[SNH] CH06
+---------------------------------------------------------+
บทที่ 6
คู่
+---------------------------------------------------------+
“เอาเป็นว่าตอนเย็นเจอกันที่จุด
E-68 มาร์คพาแจ็คสันมาด้วยนะ”
+------------------------+ SNH +------------------------+
หลังออกจากบ้านของพี่แทคพี่คุณ มาร์คก็พาผมขับกลับไปเอาของที่ห้อง
ผมก็พยายามแย้งแล้วนะว่ารถออดี้แค่นี้มันจะขนของอะไรได้เยอะแยะกัน
กลับโดนมาร์คผลักหัวเข้าให้แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า ‘ขนแค่ที่รถฉันขนได้
นอกนั้นก็ทิ้งไว้นี่แหล่ะ’
ไอ้!...
พอรถจอดเทียบฟุตบาทผมก็เดินฟึดฟัดขึ้นห้องตัวเองไปด้วยความหงุดหงิด
ยืนกลางห้องแบบไม่รู้จะเก็บอะไรก่อน
แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตายัดทุกสิ่งที่คิดว่ามันจำเป็นลงกระเป๋าและกล่อง
มองของใช้ที่เหลือตาละห้อย เสียดายก็เสียดายแต่จะเอาไปที่ในรถก็ไม่อำนวยซะงั้น
แบกสัมภาระลงมาว่าจะไปคุยกับเจ้าเจ้าของหอแต่ก็ต้องทำหน้างงเมื่อหน้าหอที่น่าจะมีแค่รถออดี้สีดำคันหรู
ตอนนี้กลับมีรถขนของสำหรับย้ายบ้านจอดเทียบกันอยู่
พนักงานในชุดสีเทาเข้มเดินลิ่วๆเข้ามาหาผมที่ยังกะพริบตาปริบๆไม่เข้าใจสถานการณ์
“ผมยกให้นะครับ”
ผมก็ใจง่ายครับ ถึงจะยังไม่เข้าใจก็เถอะ
ส่งของทั้งหมดให้พนักงานเสร็จก็ยืนมองสัมภาระตัวเองถูกลำเลียงเข้ารถขนของไปทีละชิ้นๆ
มาร์คเดินมาอยู่ด้านหลังผมตอนไหนก็ไม่รู้ เงยหน้าขึ้นไปมองเขา
แต่สงสัยหน้าตาผมจะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ติดไว้ชัดเจน เขาเลยเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ไม่อยากฟังเด็กเตี้ยบางคนบ่นว่าของไม่ครบ
ฉันขี้เกียจพาไปซื้อ”
ผมหัวเราะก๊ากกับคำตอบนั้น มาร์คเกาแก้มกรอกตาแบบเขินเล็กๆ
ความหงุดหงิดหมดไปตั้งแต่เห็นรถตู้นั่นแล้ว
...ที่จริงก็ปากร้ายใจดีนี่หว่า แหม่ๆ...
+------------------------+ SNH +------------------------+
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามม่วงเป็นสัญญาว่าความมืดของราตรีกำลังจะเข้ามาปกคลุมในไม่ช้า
ถ้าเป็นต่างจังหวัดตอนนี้เป็นเวลาที่ทั้งเมืองเริ่มเข้าสู่สภาพสงบนิ่ง
แต่เพราะที่นี่คือกรุงเทพฯ เมืองที่ไม่เคยหลับ เวลานี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายยามค่ำคืนแทน
มาร์คซิ่งพาผมมาแถบใจกลางเมืองซึ่งห่างจากคอนโดมาร์คพอสมควร
ฝากรถไว้ที่โรงจอดรถของตลาดแห่งหนึ่ง แต่พวกผมไม่ได้มาเที่ยวตลาดหรอก เดินข้ามตลาดไปนิดเดียวก็เจอกับซอกระหว่างตึกเล็กๆขนาดเท่าตัวคนหนึ่งคนเดินผ่านได้เท่านั้น
มาร์คเดินนำหน้าไปก่อนโดยเปิดไฟฉายโทรศัพท์ส่องดูทางเพราะทางมันมืดเอามากๆ
ผมเงียบมองลอกแลกหวาดระแวง ถึงจะเจอมาแล้วสองครั้ง
แต่ยังไงก็ยังไม่ชินกับพวกซากศพเงาจันทร์นั่นอยู่ดีนั่นแหล่ะ ใครจะไปชินลง
สยองเสียขนาดนั้น แค่คิดก็บรื้อออออออแล้ว
มาร์คฉุดแขนให้เดินตามเขาไป
ผมมองตึกร้างสูงลิบลิ่วตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วหมุ่น
“เอิ่ม พี่มาร์ค พี่คุณให้ไปซ่อนไม่ใช่เหรอ
แล้วไปอยู่ที่มืดๆมันจะไม่อันตรายกว่าเหรอ?”
“ระบบไฟของที่นี่ยังใช้ได้ เราจะไปชั้นบนสุดแล้วเปิดไฟ”
ผมพยักหน้าเข้าใจถึงเขาจะไม่เห็นก็เถอะ
แสงไฟในมือเขาทำเอาผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยคงไม่โดนพวกเงางาบหัวตอนนี้แน่ๆล่ะ
จนมาถึงชั้นบนสุดของอาคาร
แสงสว่างจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ทำเอาผมเบ้ปากเมื่อเห็นสภาพของห้องนี้
หนูวิ่งพล่านเลยฮะ แถมกลิ่นอับไม่น่าพิสมัยนี่อีก
ผมรีบเดินไปเปิดหน้าต่างมองดูสภาพภายนอก
จากตรงนี้ผมมองเห็นพื้นที่โล่งซึ่งน่าจะเป็นสนามฟุตบอลของเด็กแถวนี้
ด้านหนึ่งเป็นพื้นที่ร้างต้นไม้รกชัฏ ล้อมรอบด้วยบ้านจัดสรรที่มืดสนิท
ว่าจะหันไปถามว่าตอนไหนพี่แทคพี่คุณจะมาแต่คงไม่ต้องถามแล้ว เมื่อผมเห็นร่างสูงสองร่างเดินเข้ามาในคลองสายตา
“มาร์ค”ผมเรียกมาร์คที่เดินไปรอบๆให้มาดูพวกพี่สองคน
ร่างสูงเดินมาพิงกำแพงข้างผม เราสองคนเงียบมองไปด้านล่างอย่างตั้งใจ
ร่างสูงสองร่างในชุดสีดำทั้งชุดกลมกลืนไปกับความมืดรอบตัวก้าวออกมากลางสนามโล่ง
พวกเขาหยุดยืนจับมือเคียงข้างกัน มืออีกข้างปล่อยลงข้างตัว ช่องโหว่เยอะแยะเต็มไปหมด
ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ พี่เขาเหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง...
ไม่นานเงาดำรอบตัวก็เริ่มเคลื่อนไหว
เงาดำพวกนั้นพุ่งออกมาจากจุดที่หลบซ่อนตัวหมุนวนรอบตัวพวกพี่เขาเหมือนวงกลมวงใหญ่ไปรอบๆเหมือนหยั่งเชิง
แต่เมื่อเห็นว่า ‘เหยื่อ’ ทั้งสองคนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร พวกเงาจันทร์ก็ค่อยๆเผยตัวออกมา
บ้างก็คลานขึ้นมา บ้างก็หยัดตัวเดินขู่แฮร่ๆ สภาพแต่ละตัวสยดสยองไม่มีใครเกิน
ผมทำหน้าเบ้ปนสยองกับภาพข้างล่าง มนุษย์สองคนภายใต้วงล้อมยังคงนิ่งเงียบ
จนในที่สุดพวกซอมบี้เงาจันทร์ก็หมดความอดทนกระโจนเข้าหามนุษย์ภายใต้วงล้อมอย่างย่ามใจ!!!
ปัง!
ผมกลั้นหายใจขณะมองเหตุการณ์เบื้องล่าง
เพียงเสี้ยววินาทีฝ่ายที่ถูกรุกไล่กลับกลายเป็นพวกเงาจันทร์ที่แตกกระเจิงกันไปคนละทาง
การโจมตีของพี่ทั้งสองคนเหมือนการระเบิดของภูเขาไฟที่ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าแต่ผลของมันช่างรุนแรงเกินคาดเดา
พี่แทคใช้ปืนคู่ในขณะที่พี่คุณใช้ดาบสองมือเป็นอาวุธ
พี่แทคยืนนิ่งอยู่กลางสนามมือขวาสาดกระสุนที่เหมือนจะไม่มีวันหมดใส่พวกเงาจันทร์จนสลายไปทีละตัว
ส่วนมือซ้ายควงกระบอกปืนอีกลำเล่นท่าทางชิวสุดอะไรสุด
ต่างจากพี่คุณเคลื่อนที่ไปมาพร้อมดาบยาวในมือ มือขยับบังคับคมดาบฟาดฟันเงาจันทร์อย่างเมามันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
...ชิวมากจนเหมือนพี่มาเดินเล่นออกกำลังกายเลยครับ...
ยิ่งฆ่ายิ่งมาก
พวกเงาจันทร์เริ่มผุดขึ้นมายิ่งกว่าพวกสมุนตอนเข้าใกล้บอส
ประชากรแน่นขนัดตีกรอบพี่คุณให้ต้องถอยร่นกลับมาหาพี่แทคที่เปลี่ยนมาใช้ปืนสองกระบอกสาดกระสุนใส่พวกเงาอย่างบ้าคลั่ง
พี่คุณกระโดดมายืนข้างพี่แทค
ร่างขวาทรุดตัวลงนั่งมือขาวลูบไปตามแขนแกร่งด้านหนึ่งให้โน้มลงมา
ปลดประบอกปืนออกจากมือด้านนั้นแล้วสวมกระชับมือตัวเองลงบนมือแกร่งแน่น
ทันใดก็เหมือนเกิดปาฏิหาริย์
อาวุธของทั้งสองคนสว่างวาบราวระเบิดแสง แสงสีขาวสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ
ขนาดพวกผมที่ยืนดูอยู่ในห้องที่เปิดไฟยังต้องหรี่ตามอง
พวกเงาจันทร์ที่อยู่ใกล้สลายหายไปในทันที ส่วนที่เหลือก็วิ่งหนีกระจัดกระจาย
…เพียงแค่จับมือเท่านั้นเอง...
แสงสว่างดับวูบไปพร้อมภาพพี่ชายทั้งสองที่ยืนเด่นอยู่กลางวงล้อมเงาจันทร์
อาวุธของพวกเขามีแสงสว่างจางๆเคลือบ
ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวดูราวกับหิ่งห้อยที่บินไปมาวูบวาบตื่นตาตื่นใจ
พี่คุณปล่อยมือพี่แทคกระชับดาบตัวเองมั่นแล้วกระโจนกวาดเงาจันทร์ภายใต้วิถีดาบให้ตายตามกัน
คนผิวเข้มสะบัดกระบอกปืนทั้งสองขึ้นให้ลอยกลางอากาศชั่วครู่หมุนตัวเตะเงาจันทร์ที่คิดจะลอบเข้ามาด้านหลังกลับมารับปืนคู่สาดกระสุนยิงเงาจันทร์ต่อได้อย่างงดงาม
การต่อสู้ของคู่นี้นอกจากความเก่งกาจแล้ว
ผมว่าผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้ การต่อสู้ของพี่คุณที่ไม่มีลังเล
พุ่งทะยานฟาดฟันรุกไล่พวกเงาจันทร์โดยไม่เหลียวหลัง
ส่วนพี่แทคที่แม้จะกราดกระสุดอย่างบ้าคลั่งไปทั่วบริเวณแต่กลับไม่มีพลาดโดนคู่ตัวเองเลยสักลูก
ลูกกระสุนแต่ละลูกที่ปล่อยออกไปดูสะเปะสะปะแต่กลับแม่นยำไม่พลาดเลยสักลูก
หัวกระสุนเจาะในส่วนสำคัญของศัตรูทั้งนั้น
สิ่งที่พี่คุณมีให้พี่แทคคือความเชื่อมั่น
เชื่อมั่นว่าคู่ตัวเองจะสามารถกันหลังให้ตัวเองได้โดยไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ
ส่วนพี่แทคก็มั่นคงพอที่จะปกป้องคู่ตนเองโดยยึดตัวเองอยู่ตรงนั้นโดยไม่ตามไปเกะกะขวางทางวิถีดาบที่ออกจะตีวงกว้างของพี่คุณ
ผมเหม่อไปนานจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มาร์คสะกิดไหล่ผมให้ตามเขาลงไป
ผมหันไปมองเหตุการณ์เบื้องล่างก็เห็นว่าการต่อสู้จบไปแล้ว
ซากเงาจันทร์นับร้อยกระจายเกลื่อนรอบสนามฟุตบอลค่อยๆสลายเลือนหายไปกับสายลมไปทีละร่างๆ
ชายหนุ่มร่างสูงสองคนเก็บอาวุธตัวเอง หันมายิ้มและมองตากันและกัน
มือคร้ามยกขึ้นมากุมกระชับมือขาวแน่น
แล้วพากันเดินกลับไปทางเดิมที่พวกเขาเดินเข้ามาเมื่อตอนหัวค่ำ
ท่าทางที่แสนจะเป็นธรรมชาติราวกับเป็นกิจวัตรที่พวกเขาทำด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวัน
แม้มองจากตรงนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ละมุนละไม เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่หวือหวาเร่าร้อน
แต่กลับให้อารมณ์มั่นคงหนักแน่นเหลือเกิน
+------------------------+ SNH
+------------------------+
คู่พี่โทรเรียกพวกเรามาเจอที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยตลาดค่ำแถวนั้น
ไปถึงก็เจอคนตัวสูงสองคนในชุดใส่เล่นแสนธรรมดาอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปเปลี่ยนเสื้อกันตอนไหน???
“แจ็ค มาร์ค
ทางนี้ๆ”พี่แทคโบกมือเรียกพวกผมเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมาเพ่งความสนใจ
มาร์คก้าวเดินลิ่วๆไปให้ถึงโต๊ะด้วยความกระดากอาย ผมก็ก้าวเดินอาดๆไปนั่งเก้าอี้พลาสติกสีเขียวข้างคนตัวสูงกว่า
ถามว่าอายไหม? ก็ไม่นะ...
“สั่งเลยนะ มื้อนี้คุณเลี้ยง
โอ๊ยย...”พี่ชายหุ่นล่ำผิวคร้ามอย่างพี่แทคร้องโอดโอยทันที
เมื่อโดนมือขาวจากพี่ชายข้างตัวมาบิดหูเข้าให้
“ถามฉันรึยัง หืม?”
“โถ่ จะให้แทคเลี้ยงอีกแล้วเหรอ คุนนี่อ่า”
“ไม่เลี้ยงก็ไม่เป็นไรนะ แต่ฉันไม่จ่าย”
“โถ่
เลี้ยงก็ได้...งก”ใบหน้าหล่อทำหน้าบูดเอียงข้างไปบ่นเสียงเบา
แต่ไม่วายไม่พ้นหูนรกของคู่หูข้างกาย
“ฉันได้ยินนะแทค”
ผมมองพี่แทคพี่คุณแล้วอมยิ้มแก้มป่อง ก็แหมมันน่ารักจะตายไป
ผมนี่นั่งเงียบเพราะยังไม่ค่อยสนิทกับพวกพี่เขามากนัก
ถ้าปกติผมนั่งฝอยวงแตกไปข้างแล้ว มาร์คก็เงียบตามปกติ
บรรยากาศในโต๊ะเลยดูอึดอัดนิดหน่อย พี่ชายแสนดีทั้งสองก็เลยพยายามชวนพูดนั่นนี่
“ได้ดูใช่ไหม
นั่นน่ะ”พี่คุณเอ่ยขึ้นเป็นสัญญาณที่พวกเขารู้กัน “ได้อะไรบ้างล่ะ หืม?”
“เอิ่ม...”มางี้ผมตอบไม่ถูกเลยครับ ก็แบบเหมือนจะเข้าใจนะ
แต่อธิบายออกมาเป็นคำไม่ได้อ่ะ มาร์คก็เงียบเอาๆ
ผมก็ขี้เกียจงัดปากคนตัวสูงซะด้วยสิ
พี่แทคที่รอคำตอบอยู่นานก็ยังไม่ได้สักทีเลยอธิบายออกมาอย่างนึกสงสาร
“การใช้พลังของคู่น่ะ คือการสัมผัสแตะต้องกันด้วยความรู้สึก
ยิ่งความรู้สึกต่อกันมีมาก พลังที่ได้ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
เพราะฉะนั้นนักล่าที่เป็นคู่กันถึงชอบจะเป็นคู่รักคู่ชีวิตยังไงล่ะ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
ผมก็นึกว่ามันเป็นกฎเป็นข้อบังคับของคู่ซะอีก
เห็นมีแต่แฟนกันทั้งนั้นเลย”พูดไปก็เขินแฮะ ไม่อยากนึกภาพตัวเองกับมาร์คว่ะ -///-
“ไม่มีกฎแบบนั้นหรอกน่า อืม
จะพูดว่าความรักเกิดจากความใกล้ชิดได้รึเปล่านะ? ก็นั่นแหละ เข้าใจแล้วนี่หืม?”
“ก็เข้าใจอ่าพี่ แต่อธิบายเป็นคำพูดได้ไง”ผมหัวเราะแหะๆ
กระทุ้งศอกใส่มาร์คยิกๆให้พูดอะไรบ้างเถอะ นี่ผมคิดว่าเขาหลับในไปแล้วด้วยซ้ำนะ
มาร์คหันมามองงงๆ ผมขยับมือเป็นเชิงให้พูดอะไรบ้าง เขาก็ร้องอ๋อเบาๆ
“ผมว่าผมก็เข้าใจนะ”เสียงทุ้มต่ำกล่าวแล้วเงียบลงไปอีกครั้ง…
พูดแค่เนี๊ยยยยย!!! กลัวดอกพิกุลทองร่วงรึยังไงครับคุณชายยยยยย
พอก๋วยเตี๋ยวถูกนำมาเสิร์ฟ พวกเราก็เริ่มต่างคนต่างโซ้ยไม่สนใจจะใส่ใจบทสนทนาบนโต๊ะอีกต่อไป
เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่มพร้อมน้ำซุปร้อนๆหลังสองทุ่มนี่สวรรค์ชัดๆ
(ทำหน้าเคลิ้มแป๊ป) แต่พอของกินเข้าปากก็นึกถึงเรื่องบางอย่าง
คนปากเร็วแบบผมเลยโพล่งคำถามแบบไร้กระบวนการกลั่นกรองออกไปให้คนทั้งโต๊ะสะดุดกึก
“แล้วตอนใช้พลังคู่พวกพี่แค่จับมือเหรอ?
ไม่เคยจูบกันแบบพวกผมเหรอ?”
...
…
…
...รู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง...
สายตาแวววับของพี่คุณและเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าแบบไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหมของพี่แทค
ทำเอาไอ้หวังแทบเอาหน้าจุ่มน้ำก๋วยเตี๋ยวเรียกสติให้กลับมา
..มึงถามอะไรออกปายยยย!!!!!!!!!!!!!...
ไม่กล้าเงยหน้าไปมองไอ้คนข้างตัวเลยครับ นี่พูดตรงๆ T////T
“มันก็มีบ้างล่ะนะ
ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องการใช้พลังแบบฉับพลัน แต่พวกพี่แค่จับมือมันก็เพียงพอแล้ว
ก็คนมันแก่แล้วอ่ะเนอะ คงไม่ร้อนแรงแบบเด็กรุ่นใหม่แถวนี้หรอก หึหึ”เสียงทุ้มนุ่มของพี่คุณที่เคยคิดว่าเป็นเสียงของเทวดา
ตอนนี้ภาพในมโนสำนึกของแจ๊คสันกลับมีหางปีศาจและเขาเล็กๆเพิ่มขึ้นมานอกจากปีกสีขาวและวงแหวนบนศีรษะเสียแล้วล่ะ
หวังมันปากเร็วใจเร็ว หวังขอโทษ อาย โว้ยยย อายยยยยยย T////T
“ว่าแต่นี่เจอกันไม่ถึงวันก็ถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ?
ไม่เลวนี่หว่ามาร์ค”เสียงพี่แทคกระเซ้าคนข้างตัวเขาที่เงียบมาตลอด
“ก็มันจำเป็น อีกอย่างผมหมั่นไส้ เด็กอะไรไม่รู้พูดมากชะมัด
เลยปิดปากซะให้มันจบ”
...ทีงี้พูดเลยนะ มึงพูดเลยน้า
ทีเมื่อกี้ล่ะทำเป็นเงียบ ตอนนี้กูอยากให้มึงเงียบ ทำไมมึงไม่เงียบล่ะเหวย!!!...
แจ็คสันที่เอาแต่ก้มหน้าฟึดฟัดด่าในใจคงไม่รู้หรอกว่าคนข้างตัวที่ตอบคำถามไปเมื่อครู่นั้น...
...ก็หน้าร้อนไม่แพ้กันนักหรอก -////-
+------------------------+ SNH
+------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น