[SNH] CH02
+---------------------------------------------------------+
บทที่ 2
ตัดสินใจ
+---------------------------------------------------------+
“ฉันจะรอนายอยู่ที่คลับ...แต่ถ้ามีเรื่องอะไร
รีบเรียกชื่อฉัน”
+------------------------+ SNH +------------------------+
ผมเข้าเรียนคาบบ่ายด้วยความหงุดหงิดนิดๆ
ก็ตั้งแต่ที่มาร์คมาทักผมนั่นแหล่ะ
สาวๆหนุ่มในคณะรีบเข้ามาถามไถ่ถึงเดือนคณะแพทย์ปีก่อนสุดหล่ออย่างมาร์คกันใหญ่
จะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ
‘เมื่อวานไอ้หล่อนั่นช่วยฉันจะพวกซอมบี้เงาจันทร์
แถมฉันยังเป็นคู่เขาด้วยนะ’
…
…ตอบอย่างนั้นเสี่ยงมีรอยประทับบนหน้านะครับ...
พอหมดคาบบ่ายปุ๊บผมก็รีบเก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าเป้
บ๊ายบายพีเนียลที่ทำหน้างงว่าทำไมวันนี้ผมถึงรีบร้อนนัก
แล้ววิ่งฉิวออกจากห้องหนีสารพัดคำถามที่จะโถมตัวผมแน่นอน ถ้าผมยังนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ
ผมเลือกที่จะเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางเท้าในสวนของมหาลัย
ยังไม่อยากกลับห้อง แถมยังคิดไม่ตกเรื่ององค์กร SNH ด้วย
หากถามใจจริงๆคงต้องบอกตามตรงว่าผมเลือกจะปฏิเสธ ผมยังอยากมีชีวิตธรรมดาๆ
ตื่นมาอาบน้ำเข้ามหาลัย ตกดึกก็เที่ยวเล่นบ้างกลับไปนอนเล่นเกมบ้างตามประสาเด็กหนุ่มทั่วไป
แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมดันไปรู้เรื่องสำคัญเข้าให้แล้วเหมือนกัน...
ผมจะสามารถมีชีวิตปกติต่อไปได้จริงๆน่ะเหรอ?
ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนผมก็เหมือนคนบ้าที่นั่งจับจ้องเงาของอาคารหรือพวกต้นไม้อย่างหวาดระแวง
คอยลุ้นว่าจะมีตัวอะไรผุดขึ้นมางับหัวผมเล่นเหมือนเมื่อคืนไหม
...มันยากมากกับการไม่สนใจในเรื่องที่เรารู้แก่ใจว่ามันเป็นอันตรายแก่เราเอง...
ผมทรุดนั่งลงบนไม้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ใหญ่ข้างคณะ
มองไปรอบๆก็ยังเห็นนักศึกษาเดินไปมา ผมมองนั่นนี่เพลินจนเผลอหลับไปอีกรอบ...
+------------------------+ SNH
+------------------------+
ตื่นมาอีกทีก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อรอบข้างตกอยู่ในความมืด
“เ__ยแล้วไงล่ะ ค่ำแล้ว!”สบถกับตัวเองเสียงดัง
ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว บนอาคารก็ปิดไฟจนหมด
บรรยากาศรอบข้างเงียบเหงาวังเวง ความเย็นเยียบไล่ขึ้นมาตามสันหลังราวกับมีอะไรบางอย่างจ้องมองผมอยู่จากในความมืด
ลมเย็นหวีดหวิวข้างหูเหมือนเสียงแว่วหัวเราะของความมืด
ผมว่าคงต้องรีบสาวเท้าออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้โดยด่วน
แต่ทันทีที่ผมขยับลุกออกจากโต๊ะ
ขาด้านหนึ่งก็โดนยึดเอาไว้กับพื้น จิตใต้สำนึกรู้ได้โดยอัตโนมัติว่า
...กูโดนแล้วไง๊ T^T…
“แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก”กรีดร้องลั่นลืมสติไปชั่ววูบ
สะบัดเท้าอย่างแรงจนหลุดแต่กลับสูญเสียการทรงตัวจนร่างทั้งร่างเอนล้มไปบนพื้นหญ้าเต็มตัว
ดีที่มีพื้นฐานทางด้านกีฬาเลยพอจะเซฟร่างกายตัวเองได้แต่ก็ยังร้าวไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
กรรรรรรรรรร
เสียงคำรามครางเครือเรียกสติกลับมาอีกครั้ง
เอียงหน้าไปมองบนพื้นหญ้าที่เริ่มมีการเคลื่อนไหว
เงาของต้นไม้กำลังเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นอะไรบางอย่างที่เขาไม่มีทางลืม
มันมาแล้ว!
ไม่มีเวลาสำหรับการเจ็บปวดหรืออ้อยอิ่งอีกต่อไป
ผมรีบยันตัวขึ้นจากพื้นกระโดดพรวดเดียวไปหยิบเป้มาสะพายไว้ให้มั่น
ตั้งใจจะออกวิ่งก่อนชะงักเบิกตากว้างมองสิ่งแปลกประหลาดเบื้องหน้า
“อะไรวะเนี่ย!!!”
บนสนามหญ้าที่เขาคุ้นตาบัดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผืนผ้าใบที่มีเงาสีดำของเหล่าต้นไม้ยืดออกและหมุนเป็นวงกลมรอบพื้นใต้ตัวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
...นี่ขังไม่ให้กูหนีเลยว่างั้น!!!...
กรีดร้องลั่นอีกครั้งเมื่อเห็นมือที่บ้างเหี่ยวย่นบ้างมีแต่กระดูกจะผุดขึ้นมาตามรอยพาดผ่านของเงานั้น
ก่อนที่มือนั่นจะจิกลงกับพื้น ยันร่างน่าสยองตั้งแต่ส่วนหัวขึ้นมาช้าๆ
เจอแบบนี้ใครกล้าวิ่งผ่านก็ไม่ใช่คนแล้วครับ
ผมรีบยันตัวเองไปอยู่บนโต๊ะไม้หิวอ่อนมองดูเหตุการณ์โดยรอบอย่างคิดไม่ตก
... เจ็บใจตัวเองชะมัด
รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังหาเรื่องอยู่ในที่อันตรายเนอะกู...
“เฮ้ย!”ผมรีบหดเท้าขึ้นมาเต้นเป็นกระต่ายขาเดียว
แทบร้องไห้เมื่อเห็นมือขาวๆเปรอะคราบเลือดเอื้อมมือมาจับขอบโต๊ะ
...แม่จ๋า มันมาแล้วอ่า ฮรือออออออออออออออออ...
“ที่สำคัญคือพวกนี้กลัวแสง
พวกมันเลยไม่ออกมาในตอนกลางวันแต่จะออกมาเพ่นพ่านในตอนกลางคืน”
ฉับพลันคำพูดของเจบีก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมรีบคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงด้วยมืออันสั่นเทา
บอกตรงๆว่ากลัวจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดฟังชั่นไฟฉายสาดลงไปใต้เท้าตัวเอง
แทบกรี๊ดเมื่อเห็นมือน่าสยดสยองนั่นหดกลับไปใต้โต๊ะ
พวกเงาโดยรอบก็เหมือนจะเคลื่อนไหวช้าลงเหมือนรอดูสถานการณ์
ผมมั่นใจว่าผมจะปลอดภัยตราบเท่าที่ไฟยังสว่างอยู่
แต่ถ้าจำไม่ผิดแบตมันอ่อนตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว
ประเมินคร่าวๆไม่น่าจะยื้อได้เกินชั่วโมง แล้วผมจะหลุดจากที่นี่ได้ยังไง?
“ฉันจะรอนายอยู่ที่คลับ...แต่ถ้ามีเรื่องอะไร
รีบเรียกชื่อฉัน”
เสียงของมาร์คก้องเข้ามาในหัว ผมจะเรียกเขาดีไหม?
แล้วเขาจะมาหาผมจริงหรือเปล่า?
ไม่ทันจะได้คิดอะไรได้มากกว่านี้ แสงไฟตัวช่วยสุดท้ายก็กระพริบถี่ๆแล้วดับไป
แสงสว่างหายไปแล้ว เงาจันทร์ที่รอดูสถานการณ์รีบพุ่งทะยานออกมาจากเงามืดราวรอโอกาสนี้มานาน
ร่างสยดสยองมากกว่าสิบร่างกระโจนมาหาผมรอบทิศ!!!
“มาร์คคคคคคคคคค”เรียกแบบชื่อคนตัวสูงสุดเสียงขณะหลับตาแน่นรอความเจ็บปวด
สัมผัสได้ถึงกระแสลมพัดผ่านมาจากทางด้านหลังวูบใหญ่
หูได้ยินเสียงเหมือนของมีคมตัดผ่านอะไรบางอย่างต่อเนื่องรวดภายในครั้งเดียว
ผมยังหลับตาอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าลืมตามอง
แอบแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่เจ็บอะไรเลยจนเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูผม
“ทำไมมาเรียกเอาตอนคับขันแบบนี้”
“มาร์ค”ผมรีบลืมตามองร่างสูงโปร่งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาแต่ที่แขนสวมอะไรบางอย่างคล้ายถุงมือหนังหุ้มตั้งแต่ต้นแขนยันปลายนิ้ว
ตรงส่วนข้อมือมีมีดแหลมปลายโค้งยาวโง้งออกมาเหมือนสนับมือแต่มีแค่เล่มเดียวต่อข้างแถมยังยาวกว่า
จนดูผ่านๆเหมือนเขาถือดาบมากกว่าเป็นสนับมือ
“...”เขาดุผมทางสายตาก่อนส่งไอโฟนเครื่องที่จำได้ว่าเป็นของมาร์คมาให้
“เปิดไฟฉายแล้วรออยู่นี่ อย่าไปไหน”
...ไม่ต้องสั่งกูก็ไม่กล้าไปไหนอยู่ดีครับ...ผมได้แต่ตอบเขาในใจ
เพราะมาร์คกระโดดลงไปฟัดกับพวกเงาแล้ว ผมรีบเปิดไฟฉายส่องเท้าตัวเอง
ตาก็มองการต่อสู้ด้านหน้าเพลินๆ... (ใช่สิ มีคนมาช่วยแล้วนี่)
สังเกตมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเขาสู้แล้วว่ามาร์คจะมีท่วงท่าเหมือนคนกำลังร่ายรำดาบบนเวทีล่องหนมากกว่าการลงดาบเพื่อฆ่าฟัน
...ไม่ดูเถื่อนดิบโหดร้ายแต่กลับดูสง่าและงดงาม...
ดูเขาสู้ทีไรผมได้จำลองตัวเองเป็นผู้ชมแถวหน้าสุดทุกที ยอมรับเลยว่าละสายตาจากคนคนนี้ไม่ได้จริงๆ
แต่เหมือนเขาจะเริ่มมีปัญหาแล้วนะ ทำไมการเคลื่อนไหวเขาดูช้าแปลกๆ
แถมใบมีดในมือยังสั่นอีก
มาร์คฟันคอเงาจันทร์ตัวหนึ่งขาดกระเด็น ก่อนรีบกระโดดขึ้นมาหาผมที่ยืนรออยู่งงๆ
เขามองหน้าผมนิ่ง แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบม้วนตัวเองกลิ้งลงไปกับพื้น
“จูบฉัน”
“หา!!!”
“ฉันบอกให้นายจูบฉัน”
“ทำไมฉันต้องทำเนี่ย แล้วมันใช่เวลาไหมวะ
เห็นไอ้พวกเงาพวกนั้นไหม มันจะงาบคอเราอยู่แล้วนะ!”ผมเอ่ยท้วงเขารัวๆ
“เพราะอย่างนั้นถึงให้นายจูบไง
เพิ่มพลังให้ฉันที”เขาเอ่ยพลางยกแขนด้านหนึ่งให้ดู
ผมเพิ่งเห็นว่าถุงมือมันมีสเกลเหมือนที่วัดความดันติดอยู่ด้วย
แล้วตอนนี้สเกลของมาร์คก็ชี้ขีดแดงแล้วด้วย
“ต้องจูบเหรอ?”ผมถามย้ำเขาด้วยความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ
นี่กูต้องจูบคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่สองวันเนี่ยนะ มาร์ครีบพยักหน้า
สีหน้าพ่อคุณก็นิ่งเหลือเกิน เหมือนขอร้องให้ผมต้มมาม่าให้กินอย่างนั้นแหล่ะ
“เออๆ เอาหน้ามานี่ หลับตาด้วย แค่ปากแตะปากใช่ไหม”
“พูดมากน่า”เขาบ่นพึมพำแล้วหลับตาโน้มหน้าลงมาแต่เพราะใกล้มาก
กูได้ยินนะเฮ้ย!
ด้วยความหมั่นไส้หรือเพราะเห็นไอ้ตัวน่าสยดสยองเข้ามาใกล้อย่างไรไม่รู้
ผมรีบกดจูบลงบนริมฝีปากแดงนั่นเบาๆ
ร้องอื้อตกใจเมื่อถูกมือแกร่งดันท้ายทอยให้รสจูบของเราลึกล้ำแนบแน่นมากกว่าเดิม
มาร์คนับในใจหนึ่งถึงห้าก่อนจะผละออกไป ยิ้มกว้างซะจนเห็นเขี้ยวทั้งสองด้านชัด
...ผมว่าผมแพ้รอยยิ้มมาร์คว่ะ...
...ใจสั่นชิบหาย...
+------------------------+ SNH
+------------------------+
มาร์คสะบัดแขนทั้งสองข้างให้ใบมีดคมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วพุ่งกระโจนลงไปฟันไอ้พวกข้างล่างต่อแบบนอนลิมิต
ไม่มีแม้แต่จะหยุดพักจนจำนวนเงาจันทร์ที่ตอนแรกเยอะจนนับไม่ได้กลับเหลือเพียงไม่กี่หยิบมือ
มาร์ครั้งต้นไม้ต้นหนึ่งเอาไว้เป็นฐานเหวี่ยงขึ้นร่างขึ้นเตะเงาจันทร์จนคอหักไปหนึ่งตัว
ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็กระโดดหมุนตัวกางแขนฟันเงาจันทร์ที่เหลือให้ดับดิ้นไปตามกัน ตวัดสายตาสำรวจว่าเงาจันทร์แถวนี้หมดแล้วจริงๆ
จึงสะบัดแขนเก็บมีดเป็นอย่างสุดท้าย
ร่างของเงาจันทร์ที่ถูกฆ่านั้นจะคงสภาพอยู่ประมาณหนึ่งนาทีแล้วจะสลายหายไปกลายเป็นผงฝุ่นสีดำในอากาศ
เขาถึงได้สบายหน่อยแม้จะออกมาล่าเงาจันทร์เพียงคนเดียวก็ตาม
เดินกลับมาหาเด็กช่างพล่ามที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิรอเขาอยู่บนโต๊ะไม้หินอ่อน
เงียบเรียบร้อยจนผิดปกติ
ก็อยากถามอยู่หรอกว่าทำไมแต่พอเห็นคนตัวเตี้ยกว่าเม้มปากสวยจนแดงก่ำ ผิวแก้มทั้งสองข้างเปล่งสีชมพูระเรื่ออ่อนๆก็พอรู้ว่าเจ้าตัวเป็นอะไร
...ปล่อยให้เขินไปเถอะ เดี๋ยวสักพักก็ชิน...
“ไปกันเถอะ...”เขาเอ่ยกับแจ็คสันที่พยักหน้างึกๆอย่างว่าง่าย
แบมือให้เจ้าตัวที่หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังยื่นมือมาให้เขากุมเดินไปตลอดทาง...
...เวลาไม่ดื้อก็น่ารักดีเหมือนกันนะ
เด็กนี่น่ะ...
+------------------------+ SNH
+------------------------+
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น