[SNH] Special Part Final

Shadow Night Hunter [Special Part]
***Final***







ทะเลสีคราม หาดทรายสีขาว ลมทะเลเจือกลิ่นเกลือหอบกระทบผิวเนื้อนอกเสื้อผ้า ผืนน้ำสีน้ำเงินฟ้าทอดยาวไกลจนจรดกับเส้นขอบฟ้าตรงสุดสายตา พร้อมคำถามที่ว่า...





กูมาอยู่นี่ได้ไงวะ!!!!????












ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน ผมรู้สึกตัวอีกครั้งในรถออดี้สีดำเปิดประทุนคันเดิมโดยมีผ้าห่มผืนบางห่อตัวไว้ให้ หันไปมองข้างๆก็ไม่เจอใคร เอาจริงๆก็ตั้งแต่ตื่นมาก็ยังไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเลยนอกจากตัวเองและปูเสฉวนสองสามตัว มาร์คเอาเขามาปล่อยเกาะร้างรึไงฟะ!!!!!!!!

ยืนเคว้งมองทะเลอยู่นานจนรู้สึกแสบผิว ลืมว่าตัวเองใส่แต่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงยีนส์สีดำที่โครตจะดูดความร้อน จำต้องเดินกลับไปที่รถซึ่งตอนนี้ปรากฏร่างเจ้าของรถกำลังนั่งบนฝากระโปรงรถ หวานเย็นคาปาก ดวงตาสวยมองมาพร้อมยื่นหวานเย็นอีกไม้มาให้หน้าตาเฉย

แจ็คสันย่ำไปบนพื้นทรายฉวยเอาหวานเย็นนั้นเข้าปาก กระโดดไปนั่งข้างๆมาร์คที่นั่งทอดสายตาไปทะเลเบื้องหน้า

ทั้งสองนั่งกินหวานเย็นเงียบๆ ปล่อยให้สายลม แสงแดด เสียงคลื่นและกลิ่นอายเกลือจางๆโอบล้อมตัวพวกเขาไว้ จนกระทั่งมาร์คกลืนน้ำหวานหยดสุดท้ายหมด มือเรียวก็รั้งใบหน้าหวานของคนข้างตัวเข้ามาประกบริมฝีปากลงไป แจ็คสันตกใจกับสัมผัสนั้นชั่วครู่ก่อนจะโอนอ่อนไปตามคำชักนำของคนตัวสูงกว่า ริมฝีปากของมาร์คเย็นชืดแต่หอมหวานด้วยกลิ่นหวานเย็น ลิ้นเรียวตวัดหยอกล้อกับของหวานภายในโพรงปากของอีกฝ่ายจนมันละลายไหลลงมาตามมุมปาก เสียงจ๊วบจ๊าบน่าอายดังก้องหาดที่ไร้ผู้คน


นานกว่าที่ทั้งสองจะผละออกจากกัน แจ็คสันเช็ดน้ำหวานมุมปากลวกๆ ผลักไหล่มาร์คไปผลักใหญ่ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาทั้งคู่ทั้งๆที่ไม่มีน่าหัวเราะเลยสักนิด



“พี่พาผมมาที่ไหนเนี่ย จะพามาทิ้งเกาะร้างเหรอ?”

“น่าสนใจดีนะ”มาร์คยิ้มยียวนลอยหน้าลอยตาจนน่าหมั่นไส้

“เฮ้!!! เอาจริงเหรอ!?”แจ๊คสันโพล่งตาโตจนคนแกล้งหลุดหัวเราะพรืด ก็เชื่อลงเนอะ

“รักขนาดนี้จะกล้าทิ้งลงได้ไง หืม?”

“ไม่ต้องมาปากหวาน บอกผมมาได้ยังว่าพามาทำไม ที่นี่ที่ไหน ไม่งั้นผมโดดลงทะเลว่ายกลับฮ่องกงแน่”

“เอาสิ”

พอโดนพูดอย่างนั้นแจ๊คสันก็ลุกพรวดถอดรองเท้าวิ่งจะลงทะเลไปเฉย เดือนร้อนคนขี้แกล้งที่ต้องวิ่งตามไปรั้งแขนไว้ทั้งที่กลั้นขำแทบตาย มันซื่อรึมันบ้าล่ะเนี่ย!!!

แต่พอถึงตัวปุ๊ป แจ๊คสันก็หันขวับมาจับแขนเขาเหวี่ยงลงไปในทะเลแทน ดีที่มาร์คสัญชาตญาณไวดึงคนตัวเตี้ยฉุดให้ล้มลงมาพร้อมกัน เอาเป็นว่าก็จมทั้งคู่ -*- ผุดขึ้นอีกทีก็โดนแจ๊คสันแกล้งอีก คราวนี้เลยไม่ยอมจับคนตัวเตี้ยกดน้ำแม่มเลย -_-




“แค่กๆ โอ๊ยะ ไอ้พี่มาร์ค แค่ก! ปล่อย!”ถึงจะบอกให้ปล่อยแต่ใบหน้านั้นกลับเริงรื่นหัวเราะร่า มาร์คปล่อยมือจากไหล่แล้วหันมารวบคนตัวเตี้ยเอาไว้กับตัว กันไม่ให้แจ๊คสันคิดเล่นพิเรนทร์ๆแกล้งเขาอีก แต่คนตัวเตี้ยไม่ยอมสะบัดซ้ายขวาจนหลุดมาสาดน้ำใส่เขาอีกจนได้


-*-


“55555555555 / ซ่า / แว้กกก!!!”เสียงร้องลั่นหาดเมื่อจู่ๆก็โดนตะครุบตัวเหวี่ยงลงไปใต้พื้นน้ำ พอผุดขึ้นมาก็โดนน้ำโครมใหญ่สาดใส่หน้าแทบหายใจไม่ทัน ความเค็มจี๊ดขึ้นสมอง แหกปากร้องเอะอะชนิดที่ว่าถ้ามีนักท่องเที่ยวแถวนี้คงโดนด่าเปิง







ทั้งสองเล่นน้ำกันจนพระอาทิตย์คล้อยจากบนหัวมาเอียงข้างใกล้จะตกดินอยู่มะรอมมะร่อ ตอนนั้นถึงได้รู้ตัวกันว่าตัวเองน้ำนานเกินไปแล้ว มาร์คล็อคคอแจ็คสันที่ทำท่าเหมือนยังไม่อยากหยุดให้ขึ้นไปบนฝั่ง เสียงเราะแผ่วๆดังออกมาจากริมฝีปากที่เริ่มเขียวเพราะอากาศหนาว มาร์คส่ายหน้าก่อนจะหยุดเดิน มือแกร่งแกะเข็มขัดเท่ๆของคนตัวเตี้ยอย่างรวดเร็วจนเจ้าของร้องว๊าก ไม่พอยังบังคับให้แจ็คสันถอดกางเกงยีนออกอีก มือขาวรีบตะครุบกางเกงตัวเองเอาไว้แน่น ขาสั้นถอยหลังพยายามหลบมือเร็วๆของอีกฝ่าย หน้าแดงแจ๋ขณะตะโกนบริภาษคนมือไว

“อะไรของพี่! นี่มันข้างนอกนะ!

“ถอดเสื้อผ้าออก”

“ไม่!!! โอ๊ยยย ทำไมพี่ลากมกขนาดนี้วะ!

“นายนั่นแหละลากมก”มาร์คตอบกลับหน้านิ่ง “เสื้อผ้าเปียกแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดพอดี ถอดเปลี่ยนกับชุดสำรองในรถดีกว่า”

แจ๊คสันหน้าร้อนยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอคิดอกุศลไปเอง แต่ปากก็ยังแก้ตัวเสียงแจ้วๆ “ก็ไม่ยอมบอกแต่ทีแรก จู่ๆมาถอดกางเกงใครจะไม่คิดเล่า!

“...”

แจ็คสันเปลี่ยนจากเสื้อกล้ามสีขาวแนบเนื้อไปเป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงเลขาสั้นลายหมากรุกคีบแตะแว๊นสุด ส่วนมาร์คใส่เสื้อกล้ามสีขาวตัวในทับด้วยเสื้อฮาวายสีฟ้าลายดอกกางเกงสามส่วนสีดำดูดีชะมัด แจ๊คสันแอบมองคนตัวสูงแล้วแบะปากใส่ลับหลัง




...เออไอ้หล่อ อย่าให้ถึงทีหวังนะ ชิชิ...










รถออดี้สีดำวิ่งฉิวไปตามถนนลาดยางมะตอยอย่างดีแต่ไร้คนร่วมเส้นทางโดยสิ้นเชิงจนแจ๊คสันอดแปลกใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเกาะนี้เป็นเกาะร้างจริงๆหรอกนะ

“พี่มาร์ค เกาะนี้มันเกาะอะไรกันแน่ ไม่เป็นมีใครเลย”

“...มีน่า”พูดแค่นั้นก็เงียบไปอีก แจ๊คสันที่เริ่มง่วงๆแล้วก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก คนอย่างมาร์คน่ะง้างปากให้ตาย ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่พูดหรอก...

มาร์คมองคนอายุน้อยกว่าเอียงหน้าซบแขนที่วางพาดบนประตูหลับตาพริ้มรับลมที่พัดผ่านเวลารถวิ่งอย่างนึกเอ็นดู ซนมามากๆแบบนี้สักพักเดี๋ยวก็หลับ เหมือนลูกหมาจริงๆนั่นแหละ แจ๊คสันน่ะ หึหึ...








แจ๊คสันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ไม่ไกล ลืมตาขึ้นมาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว แถมตรงหน้ายังเป็นบ้านพักขนาดใหญ่สไตล์โมเดิลสามชั้นกระจกแทบรอบบ้าน หน้าบ้านมีเพียงไฟหน้าที่ยังเปิดอยู่ ภายในตัวบ้านมืดสนิท มองข้างตัวก็เจอกับมาร์คที่นั่งพิงเบาะจิบกระป๋องมองดาวบนท้องฟ้าโล่งด้วยท่าทางผ่อนคลาย

มาร์คเหลือบมองคนที่พอตื่นปุ๊บก็ฉวยเอากระป๋องแอลกอฮอล์เขาไปปั๊บแบบหน้าด้านๆแบบปรามๆนิดหน่อย แจ๊คสันก็หาสนใจไม่กระดกไปหนึ่งคำก่อนทำหน้าหยีเมื่อรสขมปร่าของน้ำใสๆกระจายไปทั่วปาแถม แสบคอเหมือนหลอดอากาศถูกกรดกัด แว่วเสียงหัวเราะของคนข้างกาย ก่อนกระป๋องจะถูกย้ายจากมือเขากลับสู่เจ้าของที่แท้จริง


“กินไม่เป็นก็ยังจะดื้อ”

“ผมกินเป็นนะ แต่เบียร์บ้าอะไรของพี่ขมชะมัด”

“เขาเรียกว๊อดก้า”

“แล้วนี่บ้านใคร่ะพี่?”

“อืม...บ้านฉันเอง”

“ห๊ะ!!!”บ้านพี่เหรอครับ โครตตตตตตตตตตตตตตไฮโซเลย!!!

มาร์คเหลือบมองแจ๊คสันที่ทำตาโตไม่อยากเชื่อแบบขำๆ  เปิดประตูก้าวลงไปจากรถเรียกให้เด็กหนุ่มต้องรีบวิ่งตามมาทั้งที่ยังงงๆอยู่

“เฮ้! พี่มาร์ค กลับมาอธิบายให้รู้เรื่องดิ!

“เข้าบ้านก่อน”มาร์คบอก ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปภายใน ไฟอัตโนมัติทำงานทันทีที่ร่างสูงปรบมือ ข้างในตัวบ้านสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็กน้อยของเขาได้ไม่น้อย เห็นได้จากการที่แจ๊คสันยืนนิ่งตาโตค้างอ้าปากหวออย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะวิ่งไปนู่นมานี่สำรวจทุกอย่างราวกับเป็นสนามเด็กเล่นของเจ้าตัว

“แจ๊คสันไปอาบน้ำ”

“ผมขอดูนี่ก่อนน้า”เสียงติดอ้อนดังมาจากหน้าโทรทัศน์จอแอลซีดีขนาดยักษ์ประกบข้างด้วยลำโพงประสิทธิภาพสูง ส่วนชั้นวางของด้านล่างเป็นสวรรค์ของพวกติดเกมติดหนัง.........อย่างแจ๊คสันหวังยังไงล่ะ

...หวังว่าออกมาแผ่นหนังกับแผ่นเกมคงไม่โดนทึ้งกระจายจนแยกไม่ออกหรอกนะ...

“อย่าดื้อนักล่ะ”

“ผมไม่ใช่เด็กนะ!!!!







มาร์คเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดพร้อมนอน ขมวดคิ้วมองหาเด็กดื้อที่หายไปจากหน้าทีวีแล้ว เดินหารอบชั้นล่างก็ไม่เห็นตัว เดินขึ้นชั้นสองก็ยังไม่พบตัว สุดท้ายก็มาเจอตรงชั้นสามซึ่งเป็นห้องนอนของเขาเองนั่นแหละ

มาร์คอิงกรอบประตูมองร่างกลมๆกำลังนั่งจดจ่อกับอะไรบางอย่างอยู่มุมห้องที่ยังไม่เปิดไป ปรบมือแปะเดียวไฟก็สว่างจ้า แอบเห็นหลังกว้างๆนั่นสะดุ้งเฮือก ไม่หันมาโวยวายเหมือนเคย สงสัยอยู่ชั่วครู่แต่พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็เข้าใจทันที


“เห็นแล้วเหรอ?”


“...”


“จำอะไรได้รึยังล่ะ? หืม เจียเอ่อ...”


กล่าวเรียกชื่อจริงอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงละมุน แจ๊คสันหันหน้ามามองเขา ดวงตากลมเคลือบด้วยความไม่มั่นใจ เสียงห้าวเอ่ยเรียกชื่อเขาไม่เต็มเสียง


“พี่เอิ้น...”

“หึหึ เรียกเหมือนตอนเด็กเลยนะ เรียกพี่เต็มๆสิ”เอ่ยกลั้วหัวเราะ ทรุดตัวนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ลูบเส้นผมนุ่มแผ่วเบาเหมือนอีกฝ่ายยังเป็นเด็กสองสามขวบ


“พี่อี้เอิน”


“ครับ เจียเอ่อ เราเจอกันแล้วนะ”


“.........ฮึก ฮือออออออออออออออออ”ดวงตาคู่โตพรั่งพรูไปด้วยหยาดน้ำตา ร้องงอแงราวกับเด็กเล็กๆ สะอื้นไห้จนน่าสงสารแต่มาร์คต้วนกลับหัวเราะร่าพลางรวบตัวคนอายุน้อยกว่ามาซบอกกอดปลอบ โยกตัวไปมา


“ไม่งอแงสิ ไหนสัญญากับพี่แล้วไงว่าจะไม่ร้องไห้น่ะ”

“จำได้หรอกน่า! แต่จู่ๆพี่ก็ย้ายไปเลย ใครมันจะไปตั้งตัวได้วะ!”เสียงอู้อี้โวยวายเคล้าเสียงสะอื้นดังมาจากคนที่ยังซุกหน้าบนอกเขา มือขาวขย้ำเสื้อนอนเขาจนยับยู่ยี่ “เด็กสามขวบนะเว้ย! ตอนพี่ไปผมร้องไห้ไปสามวันเชียวนะ”


“ขอโทษนะ ตอนนั้นมันกะทันหันจริงๆ ตอนนี้พี่ก็อยู่นี่แล้วไง ไม่ดีใจเหรอ?”


“ไม่! พี่เอิ้นแม่งโครตใจร้าย”


“ไม่ซื้อขนมให้กินนะ”


“ไม่ใช่เด็กนะ!!!


“งั้นวันนี้พี่กินเรานะ”


“ลามก!!!”แจ็คสันดันคนขี้แกล้งออกจากตัว แก้มกลมเปล่งสีแดงระเรื่อไม่ต่างจากตากลมแดงช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก


...เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์พูดเรื่องใต้สะดือนะ พับผ่า!!!...




...แจ๊คสันจำได้แล้ว...



ตอนที่เขาอยู่ฮ่องกง มีครอบครัวชาวไต้หวันมาเช่าข้างบ้านเขาอยู่ ครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวใหญ่มีลูกชายคนโตวัยใกล้เคียงกับเขาชื่อ ต้วน อี้เอิน

แจ๊คสันติดอี้เอินมากกกกกกกกก เรียกได้ว่าเป็นภาพปกติที่ถ้าเห็นอี้เอินก็จะเห็นเด็กผู้ชายตัวกลมตากลมแก้มยุ้ยผิวขาววิ่งดุ๊กดิ๊กเรียกชื่อ พี่เอิ้น พี่เอิ้นตามหลังมาไม่ห่าง สนิทกันจนพ่อแม่ตระกูลต้วนกับตระกูลหวังพูดกันเล่นๆว่า ถ้าโตขึ้นเด็กสองคนนี้ชอบกันจริงๆก็ให้แต่งงานกันไปเลย เพราะเวลาพี่เอิ้นและเจียเอ่ออยู่ด้วยกันช่างน่ารักน่าชังจนอดเอ็นดูไม่ได้

แล้วจู่ๆครอบครัวตระกูลต้วนก็ย้ายบ้านไปอเมริกากะทันหัน ไม่มีแม้แต่เวลาจะบอกลาใคร แม้กระทั่งเด็กน้อยเจียเอ่อก็ไม่เว้น เดือดร้อนพ่อหวังแม่หวังต้องคอยปลอบลูกชายตัวน้อยที่เอาแต่ร้องไห้หาพี่เอิ้นสามเวลาหลังอาหารและก่อนเข้านอน ร้องไห้มาราธรติดต่อกันสามวันสามคืนจนล้มป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์

จากนั้นเด็กน้อยเจียเอ่อก็ให้ทุกคนเรียกว่าแจ๊คสัน เพราะไม่อยากคิดถึงใครบางคนที่เรียกชื่อเขาว่าเจียเอ่ออีก แต่ชะตากรรมเขาก็หนีไม่พ้น กลับมาเจอพี่เอิ้นของเจียเอ่ออีกครั้งตอนโต เจอกันไม่พอตอนนี้ดันเป็นคนรักกันอย่างที่พ่อแม่ทั้งสองตระกูลเคยแซวอีกต่างหาก...



...โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง...







“ทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่แรกว่าพี่คือพี่เอิ้น”

ตอนนี้พวกเขาขึ้นมานั่งซ้อนกันบนเตียง นั่งตักกันเหมือนตอนเด็กๆ (ถึงมาร์คจะบ่นว่าหนักจนโดนฝ่ามือพิฆาตไปแล้วหนึ่งรอบถ้วนก็เถอะ) มาร์คโอบเอวแจ๊คสันไว้ วางคางเรียวบนไหล่ขาว กอบกุมมือกันและกันแน่น

“ก็เจียเอ่อจำพี่ไม่ได้นี่ พี่เสียใจนะ พี่กลัวพูดไปแล้วกลัวเราจะยังจำไม่ได้อีกไง”

“คนขี้ป๊อด! บอกไปตั้งแต่ตอนนั้นก็จบแล้ว!

“คนขี้ลืม! ตอนเด็กๆติดพี่อย่างกับอะไร ทำไมจำพี่ไม่ได้ก็ไม่รู้”

“อย่ามางอนเป็นคนแก่นะพี่เอิ้น”

“ด่าพี่ว่าแก่อีกแล้วนะ อยากเจอของแก่รึไง”ว่าแล้วก็พลิกตัวกลมๆนั่นลงกับที่นอนนุ่มฟัดแก้มฟัดคอจนผิวขาวๆแทบช้ำ ทั้งสองหัวเราะร่า มีความสุขอย่างที่อธิบายไม่ได้ ได้ทั้งพี่ชายข้างบ้าน ได้ทั้งคู่หู ได้ทั้งคนรักเป็นคนเดียวกันแบบนี้ แจ๊คสันรู้สึกว่าตัวเองเป็นโชคดี แถมโชคดีขึ้นไปอีกที่คนคนนั้นคือ ต้วน อี้เอิน

“รักพี่เอิ้นจัง”

“ไม่รักพี่มาร์คแล้วเหรอ?”

“รักทั้งพี่มาร์ค พี่เอื้น พี่อี้เอินเลย”

“หลายใจจัง”

“หลายใจแล้วรักป่ะ?”

“รักสิ”

ริมฝีปากสวยประกบจูบลงบนริมฝีปากอิ่มแดงอีกครั้งและอีกครั้ง ไม่เร่งร้อนรุนแรงแต่กลับหอมหวานละมุนละไมจนคล้ายเป็นยาเสพติดที่หยุดเสพไม่ได้ มาร์คยังคงเล็มชิมความหวานจากปากนุ่มของเด็กดื้อตากลมที่ตอนนี้แทบจะจมลงไปบนฟูกที่นอน สัมผัสอบอุ่นตอนแรกเริ่มเร่งร้อนรุนแรง อากาศเย็นด้านนอกไม่สามารถแทรกแซงความร้องระอุของคนทั้งคู่ได้ เสื้อผ้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกถอดทิ้งขว้างเพิ่มพื้นที่ผิวเปลือยเปล่าให้สัมผัสเสียดสีกันมากขึ้น แล้วบทเพลงรักก็ดำเนินสอดคล้องกันไปจนรุ่งอรุณของอีกวัน...








เสียงกริ่งหน้าบ้านย้ำๆเป็นจังหวะเพลง U GOT ME เรียกให้มาร์คที่เพิ่งได้นอนเมื่อสามชั่วโมงก่อนตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด กำลังจะขยับตัวลุกก็นึกได้ว่ายังมีร่างขาวอยู่ในอ้อมกอดเขาอยู่ ใบหน้าหวานตอนนี้หลับพริ้มเจือร่องรอยความเพลียจากศึกเมื่อคืน ริมฝีปากอิ่มแดงช้ำตัดกับผิวขาวสว่างสวยเด่น จนอดไม่ได้ที่จะประทับจุมพิตตอนเช้าลงไปแผ่วเบา

“อือ...”เสียงห้าวแหบครางรู้สึกตัว ตากลมกระพริบปรืออย่างไม่สู้จะอยากตื่นนักแต่ก็ยังฝืนขึ้นมามอง “จะไปไหน?”

“ไปเปิดประตูน่ะ นอนต่อเถอะ”

“อืม...”แจ๊คสันครางตอบ เปลือกตาหนักหลับลงไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงฟี้เบาๆเป็นสัญญาณว่าเด็กน้อยตากลมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งแล้ว มาร์คลูบศีรษะคนรักจนแน่ใจว่าคงไม่ตื่นขึ้นอีกจนกว่าร่างกายจะพักผ่อนเพียงพอ ก็ถึงเวลาลุกขึ้นต้อนรับแขกฝูง (?) ใหญ่หน้าบ้านเสียที



“หวังว่าคงไม่ใจร้อนจนพังประตูเข้ามาหรอกนะ...”





ปึง!!!


เคยคิดผิดตรงไหนกัน...


เฮ้อออออออออออ







แจ๊คสันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนบ่ายสอง นอนยาวจนตัวเองยังแปลกใจ ลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ถึงจะยังรู้สึกร้าวๆแถวช่วงล่างอยู่แต่ก็ดีกว่าเมื่อตอนครั้งแรกโข แปลกใจเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านล่าง แต่พอไต่บันไดลงมาก็โดนมาร์คชาร์ตตัวมาบังเอาไว้ก่อน

ที่เห็นเมื่อกี้คือพลพรรคชาวองค์กรนักล่าเงาจันทร์รึเปล่าครับ?

“ฮิ้ววว รีบเชียวนะๆ หวงรึไง”เสียงโห่แซวของพี่มินจุนดังโพล่งจากด้านหลัง คนตัวเตี้ยพยายามจะหลบมาร์คไปทักทายพี่ๆเพื่อนๆแต่ก็ไม่พ้นเสียทีจนรู้สึกหงุดหงิด

“เป็นอะไรของพี่เนี่ย!

“ไปเปลี่ยนชุด”มาร์คสั่งเสียงแข็ง

“มันโป๊เหรอ? จะเป็นอะไร ผมเป็นผู้ชายนะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”

“ทำไมเล่า”

“หวง...”

คำๆเดียวที่ทำเอาทั้งแจ๊คสันทั้งมาร์คหน้าแดงมองตากับแทบไม่ติด เขินกันไปเขินกันมาจนคนมองดูอดหงุดหงิดไม่ได้ เป็นแบมแบมที่เข้ามาดึงตัวคนตัวเตี้ยออกมาจากการปิดบังของมาร์คเสียเอง

“ลายพร้อยเป็นตุ๊กแกเลยมึง”เสียงแปลกปลอมดังขึ้น แจ๊คสันหันขวับไปมองไอ้คนคุ้นตาแต่ไม่น่ามาอยู่ในวงนี้ได้อย่าง...นิโคลัส!!! มันมาได้ไงวะนั่น!!!

ที่จริงมันก็น่าแซวในเมื่อแจ๊คสันดันใส่เสื้อกล้ามสีขาวตัวบางแหวกข้างลึกเผยให้เห็นผิวขาวที่โดนประทับตราสีกุหลาบอ่อนบ้างเข้มบ้างกระจายทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะลำคอขาวที่แทบไม่มีที่ว่างเหลือ ริมฝีปากแดงช้ำที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนคงโดนบดขยี้ไปไม่น้อย ยิ่งใส่กางเกงบอลขาสั้นยกขาทีแหวกให้เห็นต้นขาขาวมีรอยมือประทับโดดเด่น...เอาตรงๆก็สภาพหลังจากถูกชำเราแบบเต็มคราบมาหมาดๆนั่นแหละ...

“บอกแล้วให้ไปเปลี่ยนชุด”มาร์คที่เดิมตามหลังมาบ่นงึมงำเสียงเบา

“ก็จะรู้ป่ะล่ะ พี่เอิ้นนั่นแหละ ทำไมไม่บอกผมว่าจะมีคนมา”ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เดี๋ยวนะพี่แจ็คสัน ใครคือ พี่เอิ้น???”เป็นยองแจที่รีบเอ่ยขัด ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน

“เรื่องมันยาวน่า แล้วไหนบอกว่าจะไปเตรียมงานเลี้ยงบาร์บีคิวไง ไม่ไปซื้อของกันล่ะครับ”มาร์ครีบตัดบทเป็นเชิงไล่ ทุกคนในห้องโอดครวญกันเล็กน้อย (อยากเผือกต่อ) แต่ก็ลุกไปเตรียมงานโดยดี




งานเลี้ยงบาร์บีคิวตอนเย็นเป็นอะไรที่วุ่นวายสุดๆ ยิ่งดึกยิ่งหาสติไม่เจอ โหวกเหวกโวยวายเมาเละเทะขนาดที่ว่าถ้าเกาะนี้ไม่ใช่เกาะส่วนตัวของตระกูลต้วน ป่านนี้โดนจับข้อหาก่อความวุ่นวายยามวิกาลเป็นแน่แท้

จุนบรา+ยองแจครองไมค์กันอยู่หน้าตู้คาราโอเกะ ร้องอ้อแอ้ตามประสาคนเมาแต่ก็ยังโคตรเพราะอยู่ดี โดยมีพี่แทค พี่ชาน เจบี (คนนี้เมารั่ว) นิโคลัสและแบมแบมเป็นแดนเซอร์ (เต้นตามใจฉัน) อยู่ข้างหลัง

จูเนียร์ที่กินไปเพียงเล็กน้อยยืนปิ้งบาร์บีคิวคนเดียวด้วยความอดทน ในขณะที่ตรงโต๊ะอาหารมียูคยอม (สถานะ: โดนพี่ๆมอม) ฟุบโต๊ะน็อกสลบไปแล้วเรียบร้อย อูยองอยู่หน้าสุดติดเวทียืนชูแก้วโบกโย้วๆ เต้นท่าทุเรศยิ่งกว่าไอ้พวกอยู่บนเวทีอีก ส่วนพี่คุณที่มีสติดีสุดยืนบันทึกภาพอยู่อีกทอดหนึ่ง...





“เจียเอ่อ มานี่หน่อย”

“หืม?”ถึงจะงงแต่ก็ยอมทิ้งแก้วของเหลวสีอำพันตามมาร์คไป






ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปเงียบๆเลียบริมชายหาดไม่ไกลจากบ้านพักต่างอากาศเท่าใดนัก เดินมาไกลพอสมควรก็หาที่นั่งเป็นโขดหินใหญ่แถวนั้นพักขารับลมเย็นๆเล่น ทะเลกว้างสีดำแทบแยกไม่ออกระหว่างพื้นดินและผืนฟ้า ท้องฟ้าวันนี้เปิดกว้างให้ดาวดวงเล็กดวงน้อยได้มีโอกาสเปล่งแสงรัศมีแวววาว และเพราะเป็นคืนเดือนมืดรอบข้างตอนนี้จึงแทบจะมองอะไรไม่เห็น แต่เขาไม่กลัวหรอก...ตราบใดที่ยังมีเจ้าของมืออุ่นคอยอยู่เคียงข้างแบบนี้น่ะ ^_^



“เจียเอ่อ...จำที่พ่อแม่เราบอกว่าถ้าเรารักกันจริงจะให้แต่งงานกันได้ไหม?”



“จำได้สิ! คิดไปก็น่าตลกเนอะ ไม่รู้ตอนนั้นพวกท่านคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา”หัวเราะขำกับเหตุการณ์เพี้ยนๆสมัยก่อน กับลมทะเลเย็นๆทำเอาอารมณ์เคลิ้ม หลับตาพริ้มซึมซับบรรยากาศ จนไม่ได้ใส่ใจในประโยคถัดมาของมาร์คเท่าไหร่นัก







“ถ้าอย่างนั้นมาแต่งงานกันนะ”





“...”


“...”



“...ห๊ะ!!!!!!!!!!! พี่ว่าอะไรนะ!!!!!!!??????”ตกใจจนแทบตกโขดหิน มองหน้ามาร์คแบบไม่อยากจะเชื่อ แต่ท่าทางและแววตาจริงจังนั้นทำเอาแจ็คสันขำไม่ออก “นี่พี่พูดจริงเหรอ?”

“พี่ไม่เคยพูดเล่น”

“ไม่เอาน่า พี่อาจจะไปเจอใครคนอื่นนอกจากผมในอนาคตก็ได้นะ อย่าเพิ่งใจร้อนน่า”พูดไปก็น้ำลายหนืดคอ เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงวันที่มาร์คไปเจอใครใหม่ เขาจะทำใจได้รึเปล่า

“พี่มั่นใจ...”มาร์คกล่าว “อีกอย่างถ้านายไม่รู้...คู่หูของพวกนักล่า...คือคู่แท้ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง คู่เดียว คนเดียว ตลอดชีวิต...”

“...พี่อี้เอิน...”

“เร็วไปสินะ.. ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากใจ”

“ไม่ใช่ๆ”แจ๊คสันรีบแก้ความเข้าใจผิด รีบรั้งแขนคนตัวสูงไว้ก่อนจะเดินหนีลิบไปไกล “คือ ผมแค่อึ้งอ่ะ คือ คือ โอ๊ยยย มันเร็วไปจริงๆนั่นแหละ เราเพิ่งเจอกันแบบเต็มๆก็แค่สามเดือนเอง ผมรักพี่นะ แต่ผมว่ามันเร็วเกินไปสำหรับการแต่งงานอ่ะ แต่งงานมันเรื่องใหญ่นะพี่!

“พวกพี่ๆยังแต่งกันแล้วเลย เจบีกับจูเนียร์ก็วางแผนกันแล้วด้วย”

“....”

...หวังเงิบครับ...

“แต่มันคงเร็วไปจริงๆ...งั้นพี่ขอมือนายหน่อย”

“แฮ่กๆๆๆๆ”ทำท่าน้องหมาใส่กะกวนบาทาเต็มที่ ก่อนโดนมะเหงกลูกใหญ่สมใจ มือขาวโดนยึดจากคนตัวสูงที่เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ ล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

สัมผัสเย็นจากโลหะเป็นวงเลื่อนเข้ามาบนนิ้วนางช้าๆ ใจเต้นรัวเร็วจนแทบระเบิด เขินก็เขินซึ้งก็ซึ้ง เป็นสถานการณ์ที่เลือกทำตัวไม่ถูกจริงๆ จนนิ้วเรียวถอยออกไปเผยให้เห็นแหวนเงินเกลี้ยงไม่โดดเด่นปรากฏอยู่บนนิ้วนางของเขา

“น้ำตาคลอแล้ว”

“ไม่มีสักหน่อย!

“ใส่ให้พี่ด้วย”

มาร์คส่งแหวนแบบเดียวกันมาให้เขาพร้อมยื่นมือมาให้เป็นเชิงบังคับนิดๆ คนอายุน้องกว่าที่ขัดไม่ได้ (รึไม่อยากขัด) เลยหยิบขึ้นมาสวมให้คนตัวสูงช้าๆ

“แต่งแล้วนะ”

“เฮ้ย!!! ไม่ใช่ดิ ไหนบอกว่ามันเร็วไปไง!!!”แจ๊คสันโวยวายลั่นหาด มองคนเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มหวานดวงตาพราวระยับด้านหน้า

“ก็เร็วไปไง แต่งซะเลยจะได้จบๆ”

“ไม่ๆๆๆๆ”

“ไม่รักพี่เหรอ”ทำหน้าหงอยหูลู่หางตกใส่ แต่คราวนี้แจ็คสันไม่หลงกลแล้ว

“อย่ามาทำเจ้าเล่ห์ใส่นะ ผมไม่หลงกลพี่หรอก”

“งั้นแค่หมั้นก็ได้”

“พี่มาร์ค~~

“...เฮ้อ ก็ได้ แค่ของแทนใจก็ได้”มาร์คยอมแพ้แล้วในที่สุด “แต่ถ้าวันไหนนายพร้อมจะเลื่อนความสำคัญของแหวนสองวงนี้ก็มาบอกพี่นะ พี่รอนายเสมอ”

“ขอบคุณครับ รอผมนะ”แจ๊คสันโถมกอดคนตัวสูงแน่นอย่างซาบซึ้งใจ ยอมให้คนนี้คนเดียวจริงๆ มาร์คยิ้มบางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ฝังจมูกลงบนไหล่นวล




“พี่รอนายได้ทั้งชีวิตนั่นแหละ”






------------------------------------------------------------


พอลงจากเวทีนิคโลลัสก็ไม่เห็นเพื่อนตัวเตี้ยแล้ว

...สงสัยหลบไปจ๊ะจ๋ากับพี่มาร์คอีกแล้วล่ะสิ... เบ้ปากเล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้ เขาดีใจนะที่แจ็คสันมันคบกับพี่มาร์ค เขารู้สึกได้เลยว่าไอ้เตี้ยเพื่อนเขามันโครตตตมีความสุข ยิ้มเหมือนคนบ้าทุกทีที่มีคนพูดถึงแฟนมัน แล้วบอกไม่ชอบๆ โถวววว ไอ้เตี้ยซึน!!! พอพี่มาร์คโทรมาล่ะหนีพวกผมไปทุกที ติดแฟนชะมัด -*-

แล้วก็ถ้าถามว่าผมมาได้ยังไงน่ะเหรอ? ง่ายๆครับ ก็เกาะยองแจมาด้วยน่ะสิ -_-

ว่าแต่ไอ้ตี๋หายไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ก็ยังเห็นเย้วๆอยู่บนเวทีอยู่เลย ไอ้นี่ก็อีกคน บ่นแต่เพื่อนๆพี่ๆว่ามีแฟนไม่สนใจตัวเอง แต่ตัวเองดันไม่เปิดใจรับใครเข้าไปเองแท้ๆ จะไปบ่นใครได้วะนั่น? ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ?

...หึ

เดินตามหาไม่นานก็เจอร่างเล็กกำลังนั่งกระดกกระป๋องเบียร์ตากลมอยู่ไม่ไกลจากงานเลี้ยงเท่าไหร่นัก แอบย่องไปด้านหลังว่าจะแกล้งแย่งเบียร์มา แต่ก็สมเป็นนักล่าเงาจันทร์เพราะยองแจเอี้ยวตัวหลบก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้เสียอีก ดวงตาเรียวเล็กจ้องเขาดุๆ

“มาทำไม”

“มีขาเดินมาได้”

“กวนตีน”

“พูดไม่เพราะเลยนะนายน่ะ”บ่นงึมงำทรุดตัวนั่งลงข้างๆยองแจที่ไม่สนใจผมอีกต่อไป ก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วจะให้เข้าหายังไงกัน

ยองแจเป็นเด็กผู้ชายที่เหมือนง่ายๆสบายๆแต่พอเข้าไปใกล้กลับเจอกำแพงสูงโอบล้อมรอบตัวมิด พูดคุยได้แต่ไม่มีทางที่จะเข้าไปใกล้มากกว่านั้น...

“ยองแจ...ไอ้ตี๋”

“ใครตี๋วะ!”ว่าแล้วก็โดนกระป๋องเบียร์โขกไหล่เข้าให้ คนตัวเล็กบ่นใส่ผมงึมงำๆแล้วหันไปกระดกเบียร์ต่อ ผมหัวเราะหึๆไม่ว่าอะไรออกไป ที่ชอบแกล้งเพราะสีหน้าตอนหงุดหงิดของเด็กตี๋มันน่าสนใจเท่านั้นแหละน่า

พวกเรานั่งเงียบๆรับลมกันอยู่อย่างนั้น เสียงดนตรีหยุดไปแล้ว ผมหันไปมองก็เห็นพวกพี่ๆเขาเริ่มลงมาเก็บข้าวเก็บของกันแล้ว กำลังจะลุกไปช่วยเก็บก็โดนยึดข้อมือให้นั่งลงอย่างเดิม ผมหันไปมองเขางงๆ

“นั่งเป็นเพื่อนหน่อย”

“...อืม...”ผมตอบรับ ไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นยองแจขอร้องดีๆ นั่งผึ่งลงต่อ ทะเลตอนกลางคืนนี่อากาสน่านอนชะมัดเลยน้า~~ เป็นไปได้ก็อยากพาครอบครัวมาเที่ยวจัง แต่ก็นะ ครอบครัวผมอยู่ฮ่องกงโน่นนน เจอทะเลจนเบื่อแล้วล่ะนั่น 5555

“นายว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้มีคู่แท้ของตัวเองทุกคนไหม”จู่ๆเขาก็ถามคำถามนี้ออกหา ผมหันขวับไปมองคนถามอึ้งๆ แต่ดวงตาที่เอาแต่เหม่อลอยว่างเปล่าของเขาทำเอาผมรู้สึกไม่อยากจะกวนอารมณ์อีก

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่นายเชื่อว่าคู่แท้นี่มันมีอยู่จริงเหรอ?”

“เหมือนพวกนั้นไง”ยองแจตอบพยักพเยิดไปทางงานปาร์ตี้ที่เงียบลงแล้ว “บางทีพวกนั้นก็ทำให้ฉันอิจฉานะ หาไม่ง่ายเลยใช่ไหมล่ะ คนที่รักเราจนสามารถแบ่งปันทุกอย่างร่วมกันได้น่ะ”

“อืม...”คิดไปคิดมาก็เข้าใจยองแจอ่ะนะ  ขนาดว่าผมไม่ค่อยมาคลุกคลีกับองค์กรนี้มากนัก เวลาพวกนั้นรวมตัวกันทีแทบจะกระอักบรรยากาศละมุนตาย แล้วยองแจที่ต้องทำงานกับคนพวกนี้ปะจำจะไม่รู้สึกบ้างก็แปลกแล้วล่ะ

...การมีคนให้รักนี่มันดีจริงๆนั่นแหละ...

“แล้วนายยังหาไม่เจอเหรอ?...”

“...ฉันก็ไม่รู้”เขาตอบเสียงเบา ซุกหน้าลงกับแขนตัวเอง “ฉันอาจแค่เหนื่อยกับการอยู่คนเดียวท่ามกลางคู่รักก็ได้ ฮะฮะ”

เสียงหัวเราะของเขามันช่างแหบแห้งจนใจหายวูบ ไม่รู้เพราะยองแจทำให้ผมรู้สึกเหงาตามไปด้วยรึเปล่า รู้ตัวอีกทีมือไม่รักดีก็วางโป๊ะบนเส้นผมสีดำเงาลื่นของคนข้างตัวเสียแล้ว...

ความรู้สึกแปลกๆเกินขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกร้อนๆราวกับพลังงานบางอย่างถูกปลุกขึ้น มือข้างที่จับผมยองแจชาขึ้นกะทันหันแถมเหมือนมีอะไรบางอย่างไหลเลื่อนจากร่างนั้นเข้ามาในร่างผมอีก

“เฮือก!”ยองแจสะดุ้งเฮือก รีบปัดมือผมออกจากศีรษะเขา ดวงตาเรียวเล็กเบิกตากว้างสั่นระริก มองหน้าผมตื่นๆ ร่างเล็กผุดลุกขึ้นรีบก้าวยาวๆออกไป ทิ้งผมที่ยังงงอยู่ให้นั่งเซ็งอยู่ตรงนั้นต่อ

ผมจ้องมือตัวเองราวกับมันจะให้คำตอบผมได้นานจนกระทั่งแจ็คสันเดินมาตามผมกลับบ้านเพราะหมอกเริ่มลงหนาแล้ว ผมสังเกตเห็นแหวนเงินเกลี้ยงบนนิ้วนางของเพื่อนสนิทด้วยแต่เห็นมันเหมือนจะพยายามปิดๆเลยไม่ได้แซวอะไร แหม่! ผมก็ยังมีความรู้สำนึกนะครับ

“มึงจ้องมือตัวเองทำไมตั้งนาน กูเรียกก็ไม่ได้ยิน”แจ๊คสันมันบ่นให้ผมฟังตลอดทั้งทางกลับบ้านพัก ผมก็เงียบตลอดทางจนมันก็งงเหมือนกัน สุดท้ายผมเลยถามคำถามที่ค้างคาใจที่สุดตอนนี้ออกไป

“ถ้าจู่ๆมึงไปลูบหัวใครแล้วรู้สึกแปลกๆนี่มันคืออะไรวะ?”

“0-0”แจ็คสันชะงักเท้าแทบหน้าทิ่ม หันมามองผมราวกับเห็นสัตว์ประหลาด

“กะ แกไปลูบหัวใครมาวะ?”

“...”

“บอกมาเดี๋ยวนี้เลยไอ้นิค!

“ยองแจ”

“...”แล้วแจ็คสันก็เงียบไปอีก คราวนี้มันทำหน้านิ่งจนผมเริ่มชักจะใจไม่ดี

“ทำไมวะ? มันร้ายแรงมากเหรอมึง”

“ใช่...ร้ายแรงมาก”มันตอบผมสีหน้าเคร่งเครียด มือสั้นๆนั่นตบไหล่เขาหนักๆ ดวงตากลมมองผมด้วยแววตาหนักอกหนักใจ “เอางี้ กูจะไปปรึกษากับพี่มาร์คก่อน แล้วยังไงกูจะโทรบอกมึงเอง แต่ตอนนี้พยายามเข้าใกล้ไอ้ยองแจเอาไว้เยอะๆนะ มันอาจช่วยมึงได้ มันรู้วิธีรักษา”

“รักษา? เฮ้ย! กูป่วยอะไร”

“กูบอกมึงตอนนี้ไม่ได้ ทำตามกูบอกก็พอ โอเคนะ เดี๋ยวกูไปถามพี่มาร์คให้ ไปล่ะ”ทันทีที่มันมาถึงบ้านพัก มันก็ถลาไปหาคนตัวสูงที่ยืนรอมันอยู่ตรงระเบียง ไอ้เตี้ยลากแขนมาร์คเข้าไปในตัวบ้านที่มีกลุ่มพี่ๆรวมถึงเพื่อนๆในองค์กรนั่งกันอยู่ สุมหัวพูดอะไรกันไม่รู้ท่าทางเคร่งเครียด (ไรต์ - กับการแกล้ง) กันเชียว ทำเอานิคโคลัสใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ ในหัวเริ่มจินตนาการต่างๆนานาฟุ้งซ่านไกลร้อยลิบ




...ท่าทางเรื่องใหญ่นะนั่น...




...กูจะตายป่ะวะ? T_T ฮือออออออออออออ




------------------- END ----------------------


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

GOT7 INDEX

RED ZONE #ฟิคหน้ามืด

[SF] TUAN Twins (MARKSONYIEN) *3P*