทำเอาร่างขาวอ่อนระทวยกำชายเสื้อของชายหนุ่มแน่น
เอนหลังพิงผนังเย็นเชิดหน้าขึ้นรับจูบรุนแรงนั้นต่อ
อดต้านลิ้นเรียวกลับไปเป็นเชิงต้านแต่ก็โดนตวัดรุกไล่จนอ่อนยวบพ่ายแพ้กลับมาทุก
“เฮือก!”เจ้าของปากนาจูบสูดลมหายใจเฮือกไหล่
ไอแค่กหอบอากาศเข้าปอด เหลือบสายตามองชายหนุ่มที่ลุกออกไปอย่างนึกโกรธเคือง
“ลุกไหวไหม”
“คิดว่าไหว”เจียเอ๋อตอบทั้งยังมึนงง
“ข้าจะให้นางกำนัลเอาเสื้อผ้ามาให้
แต่งตัวแล้วไปเจอข้าที่สวนหิน อย่าให้ข้ารอนาน ถ้าไม่อยากโดนลงโทษ”
อี๋เอินบอกเขาเรียบๆแล้วเดินออกไปจากห้อง
นางกำนัลที่รออยู่ยกเอาหอบเสื้อเข้ามา เจียเอ๋อหน้าแดงก่ำ
แค่คิดว่านางกำนัลสองคนนั้นรู้ว่าอี๋ทำอะไรกับตนบ้างก็อาจจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้ว
ซุกตัวลงในผ้าห่มหนีสายตาสอดรู้สอดเห็นจากหญิงทั้งสอง
แล้วผุดขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงปิดประตูเท่านั้นแหละ
เจียเอ๋อพยุงกายเดินโขยกเขยกหยิบเอาเสื้อผ้าไปอาบน้ำชำระร่างกายในห้องน้ำ
รีบเร่งเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย เอาจริงๆก็กลัวโดนทำโทษอยู่เหมือนกัน
ไม่ต้องทายก็รู้ว่าเขาต้องโดนทำอะไรแปลกๆอีกแน่ๆถ้าไม่รีบ ทำความสะอาดภายในเสร็จก็กินเวลาไปมากโขแล้ว
สาดน้ำใส่ตัวเองโครมใหญ่พอให้สดชื่น สวมชุดลวกๆตามความเคยชิน
แต่พอนึกได้ว่าต้องออกไปด้านนอกก็กลับมาแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย
แทบจะพุ่งหลาวออกไปจากห้องเล็ก หันซ้ายหันขวาว่าไม่รู้ควรไปทางไหนต่อ
...อี๋เอินบอกให้ไปรอสวนหิน
แล้วสวนหินมันอยู่ส่วนไหนของตำหนักกันล่ะ!!!...
รู้ตัวว่าโดนท่านเจ้าเมืองคนนั้นแกล้งเข้าให้แล้วก็หงุดหงิดงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม
พยายามมองหาคนก็ไม่มีใครเดินผ่านมาให้ถามได้
สุดท้ายก็ลองเดาสุ่มไปทางซ้ายทีขวาทีในตำหนักใหญ่โตมีทางเดินยุ่งยากซับซ้อนคดเคี้ยว
เค้นความจำตอนที่โดนนำตัวมาถวายก็ไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนที่เรียกได้ว่าสวนหินเลยสักนิด
“ตำหนักร้างรึยังไงกัน
ทำไมไม่มีใครเดินผ่านไปมาให้ข้าถามบ้างเลย”บ่นออกเสียงเพราะความหงุดหงิด
ขยี้เส้นผมยาวฟูฟ่อง ลืมว่ายังไม่ได้รวบมัดผมแต่ก็ออกจากห้องมาไกลโขแล้ว และเขาคงไม่กลับไปเพราะเชือกมัดผมเส้นเดียวแน่ๆ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย
เพราะตอนที่อับจนหนทางสุดๆก็มีคนเดินผ่านมา
แต่ดันเป็นคนที่เจียเอ๋อไม่อยากเผชิญหน้ามากที่สุด...ผู้หญิงคนนั้น...คนที่เคยอยู่กับอี๋เอินในสวน...
เขาไม่ได้อิจฉาหรือริษยาอะไรหญิงงามคนนี้หรอก
ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความเกลียดชัง
มีแต่ความรู้สึกชื่นชมว่าช่างเป็นหญิงที่สง่าและงดงามเหลือเกิน ทั้งใบหน้า ผิวพรรณ
ลักษณะการเดิน รอยยิ้มและน้ำเสียงไพเราะที่ได้ยินสั้นๆนั้นช่างเป็นความประทับใจยากจะลืมเลือน
ยิ่งวันนี้หล่อนอยู่ในชุดสีขาวฟ้ายิ่งดูเหมือนนางฟ้าเทพธิดาเลอค่าไปใหญ่ รอบๆกายนางก็ราวกับมีออร่าล้อมรอบมองแล้วรู้สึกตาพร่าจนต้องหลบตาก้มหัวลงนอบน้อม
“อ้าว...”
เจียเอ๋อใจหายวาบทันทีที่ได้ยินเสียงทัก เขาก้มหัวพยายามเดินออกมาโดยไม่สบตาหญิงสาว
กลัวว่าจะโดนเข้าใจผิดหรือโดนไม่พอใจ
แต่สัมผัสนิ่มบนต้นแขนทำให้เขาหยุดนิ่งมองหญิงสาวที่เดินมาลัดหน้าเขาได้
ดวงตางดงามของหล่อนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจบางสิ่ง ซึ่งนั่นทำให้เจียเอ๋อเศร้า
คงไม่มีชายใดอยากให้หญิงงามอย่างนางตรงหน้าไม่ชอบใช่ไหมล่ะ
“ท่านคงเป็นคนที่ท่านอี๋พาเข้ามาสินะคะ...ชื่อเจียเอ๋อ
แซ่หวังใช่รึเปล่า?”
เจียเอ๋อพยักหน้าตอบ
เสียงเขาแหบพร่าเพราะกิจกรรมเมื่อคืนทำให้เขาไม่อยากใช้เสียงมากนัก
ตกใจเมื่อหญิงสาวปลดโบว์ผูกผมเส้นหนึ่งยื่นให้เขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เอาไปผูกเถอะค่ะ จะไปหาท่านอี๋ใช่ไหมล่ะ
ไม่รวบผมไปเดี๋ยวก็โดนคนขี้แกล้งคนนั้นรังแกเข้าหรอก”
“ท่านรู้...”เจียเอ๋อรีบมันมาผูกพลางมองหญิงสาวที่ยิ้มกว้างน่ารัก
“คิคิ ฉันชื่อเหมยหลินค่ะ
เหมือนเจียเอ๋อจะหลงทางนะคะ ให้ฉันนำทางไปให้นะ”
“คือ ไม่เป็นไรหรอก ข้า...”
“น่า...ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ
ว่าแต่ท่านอี๋ให้ท่านไปที่ไหนเหรอคะ?”ตากลมสวยจ้องเขาเอาซะจนใจอ่อนยวบ
“สวนหิน...”ยังไม่ทันพูดจบหญิงสาวก็หัวเราะ
จับข้อมือเขาลาไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที
“สวนหินมันอยู่อีกด้านต่างหากค่ะ ถ้าไม่รีบไป
ระวังโดนทำโทษน้า”
...เจียเอ๋อเกลียดน้ำเสียงรู้ทันนั้นจริงๆเลย...
ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงสวนหิน
สวนโล่งๆเหมือนเอาไว้สำหรับฝึกวิทยายุทธมากกว่าจะเอาไว้เดินชมตามปกติทำให้เจียเอ๋อรู้สึกตื่นเต้น
ร่างสูงสง่าของอี๋เอินยืนมองหินก้อนหนึ่งอยู่ด้านหนึ่ง
พอเห็นเขามากับหญิงสาวก็ชักหน้าไม่พอใจ
“เหมยหลิน ปล่อยมือข้าเถอะ ท่านอี๋เอินเขาดูไม่พอใจนะ”รีบบอกหญิงสาวที่เชิดหน้าเชิดตาไม่สนใจ
มือเล็กกำข้อมือเขาแน่นขึ้น
เจียเอ๋อรู้ทันทีว่าโดนหญิงสาวใช้เป็นเครื่องมือปั่นหัวอี๋เอินเข้าให้เสียแล้ว
แต่จะสะบัดมืออกก็เป็นการเสียมรรยาทต่อสุภาพสตรีจนเกินไป
“เหมยหลิน ปล่อยมือเขา”เสียงทุ้มต่ำแหวกอากาศมาหาทั้งสอง
เพียงเสี้ยววินาทีร่างของอี๋เอินก็ปรากฏอยู่ต่อหน้า ปรากฏความว่องไวราวกับสายลมให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา
มือเรียวกำลังจะจับเข้าที่ข้อมือหญิงสาวก็พลิกกายดึงเขาไปอีกด้านหลบชายหนุ่มได้อย่างว่องไวไม่แพ้กัน
“ไม่ จนกว่าท่านพี่จะสัญญาว่าจะไม่แกล้งเจียเอ๋อ”
“ทุกวันนี้เข้าข้างชายอื่นนอกจากพี่ชายตัวเองแล้วหรือเหมยหลิน”
...เอ๊ะ...พี่ชาย?...เจียเอ๋อทำหน้าตะลึกพรึงเพริศมองสองพี่น้องตระกูลต้วนสลับไปมา
จะว่าไปก็หน้าตาคล้ายกันอยู่ ทำไมเขาถึงไม่เอะใจตั้งแต่ทีแรกกันนะ
“ไม่ได้เข้าข้าง
แต่กำลังปกป้องไม่ให้เจียเอ๋อโดนท่านพี่แกล้งต่างหาก”เหมยหลินยังลอยหน้าลอยตาท้าทายอี๋เอินที่ส่ายหน้าเอ็นดูระคนเหนื่อยใจ
ดวงตาสวยเหลือบมองมองเขาชั่ววินาทีก่อนที่มุมมองของเขาจะหมุนตลบเหวี่ยงวูบใหญ่
เสียงหญิงสาวร้องไม่พอใจทำให้เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
“ตัวหนักชะมัด”เสียงทุ้มในระยะใกล้ทำให้เจียเอ๋อรู้ตัวว่าโดนอี๋เอินแบกขึ้นไหล่
ตกใจดิ้นหล่นลงจากบ่าผอมแต่ดูแข็งแรงด้านนั้น ดีที่พลิกตัวกลับทันไม่อย่างนั้นคงได้ร้องลั่นอายสาวสวยแน่ๆ
“ท่านพี่ขี้โกง”เหมยหลินตะโกนมาจากอีกด้านของสวน
“ข้าจะไม่แกล้งเขา พอใจเจ้ารึยัง...ไปเรียนดนตรีได้แล้ว”
“ก็ได้...เจียเอ๋อ
ถ้าท่านพี่แกล้งเจ้าอีกรีบบอกข้านะ ข้าจะจัดการท่านพี่ให้”หญิงสาวตะโกนบอกเขาแล้ววิ่งลิ่วออกไปจากสวน
ภาพที่คิดว่าหญิงสาวคงเดินงดงามแตกสลายลงไปในทันทีทันใด
“บางทีข้าก็อยากให้เหมยหลินเป็นผู้ชายให้สมนิสัยไปให้รู้แล้วรู้รอด”
พี่ชายคนโหดเหลือบมองคนที่หลุดหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆ
เจียเอ๋อพอรู้ว่าโดนมองก็หุบยิ้มทำหน้าปั้นปึงใส่แต่ก็ไม่วายแซว
“ท่านบ่นอย่างกับคนแก่”
“คนแก่ที่ไหนจะทำเจ้าครางทั้งคืนแบบนั้นบ้าง”
“ท่าน!...”ริมฝีปากแดงอิ่มแตกช้ำเม้มเข้าหากันไม่พอใจ
ร้องลั่นเพราะโดนชายหนุ่มรั้งเอวเข้าไปใกล้ อี๋ใช้ความเร็วกดนิ้วบนเรือนกายขาวเพียงสองครั้ง
เจียเอ๋อก็รู้สึกเบาสบายกลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง กำลังจะยิ้มดีใจก็ต้องหุบฉับเพราะคนใจร้ายย้ำคำขู่อีกครั้ง
“ข้าถอนจุดให้...แต่เจ้าอย่าคิดจะหนี
อย่างที่บอกว่าถ้าวันไหนเจ้าหายไป
แซ่หวังทั้งแซ่จะได้ถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์เมืองฉีอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ได้สติฟั่นเฟือน ข้าจะได้อยู่แล้ว
ขอบคุณที่ถอนจุดให้และก็ปล่อยข้าได้แล้ว”
อี๋เอินยิ้มมุมปากยอมปล่อยร่างเตี้ยกว่าไปโดยดี
เจียเอ๋อยืนกอดเอวรอว่าชายหนุ่มจะพูดหรือบงการอะไรเขาอีก
พยายามทำใจเย็นๆเพราะทุกครั้งที่เขาใจร้อนโวยวายอี๋เอินจะยิ้มแบบพออกพอใจทุกที
แต่พอเขาเงียบไป อี๋เอินก็เงียบตาม ไม่พูดไม่จายืนหลับตาซึมซับสายลมแสงแดดท้าทายอารมณ์เย็นๆของเขาจนแตกซ่าน
ทนไม่ไหวโพล่งถามออกไปก่อนเหมือนเคย
“ท่านให้ข้ามาที่นี่ทำไม
มายืนดูท่านยืนนิ่งๆแบบนี้น่หรือ”
“เจ้าเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธจริงรึเปล่า
ทำไมไม่รู้ว่าข้ากำลังเดินลมปราณ”
เจียเอ๋อหน้าชา ข่มใจไม่ให้กระโดดไปทำร้ายเจ้าของชีวิตของตนในขณะนี้
สะดุ้งรับกระบี่ด้านจนตัดสิ่งใดไม่เข้ามาไว้ในมือ มองคนโยนมาให้ที่มีกระบี่อีกเล่ม
เจียเอ๋อสงสัยเหลือเกินว่าอี๋เอินเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหนหรือเสกมาได้ยังไง
“มาประลองเพลงกระบี่กันสองสามเพลงแล้วกัน”
พอได้ยินคำว่าประลองเพลงกระบี่
เจียเอ๋อก็ยิ้มกว้างสะบัดกระบี่ในมือไปมาด้วยความเชี่ยวชาญ
รู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แถมได้ประมือกับคนที่กินแหนงแคลงใจอย่างอี๋เอินมานาน
แม้ชายหนุ่มจะฉลาดเกินกว่าจะเอากระบี่จริงมาใช้ประลอง
แต่อย่างน้องถ้าเขาได้แสดงฝีมือที่เหนือกว่าท่านเจ้าเมืองคนนี้ได้ คงสะใจพิลึก...
“เจ้าท้าเองนะ”
อี๋เอินสะบัดกระบี่ขึ้นเฉียงในท่าแปลกประหลาดทั้งตั้งรับและพร้อมรุกกลับในทันทีทันใดทำให้เจียเอ๋อไม่กล้าวู่วามพุ่งเข้าไปหา
เดินวนไปรอบๆเพื่อหาจุดอ่อน พอพบก็รีบใช้วิชาเจ็ดก้าวแปดบุบผาพุ่งประชิดตัวชายหนุ่ม
แกว่งกระบี่ฟาดเข้าสุดตายตรงใต้ลำคอ แต่โดนกระบี่ในมือเรียวปัดเปลี่ยนวิถีไปได้เสียก่อน
เจียเอ๋อยังไม่ยอมแพ้ย่อตัวลงพุ่งปลายกระบี่หวังจะทะลวงส่วนหน้าท้องที่เป็นจุดอ่อนอีกจุดแต่ก็โดนมือเรียวพุ่งเข้ามาจับมือ
ใช้ความว่องไวพลิกจนกระบี่ในมือหลุดลงไปบนพื้น แต่เพราะเจียเอ๋อก็ไม่ได้อ่อนด้อย
รีบใช้มืออีกด้านคว้าปลายกระบี่ตวัดเข้าโจมตีในระยะประชิด ตาโตเบิกกว้างมองภาพติดตาเลือนรางด้านหน้า
ได้ยินเสียงลอมหายใจอยู่ทางด้านหลัง กัดฟันหมุนกายกลับไปรับคมกระบี่ของอีกคน
พลันร่างกายก็เกิดทรยศ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาตามสะโพกและสันหลังสะดุดไปชั่วจังหวะหนึ่ง
แต่ก็เพียงพอให้อี๋เอินแย่งกระบี่ในมือกลับไปได้
เจียเอ๋อที่ไม่สามารถพยุงร่างได้ล้มลงไปเต็มแรง
กลั้นเสียงร้องเจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด เหลือบตามองชายหนุ่มด้วยเคียดแค้น
...เพราะเจ้า!!!...
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก ขออีกรอบ!”
“พอเถอะ...วันนี้เจ้าไม่ไหวหรอก”
“ข้าไหว!”เจียเอ๋อโพล่งออกมาด้วยความดื้อดึง
พยุงกายขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเสียงลั่นของสะโพกเบาๆ นิ่วหน้าปวดไม่สบายตัว อี๋เอินถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
ใช้วิชานกหงส์สะบัดปีกดึงเอวอวบเข้าไปรัดแน่น กระโดดพาร่างของอีกคนทะยานขึ้นไปบนหลังคาเตี้ยๆของกำแพงอิฐกั้นส่วนตำหนัก
“ข้าอนาถกับความไร้ฝีมือของเจ้าจริงๆ...จับกระบี่ให้มั่นสิ”
“ท่านจะทำอะไร”
“เก็บปากของเจ้าไว้ครางเถอะ”
เจียเอ๋ออยากจะเถียงต่อ
เม้มปากก้มหน้าลงตกใจที่โดนชายหนุ่มซ้อนเข้ามาด้านหลังแนบชิดแทบจะหลอมรวมร่าง วงแขนยาวกอดรัดเอวเขาแน่นขณะที่มืออีกด้านก็สอดเข้าใต้แขนด้านถนัดมือเรียวกุมมือเขาจับกระบี่ราวกับกำลังหันสอนเด็กเริ่มต้นเรียน
ลมหายใจร้อนเป่าเข้าที่ข้างลำคอยิ่งทำให้เจียเอ๋อทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
“รวบรวมสมาธิ จดจำสิ่งที่ข้ากำลังจะสอน”
สูดลมหายใจเข้าลึกรวมรวมสติ
จดจ้องสมาธิและความคิดไปที่ปลายกระบี้
ใช้ดวงตาและร่างกายจดจำท่วงท่าของการรำกระบี่แบบใหม่ที่อี๋เอินลงมือสอนให้กับเขา
“เจ็ดก้าวท่องนภา”
ร่างโดนดึงไปตามการขยับของอี๋เอิน ใช้กำลังภายในพยุงกายบนอากาศเจ็ดก้าวแล้วหมุนตัวลงบนพื้นด้วยท่วงท่าย่อลงมาครึ่งตัว
เจียเอ๋อกัดริมฝีปากตัวไม่ให้ไขว่เขวไปกับเสียงทุ้ม
กลิ่นและอุณภูมิร่างกายของอีกคน
“เกล็ดหางมังกรเพลิง”
มือวาดกระบี่ย้อนไปด้านหลังในแนวเก้าสิบห้าองศาอย่างรวดเร็ว
ใช้ขาด้านที่ถนัดเป็นฐานแล้วตวัดขาอีกด้านขึ้นเตะตามคมกระบี่ไปให้รวดเร็วที่สุด
“จบด้วยนกกระทาคืนเมฆ”
อี๋เอินพาเขาตีลังกากลับหลังชี้กระบี่ในมือไปในแนวตรงอย่างที่หากมีศัตรูอยู่ตรงหน้าคงโดนไปหลายคนใช่น้อยเพราะสามารถยืดหยุ่นไปได้ตามการฝึกฝน
แล้วจบกระบวนท่าด้วยการลงพื้นอย่างสวยงาม เจียเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก
แต่ก็ยังหายใจได้ไม่ทั่วท้องเพราะวงแขนยาวยังโอบรอบตัวแน่น
“ป ปล่อยข้าได้รึยัง”
“หนึ่งวิชา...หนึ่งจูบ”
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ อื้อ!”
...ขี้โกงเอ๊ย!!!...
หมั่นไส้ท่านอี๋สุดค่ะ มีอะไรจะทำให้หมั่นไส้ได้มากกว่านี้มั้ยคะ?
ตอบลบ